บทที่ 215 เจ้าสำนักเชิญพบ

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

มองดูบรรดาศิษย์พี่ขั้นสร้างฐานและขั้นหลอมรวมยี่สิบกว่าคนนี้ จินเฟยเหยาหยิบของขวัญพบหน้าที่เตรียมไว้ออกมาจากถุงเฉียนคุน “ศิษย์พี่ทุกท่าน ข้ามากะทันหัน ไม่ได้นำสิ่งของดีๆ มา พวกนี้เป็นสิ่งของท้องถิ่นเล็กน้อย พวกท่านนำไปลองชิมดูเถอะ”

คิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาจะนำของขวัญพบหน้ามาให้พวกเขาด้วย ทำให้บรรดาศิษย์พี่สำเร็จรูปแสดงความเก้อเขิน รีบครุ่นคิดว่าบนตัวพกอะไรที่สามารถนำมามอบให้ศิษย์น้องเล็กคนนี้ได้

ส่วนจินเฟยเหยากลับหิ้วสิ่งของกองใหญ่มามอบให้ ไหสุราเล็กๆ คนละไห จากนั้นปลาแห้งคนละสองตัว สุดท้ายยังให้ผลไม้สามผลและผลหลิวเจินหนึ่งพวง มองดูสิ่งของในมือ ทุกคนก็งุนงง เป็นสิ่งของท้องถิ่นจริงๆ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมจะมอบปลาแห้งให้?

จากนั้นได้ยินจินเฟยเหยาเอ่ยอย่างรื่นเริง “นี่เป็นสุราร้อยวิญญาณที่ใช้หญ้าวิญญาณร้อยกว่าชนิดหมักขึ้น เนื่องจากมีปริมาณน้อยดังนั้นได้แต่มอบให้ศิษย์พี่คนละหนึ่งไหเล็กๆ รอเมื่อวันหน้าหมักออกมาแล้วข้าจะไปเอาอีกรอบ ทุกคนจะได้ส่วนแบ่งเยอะหน่อย”

สุราร้อยวิญญาณ? หรือว่าเป็นสุราร้อยวิญญาณของจิ่วเมิ่งเจินเหรินแห่งยอดเขาหลิงฝูที่ถูกขโมยไป? ตลอดทางล้วนมีโจรให้เกียรติมาเยือนแต่ละสำนักใหญ่ ทุกคนได้ยินหมดแล้ว สิ่งที่ถูกขโมยไปก็ทราบกระจ่าง นึกไม่ถึงว่าของโจรจะวางอยู่เบื้องหน้าของทุกคนแบบนี้ ทุกคนที่ถือสิ่งของเหล่านี้รู้สึกร้อนลวกมืออย่างประหลาดทันที

“ปลาแห้งคือปลาหลี่มุมทองตากแดด ใช้เพลิงแท้ย่างนิดหน่อยรสชาติยอดเยี่ยมยิ่ง ยังมีผลหลิวเจินก็เป็นสิ่งของที่หาได้ยาก ในลานเรือนมีเพียงร้อยกว่าพวงข้าก็เอามาทั้งหมด ผลไม้สามลูกนี้พวกท่านอย่าเห็นว่ามันหน้าตาอัปลักษณ์ ที่จริงเป็นสิ่งที่สามารถหล่อเลี้ยงการรับรู้ได้ สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นพี่จู๋พาข้าไปเอามาอย่างยากเย็น” จินเฟยเหยาแนะนำสิ่งของเหล่านี้แก่ทุกคน สุดท้ายยังผลักภาระให้จู๋ซวีอู๋

ทุกคนมองจู๋ซวีอู๋อย่างจนใจ ได้แต่แค้นซือจู่ที่เหลวไหลเกินไปถึงกับออกไปขโมยสิ่งของ แล้วจะให้ผู้เยาว์อย่างพวกเขาทำอย่างไร หรือต้องไหลตามน้ำรับสิ่งของเหล่านี้ไว้จริงๆ? ในขณะที่ทุกคนลังเลตัดสินใจไม่ได้ จู๋ซวีอู๋ก็เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ทำอะไร พวกเราเอาสิ่งของมาอย่างยากลำบากพวกเจ้ายังรังเกียจ อยากได้ผลเซียนหลิงใช่หรือไม่? กินหมดไปนานแล้ว ไม่มีส่วนของพวกเจ้า มอบของขวัญขอบคุณออกมาจากนั้นต่างคนต่างไปทำงานของตน”

