“เสี่ยวเหยามานี่หน่อย เจ้าดูให้ละเอียด นึกออกหรือไม่ว่าตอนนั้นเหตุใดเจ้าจึงหัวเราะ”
“ข้าไม่ดูหรอก ตาเฒ่าไม่เคารพตนเอง”
“มาสิ…”
“ไม่เอา!”
ในระหว่างที่ไป๋เจี่ยนจู๋กำลังจิตหลุด พลันรู้สึกว่าบนต้นขาเย็นๆ จึงได้สติกลับมาจากการตกตะลึงทันที เขาก้มหน้าลงมอง พบว่าจู๋ซวีอู๋กำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างน้ำพุร้อนใช้มือข้างหนึ่งเลิกชายเสื้อชั้นในที่เขาคลุมไว้ลวกๆ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งพยายามลากจินเฟยเหยาคิดจะเรียกให้นางมาดู ทว่าจินเฟยเหยากลับแกะนิ้วของเขาออกอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถึงตายก็ไม่ยอมไป
“ซือจู่! คิดไม่ถึงว่าท่านจะใช้เสียงวิญญาณว่างเปล่ากับข้า!” ไป๋เจี่ยนจู๋เข้าใจทันที รู้ว่าเหตุใดเมื่อครู่จึงจิตหลุด เขาแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดไม่ถึงว่าซือจู่จะใช้เวทเสียงวิญญาณว่างเปล่าในคำพูด ทำให้จิตใจของตนเองเหม่อลอย ไร้สติไปชั่วขณะ
“อ๋า รู้สึกตัวเร็วขนาดนี้เชียว” จู๋ซวีอู๋ปล่อยชายเสื้อของเขาราวกับไม่มีอะไร ปัดๆ มือแล้วลุกขึ้นยืน ฉุดลากจินเฟยเหยามาบอกว่า “นี่คือศิษย์น้องเล็กของเจ้า ข้าบอกกับคนนอกว่านางเป็นบุตรสาวของข้า ต่อไปเจ้าต้องดูแลนางให้มาก ข้าเห็นว่าที่นี่ของเจ้าไม่เลว ต่อไปให้นางมาอาศัยอยู่ข้างๆ”
“ไม่เอา!” ไป๋เจี่ยนจู๋และจินเฟยเหยาตอบปฏิเสธในเวลาเดียวกัน
“ไม่ได้! ข้าบอกอาศัยอยู่ข้างๆ ก็ต้องอาศัยอยู่ข้างๆ ถ้าพวกเจ้าคิดว่าจะหนีรอดจากเงื้อมมือข้าได้ก็ลองดู” จู๋ซวีอู๋ตีหน้าเคร่งเครียด เอ่ยอย่างเย็นชา
เขาแอบถ่ายทอดเสียงให้จินเฟยเหยาลับๆ “ถ้าเจ้าไม่อยากอาศัยอยู่ข้างเขา ก็รีบนึกให้ออกว่าทำไมตอนนั้นจึงหัวเราะ”
จินเฟยเหยามีโทสะแทบตาย ใครจะไปจำเรื่องนั้นได้ จึงถ่ายทอดเสียงกลับมาอย่างดุร้าย “ก็ได้ ข้าจะบอกท่าน! เพราะว่าหน้าตาไม่เหมือนของข้า ดังนั้นจึงหัวเราะ ใช้ได้หรือยัง ครั้งนี้ท่านคงพอใจแล้วสินะ”
“น้อยๆ หน่อย เจ้าจะไม่รู้ความแตกต่างระหว่างบุรุษกับสตรีได้อย่างไร อีกทั้งเนตรชิงหมิงของข้ามองทะลุจิตใจของเจ้าได้ เมื่อครู่หัวใจของเจ้าเต้นไม่เหมือนเดิม เจ้ากำลังโกหก” จู๋ซวีอู๋เอ่ยกับนางและแย้มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
จินเฟยเหยาถอนหายใจยาวอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อยู่ก็อยู่สิ ถึงอย่างไรก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกันมากนัก”
จู๋ซวีอู๋ยังเอ่ยปลอบใจอย่างห่วงใย “ข้าจัดการให้เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ก็เพื่อเจ้า เจ้าอาศัยอยู่ข้างบ้านทุกวัน จะได้เห็นเจี่ยนจู๋บ่อยๆ ไม่แน่ว่าจะนึกออก ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่มีอะไรทำก็ไปแอบดูเขาอาบน้ำบ่อยๆ แบบนี้จะได้นึกออกว่าเหตุใดตอนนั้นจึงหัวเราะ”
“ข้าบอกแล้วว่าจำไม่ได้จริงๆ ว่าข้าเคยหัวเราะ ท่านบีบบังคับข้าไปก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้ท่านตัดลงมาแขวนให้ข้าดูทุกวัน ข้าก็นึกไม่ออก” จินเฟยเหยาถูกจู๋ซวีอู๋พัวพันจนแทบหงุดหงิดตาย
จู๋ซวีอู๋ไม่ใส่ใจเลยสักนิดเพียงตบบ่าจินเฟยเหยาและให้กำลังใจ “เจ้าพยายามเข้าเถอะ ถึงอย่างไร ถ้าข้าไม่รู้ก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”
“จริงๆ เลย…”
คำสนทนาของพวกเขาสองคนพอถึงตอนท้ายก็ไม่ได้ใช้การถ่ายทอดเสียงอีก ไป๋เจี่ยนจู๋ที่ตากลมอยู่ทางด้านข้างย่อมได้ยินหมดทุกอย่าง
ลืมแล้ว? นางลืมเรื่องในวันนั้นไปนานแล้ว! ไป๋เจี่ยนจู๋มองจินเฟยเหยาอย่างโง่งม ไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง ถ้าลืมไปนานแล้วก็แสดงว่าหลายปีที่เขาไล่ล่าสังหารนาง นางไม่ได้หลอกลวงแต่นึกไม่ออกจริงๆ
ไม่ได้ ต้องอดทนไว้ ตอนนี้ข้ามีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวมแล้ว เรื่องเช่นนี้จะรบกวนจิตใจของข้าได้อย่างไร จิตใจของข้าแข็งแกร่งดุจหินผาแล้ว แค่จินเฟยเหยาคนเดียวไม่ทำให้ข้ารู้สึกอะไรหรอก
ไป๋เจี่ยนจู๋สูดลมหายใจลึกๆ ทิ้งคำพูดของคนทั้งสองไว้เบื้องหลังโดยไม่สนใจและทำให้จิตใจกลับคืนสู่ความสงบ ทว่าสองคนนี้กลับไม่มอบโอกาสนี้ให้แก่เขา จู๋ซวีอู๋จัดการจินเฟยเหยาได้แล้ว จึงเริ่มแก้ไขบุญคุณความแค้นของไปเจี่ยนจู๋และจินเฟยเหยา
จู๋ซวีอู๋นำห่อผ้าที่จินเฟยเหยามอบให้เขาก่อนหน้านี้ออกมา จากนั้นเปิดออกอย่างยินดี “เจ้าอย่าโกรธนางเลย ดูสิ นี่คือเสื้อผ้าของเจ้าเมื่อตอนนั้น เสี่ยวเหยาเก็บไว้อย่างดีมาตลอดทั้งยังซ่อมให้ด้วย”
เขาหยิบเสื้อตัวนอกขึ้นมาสะบัด รอยยิ้มผนึกค้างในพริบตา จากนั้นเขาก็กระซิบถามจินเฟยเหยา “ไหนเจ้าบอกว่าซักจนสะอาดแถมยังซ่อมให้ด้วย?”