ซือจู่ไม่พอใจแล้ว…

ทุกคนรีบซ่อนสิ่งของไว้ในถุงเฉียนคุน ถ้าถูกศิษย์ของตำหนักอื่นๆ เห็น ตำหนักซวีชิงยังจะมีหน้าตาและที่ยืนได้อย่างไร

“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่มอบวงเวทขนาดเล็กให้หนึ่งชุด ต่อไปตอนอาบน้ำเจ้าสามารถใช้ได้ รับประกันว่าไม่มีใครแอบดูได้” เฟิงอวิ๋นจู๋เอ่ยปาก ทั้งยังยิ้มและขยิบตาให้จินเฟยเหยา

“ขอบคุณศิษย์พี่เฟิง” ไม่รู้ว่าเป็นวงเวทอะไร จินเฟยเหยายิ้มและเอ่ยขอบคุณ ศิษย์พี่เฟิงผู้นี้เป็นคนไม่เลว ตอนนั้นแทบจะให้วงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจเปล่าๆ อีกเดี๋ยวจะแอบมอบวิญญาณมังกรให้เขาสักหลายตัว

ขณะอยู่บริเวณฮุ่นตุ้น จินเฟยเหยารวบรวมวิญญาณมังกรไว้ไม่ต่ำกว่าพันตัว มีตั้งแต่ขั้นห้าจนถึงขั้นหก ต่อมาเนื่องจากรวบรวมไว้มากก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงคร้านจะดึงวิญญาณมังกรออกมาอีก วงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจของนางเปลี่ยนเป็นวิญญาณมังกรขั้นเจ็ดสิบสองตัว ที่เหลือนางคิดจะนำมามอบเป็นของขวัญหรือแลกเปลี่ยนสิ่งของดีๆ

ทุกคนกำลังกังวลว่าไม่มีสิ่งของที่เหมาะสมให้สตรีใช้ พอเห็นเฟิงอวิ๋นจู๋มอบวงเวทที่กองเป็นภูเขาของตนเองให้ ก็หาสิ่งของที่พอจะอวดได้ออกมาทันที

ของวิเศษชั้นล่าง วัตถุดิบนานาชนิด ทุกคนนำสิ่งของที่พออวดได้มามอบให้ วัตถุดิบนั้นช่างเถอะ ของวิเศษชั้นล่างเหล่านี้กลับทำให้จินเฟยเหยาหมดวาจาอยู่บ้าง

เข็มขัดหัวสุนัข? ไม่ถูกสิ น่าจะเป็นหัวสุนัขป่า เพียงแต่วิธีการหลอมขึ้นรูปไม่แตกต่างกับฝีมือของจินเฟยเหยาในตอนนั้นจริงๆ เข็มปักดอกไม้สิบสองเล่ม ศิษย์พี่ท่านนี้ดูแล้วรูปร่างสูงแปดฉื่อ รอบเอวสี่ฉื่อ คิดไม่ถึงว่าจะเล่นอาวุธลับแบบนี้ อีกทั้งดูสีหน้ากระหยิ่มของเขา ราวกับกำลังหัวเราะเยาะว่าศิษย์พี่คนอื่นๆ มอบสิ่งของที่ไม่เหมาะกับสตรีให้ ของวิเศษชั้นล่างชุดนี้ของตนเองจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในจำนวนนั้น

ศิษย์พี่แต่ละคนล้วนมอบของขวัญขอบคุณให้จินเฟยเหยา มีเพียงไป๋เจี่ยนจู๋ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้นำอะไรออกมา

จินเฟยเหยากระพริบดวงตาเป็นประกายมองเขา เขาก็มองจินเฟยเหยาอย่างสงบนิ่ง ทั้งสองคนสบตากันราวกับไร้ผู้คน

“ได้ยินว่าศิษย์พี่ไป๋รู้จักศิษย์น้องคนนี้นานแล้ว ตอนนั้นที่ศิลารองรับฟ้า เขาไล่ตามออกไปหลายวันก็เพื่อค้นหานาง เจ้าดูท่าทางมองกันด้วยสายตาหวานฉ่ำของพวกเขา คาดว่าอีกไม่นานจะได้ดื่มสุรามงคลของศิษย์น้องไป๋แล้ว”

“ใช่ ข้าบอกตั้งนานแล้ว ศิษย์น้องไป๋ไม่ใช่ท่อนไม้ มีความรักก็เป็นเรื่องปกติ”

“ศิษย์น้องเฟิง เช่นนั้นเจ้าก็จัดงานเลี้ยงพร้อมกับศิษย์น้องไป๋เถอะ ตำหนักซวีชิงของพวกเราจะได้มีงานมงคลคู่”

“ถุย จะแต่งเจ้าก็แต่งเองสิ ถึงตายข้าก็ไม่แต่ง!”

บรรดาศิษย์พี่แห่งตำหนักซวีชิงไม่มีงานรื่นเริงมานานเกินไปแล้วจริงๆ เริ่มยืนพูดคุยและลอบยิ้มอยู่ด้านข้าง

“ขอแสดงความยินดีที่ศิษย์น้องเข้าสู่ตำหนักซวีชิงเรา นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของข้า” ไป๋เจี่ยนจู๋หลุบตาลง นำกระเป๋าเก็บของที่เตรียมไว้นานแล้วออกมายื่นส่งให้จินเฟยเหยาที่ดวงตาเป็นประกายอยากได้ของขวัญขอบคุณมาตลอด

“รีบดูสิ ศิษย์น้องไป๋ใช้กระเป๋าเก็บของบรรจุ ท่าทางจะเตรียมไว้ก่อนมา เขามาสายขนาดนี้คาดว่าต้องขบคิดในถ้ำเซียนอยู่นานจึงหาสิ่งของที่เหมาะสมที่สุดได้” พอบรรดาศิษย์พี่ทางด้านข้างเห็นก็ดูออกทันที ไป๋เจี่ยนจู๋มีการเตรียมตัวมา ที่โลกระดับวิญญาณ กระเป๋าเก็บของกลายเป็นกระเป๋าเล็กๆ ที่ใช้มอบของขวัญหรือจ่ายศิลาวิญญาณ ตอนนี้นำออกมาย่อมต้องเตรียมไว้แต่แรกแล้ว

จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าไป๋เจี่ยนจู๋จะเตรียมไว้ล่วงหน้า เดิมทีนางยังคิดจะใช้สายตาโจมตีให้เขามอบของขวัญออกมา ครั้งนี้กลับจ้องเขาอย่างเปล่าประโยชน์อยู่นาน นางรับกระเป๋าเก็บของมาอย่างประหลาดใจและเอ่ยขอบคุณอย่างยินดี

“ศิษย์น้องเล็ก เปิดออกให้พวกเราดูหน่อยว่าศิษย์น้องไป๋มอบอะไรให้” เฟิงอวิ๋นจู๋โผล่ศีรษะออกมา เอ่ยอย่างร้อนใจจนรอไม่ไหว

“อ้อ รอข้าเปิดก่อน” จินเฟยเหยาเอ่ยพลางเปิดกระเป๋าเก็บของแล้วมองดูด้านใน ครู่หนึ่งก็ยิ้มแย้มจนตาหยี

ของดีอะไร? คิดไม่ถึงว่าจะดีใจขนาดนี้ เฟิงอวิ๋นจู๋รีบมองดูด้านใน จากนั้นทำหน้าอมทุกข์เอ่ยว่า “อะไร ศิษย์น้องไป๋ เจ้าไร้รสนิยมเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะมอบศิลาวิญญาณชั้นกลางให้”

“ไร้รสนิยมอะไร นางชอบสิ่งของประเภทนี้ที่สุด” ไป๋เจี่ยนจู๋เอ่ยอย่างชืดชาโดยไม่สนใจสีหน้าผิดหวังของเฟิงอวิ๋นจู๋

จินเฟยเหยาเก็บศิลาวิญญาณอย่างพึงพอใจ ศิลาวิญญาณชั้นกลางห้าร้อยก้อน ไป๋เจี่ยนจู๋เป็นสุภาพบุรุษจริงๆ ต่อไปคงต้องดีต่อเขาหน่อย เขาชอบสัตว์เล็กๆ ที่มีขนฟูๆ มิใช่หรือ วันหลังจะจับหนอนผีเสื้อสีสันสดใสให้เขาหลายๆ ตัว