“ใช่ ซักจนสะอาดและซ่อมให้แล้ว มีอะไรหรือ?” จินเฟยเหยายืนอยู่ด้านข้าง เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
“แล้วอุจจาระบนนั้น ไปเปื้อนมาได้อย่างไร หรือว่าเจ้าเลี้ยงแมว? ดังนั้นมันจึงแอบมาถ่ายไว้ตอนเจ้าไม่ได้สังเกต” จู๋ซวีอู๋นำเสื้อตัวนอกไปไว้ไกลๆ เกรงว่ากลิ่นเหม็นจะลอยมา
สีหน้าของจินเฟยเหยาเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ นางเค้นคำพูดลอดไรฟันออกมา “ท่านไม่ดูให้ดีล่ะ! สายตาของขั้นกำเนิดใหม่ไปตายที่ใดแล้ว นั่นข้าใช้หนังสัตว์สีเหลืองซ่อม ใครบอกว่าเป็นอุจจาระ!”
“โอ๋?” จู๋ซวีอู๋นิ่งอึ้ง รีบมองดูอย่างละเอียด ไม่ใช่อุจจาระแต่เป็นหนังสัตว์จริงๆ
“เจ้าเป็นสตรีจริงหรือ อีกทั้งการซ่อมแซมต้องใช้วิธีหลอมอาวุธ เจ้าเจี๋ยตันแล้วไม่เคยหลอมอาวุธหรือ ฝีมือห่วยแตกเกินไปแล้ว แย่กว่าขั้นฝึกปราณอีก” จู๋ซวีอู๋มองรอยปะชุนที่เหมือนอุจจาระสุนัขร่วงลงบนพื้นหิมะ รู้สึกตกตะลึงในฝีมืออันย่ำแย่สุดขีด
จินเฟยเหยากลอกตาใส่เขาอย่างดุร้าย นี่เป็นของชิ้นแรกที่นางลองทำนอกจากประชุนกระเป๋าเก็บของ ฝีมือไม่ชำนาญย่อมน่าเกลียดอยู่บ้าง แต่บอกว่าเป็นอุจจาระก็เกินไป ตอนนั้นถ้าจอมมารหลงไม่ชอบสวมชุดสีขาวคงนำไปสวมนานแล้ว ผู้อื่นเป็นขั้นแปลงจิตยังไม่รังเกียจว่ามันอัปลักษณ์ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรังเกียจ
ไม่รู้ว่าจอมมารหลงได้ยินเข้าจะอัดนางจนบวมเป็นหัวสุกรอีกหรือไม่ ถึงอย่างไรยามนี้ไป๋เจี่ยนจู๋ก็มีสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เจี่ยนจู๋ เจ้าลองสวมดู นี่เป็นน้ำใจของเสี่ยวเหยาเลยนะ” จู๋ซวีอู๋ยืนอยู่ริมสระสวมเสื้ออุจาระสุนัขร่วงลงบนหิมะลงบนร่างไป๋เจี่ยนจู๋ จากนั้นมายืนมองดูอย่างละเอียดอยู่ไกลๆ พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เหมาะกับตัวมาก”
“ต้องเหมาะกับตัวแน่นอน ชุดนี้เดิมทีเป็นของเขา” จินเฟยเหยายืนอยู่ด้านข้าง เอ่ยรับเบาๆ จู๋ซวีอู๋นำขวดหยกและศิลาวิญญาณนิดหน่อยออกมาจากถุงเฉียนคุนแล้วแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “พวกกางเกงในกับรองเท้าข้าไม่ช่วยสวมให้แล้ว พวกยาและศิลาวิญญาณของเจ้าเสี่ยวเหยาก็ชดเชยให้ ข้าวางทั้งหมดไว้ตรงนี้นะ” จากนั้นเขาก็ใช้มือผลักจินเฟยเหยา “ไป เจ้าบอกว่าจะยอมรับผิดมิใช่หรือ”
จินเฟยเหยาได้แต่เดินไปเบื้องหน้าไป๋เจี่ยนจู๋ เอ่ยพลางยิ้มตาหยี “พี่ไป๋” เสียงเรียกพี่ไป๋ทำให้ไป๋เจี่ยนจู๋ขนลุกขนพอง มองใบหน้าที่แลดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและไม่ประทินโฉมของนาง เขาก็รู้สึกราวกับยักษ์โดนสายฟ้าฟาดมาเกิดใหม่
“พี่ไป๋ ครั้งที่แล้วข้าไม่ดีเอง ข้าไม่สมควรนำสิ่งของของท่านไป ตอนนี้ข้าขออภัยและชดใช้ให้ท่าน ท่านเป็นผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย อย่าเอาเรื่องข้าอีกเลยได้หรือไม่? จินเฟยเหยาใช้กระบวนท่าที่ดูมาจากผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนอื่น ฉุดดึงมือไป๋เจี่ยนจู๋ขึ้นแล้วแกว่งไกวอย่างออดอ้อน
เห็นสีหน้าของไป๋เจี่ยนจู๋น่าเกลียดอย่างผิดปกติ และไม่ส่งเสียงสักแอะ นางก็เอียงศีรษะเอ่ยกับไป๋เจี่ยนจู๋ด้วยรอยยิ้ม “พี่จู๋ พี่ไป๋ไม่โกรธข้าแล้ว ข้ายินดีอย่างยิ่ง”
“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ เจี่ยนจู๋ เจ้ารีบเปลี่ยนชุดแล้วมาที่ตำหนักซวีชิง ถ้าเจ้ายินยอม จะสวมชุดที่ซ่อมแล้วชุดนี้ก็ได้ พวกเราไปก่อนนะ” จู๋ซวีอู๋พยักหน้าอย่างพอใจ ฉุดลากจินเฟยเหยาที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มข้ามกำแพงไผ่แล้ววิ่งออกไป
เห็นเงาร่างของพวกเขาข้ามกำแพงออกไป ไป๋เจี่ยนจู๋ยืนอยู่ในน้ำพุร้อนอย่างโง่งม มองดูมือที่ถูกจินเฟยเหยาฉุดดึง รู้สึกว่าน้ำร้อนในบ่อน้ำพุร้อนเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบเสียดกระดูก ทันใดนั้น จิตใจเขาก็เจ็บปวด ตาลายวิงเวียนศีรษะ โลหิตสดคำหนึ่งพ่นออกมาจากปาก สาดกระจายลงในน้ำพุร้อน
พอตระหนักว่าแก้ปัญหาเรื่องเจ้าตัวหายนะไป๋เจี่ยนจู๋ได้แล้ว วันเวลาที่ตนเองอาศัยอยู่กินที่สำนักตงอวี้หวงจะสดใสยิ่งขึ้น จินเฟยเหยาก็เบิกบานอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จู๋ซวีอู๋จะไม่ได้รับคำตอบที่ตนเองรอคอยมาหกสิบปีแต่ก็ถือว่ารั้งจินเฟยเหยาไว้ได้ ดังนั้นจึงอารมณ์ดี
ทั้งสองคนกลับมาถึงตำหนักซวีชิง ผ่านไปครู่หนึ่งบรรดาศิษย์ต่างพากันเร่งรุดมา นอกจากมีศิษย์ไม่กี่คนที่ออกจากสำนัก คนอื่นๆ ล้วนมาถึงแล้ว ไป๋เจี่ยนจู๋มาเป็นคนสุดท้าย สีหน้าของเขาซีดขาว ท่าทางชีพจรจะได้รับบาดเจ็บ ทำให้บรรดาศิษย์พี่จำนวนมากเอ่ยถามเขาอย่างห่วงใยว่าธาตุไฟเข้าแทรกขณะฝึกบำเพ็ญหรือไม่
เขามีความทุกข์ก็บอกออกมาไม่ได้ ได้แต่บอกว่าตนเองไม่ทันระวัง ขณะฝึกบำเพ็ญใจร้อนไปหน่อยจึงถูกย้อนกลับมากลืนกิน ตอนเอ่ยวาจาไป๋เจี่ยนจู๋ยังมองจู๋ซวีอู๋และจินเฟยเหยา กลับพบว่าพวกเขาสองคนกำลังโต้เถียงกันเรื่องความนุ่มสบายของบัลลังก์ในตำหนัก ไม่ได้มองมาทางเขาเลย
“ทุกคนเงียบหน่อย ซือจู่มีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้า” เห็นทุกคนมากันพร้อมหน้า คงจู๋อู๋ก็ก้าวออกมาบอกทุกคน
ทุกคนเงียบลง ตั้งใจมองซือจู่ ซือจู่พาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่บอกว่าเป็นบุตรสาวกลับมา พวกเขาได้ยินแล้ว เพียงแต่ตอนนี้มองดูพวกเขาสองคนแล้วรู้สึกว่าเหลวไหลจริงๆ ไม่ต้องเอ่ยถึงคนคุ้นเคย ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้จักก็ดูออกว่าคนทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์กันเลยสักนิด
จู๋ซวีอู๋นั่งอยู่บนบัลลังก์ กระแอมลำคอให้โล่ง ชี้ไปยังจินเฟยเหยาที่ยืนอยู่ข้างกาย “คนนี้คือจินเฟยเหยาศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้า จะมาอาศัยอยู่ที่ตำหนักซวีชิงเราชั่วคราว ถึงนางจะไม่ใช่ศิษย์ของข้า ทว่าก็เหนือกว่าศิษย์ พวกเจ้าแต่ละคนรู้จักแต่ฝึกบำเพ็ญ น่าเบื่ออย่างยิ่ง นางมาเล่นเป็นเพื่อนข้า แต่นางบอกว่าเกรงใจที่จะกินฟรีดื่มฟรีที่นี่ ถ้าในสำนักมีธุระจิปาถะอย่างพวกไปร่วมรับประทานอาหารงานเลี้ยงก็เรียกให้นางไปช่วยได้”
“สวัสดีศิษย์พี่ทุกท่าน ข้าชื่อจินเฟยเหยา ศิษย์พี่ทั้งหลายโปรดช่วยดูแลด้วย” จินเฟยเหยากล่าวทักทายบรรดาบุรุษด้านล่างอย่างอ่อนหวาน
คงจู๋อู๋และคงจู๋โหย่วสบตากันทันที เกิดอะไรขึ้น! อาจารย์บอกว่านี่เป็นศิษย์น้องเล็กของพวกเรามิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้จึงเปลี่ยนเป็นศิษย์น้องเล็กของพวกเขาแล้ว แล้วจะนับลำดับรุ่นอย่างไร? อีกทั้งก่อนหน้านี้นางยังเรียกอาจารย์ว่าพี่จู๋ แบบนั้นก็สูงขึ้นไปอีกรุ่น เรียกสับสนวุ่นวายแบบนี้ หากแพร่ออกไปคนอื่นคงหัวเราะจนฟันร่วง!
ส่วนเฟิงอวิ๋นจู๋ยืนอยู่ข้างไป๋เจี่ยนจู๋ กระซิบกระซาบบอกเขาว่า “ศิษย์น้องไป๋ คิดไม่ถึงว่าซือจู่จะพานางกลับมา ทั้งยังให้อาศัยอยู่ข้างเจ้าด้วย เจ้าได้เปรียบแล้วจริงๆ ศาลาที่อยู่ใกล้น้ำย่อมได้รับแสงจันทร์ก่อน[1]”
“ศิษย์พี่เฟิง ข้าขอมอบความได้เปรียบนี้ให้ท่านครอบครองด้วยความยินดี ถ้าท่านไม่รังเกียจ พวกเราสามารถแลกเปลี่ยนถ้ำเซียนกันได้” ไป๋เจี่ยนจู๋กุมทรวงอกเบาๆ และกัดฟันพูด
เฟิงอวิ๋นจู๋ยักไหล่พลางเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ตอนนี้เจ้าก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว ถ้าข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่นจริงๆ เจ้ามิกินข้าหรือ”
ไป๋เจี่ยนจู๋สูดลมหายใจลึกๆ ไม่สนใจเฟิงอวิ๋นจู๋ และไม่คิดจะทำให้ชีพจรของตนเองได้รับความเสียหายอีกครั้ง
………………………………
[1] ศาลาที่อยู่ใกล้น้ำย่อมได้รับแสงจันทร์ก่อน หมายถึง อยู่ใกล้กว่าจึงได้เปรียบ