หนอนผีเสื้อสีสันสดใสเป็นตัวอ่อนของผีเสื้อสีสันสดใส แต่ละตัวยาวเท่าแขน ตลอดร่างมีขนยาวห้าหกสีสันงอกเต็มไปหมด กินเฉพาะใบต้นถงหวงที่มีพิษเป็นอาหาร คลานกระดืบกระดืบ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครชอบสิ่งของประเภทนี้ แต่ไม่รู้ว่าจินเฟยเหยาคิดอย่างไร บางทีนางเพียงแค่คิดว่าเจ้าตัวนี้มีขนทั้งตัว จึงถือว่าพวกมันเป็นสัตว์ปิศาจที่น่ารัก

“ผู้อาวุโสจู๋ เจ้าสำนักเชิญท่านพาบุตรสาวไปตำหนักเซียวเทียนสักครา” ยามนี้ภายนอกตำหนักซวีชิงพลันมีเสียงเคารพนบนอบดังมา มีศิษย์ของตำหนักเซียวเทียนมาเชิญพวกเขาสองคน

“ข่าวเร็วขนาดนี้เชียว พวกเจ้าไปทำงานก่อน ข้าจะพาศิษย์น้องเล็กไปหาศิษย์พี่เจ้าสำนักสักครา” จู๋ซวีอู๋ยืนขึ้นอย่างหมดความอดทน บอกกล่าวกับศิษย์ด้านล่าง

ต้องบอกว่าคนสองคนที่จู๋ซวีอู๋ไม่อยากพบมากที่สุด ก็คืออาจารย์ของเขาและศิษย์พี่เจ้าสำนัก อาจารย์นั้นยังดี เป็นขั้นแปลงจิตช่วงปลายนานแล้ว หลายร้อยปีมานี้ใช้ชีวิตอยู่ที่โลกระดับเทพ กลับมาน้อยครั้ง ส่วนศิษย์พี่เจ้าสำนักกลับอยู่ใต้หนังตาของเขา ประพฤติตัวเถรตรงจนรับไม่ไหว ทุกครั้งที่พบเขาก็ต้องถูกบริภาษจนทนไม่ได้

“ขอรับ” บรรดาศิษย์พากันล่าถอยไป มีศิษย์น้องคนใหม่ แต่กลับไม่มีใครคิดจะจัดงานเลี้ยงเชิญแขกนำของขวัญที่มอบให้ไปก่อนหน้านี้กลับมา

“เจ้าไม่ต้องกลัว ถึงตอนนั้นเจ้าพูดน้อยๆ ก็พอ ศิษย์พี่ของข้าคนนี้ถึงจะเถรตรงไปหน่อย เอาแต่ตีหน้าเคร่งขรึมทั้งวัน ราวกับคนอื่นติดค้างศิลาวิญญาณชั้นบนหนึ่งล้านก้อนแล้วยังไม่คืน แต่ที่จริงก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง อย่างมากเจ้าก็แสร้งทำเป็นกลัวก็พอ” จู๋ซวีอู๋นำจินเฟยเหยาเดินออกจากตำหนักพลางกำชับนาง

จินเฟยเหยากลับลูบท้องเอ่ยว่า “ข้าหิวแล้ว กินข้าวแล้วค่อยไปเถอะ”

“บนตัวเจ้ายังมีของกินอยู่อีกมิใช่หรือ ไปพบศิษย์พี่ของข้า แล้วเจ้ากินอยู่ข้างๆ ก็ได้” จู๋ซวีอู๋เอ่ยโดยไม่คิด

ที่จริงจินเฟยเหยาไม่อยากไป แต่จู๋ซวีอู๋พูดแบบนี้ทั้งยังต้องอาศัยอยู่ในสำนักของผู้อื่น ไม่ไปสักคราคงไม่เหมาะสม “ก็ได้ แต่กินอาหารต่อหน้าเจ้าสำนักตงอวี้หวงจะไม่ค่อยดีกระมัง ข้าอดทนหน่อยดีกว่า”

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักสถานการณ์ ข้าต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าหิวมาก แอบกินหน่อยก็ได้ ข้ารับผิดชอบเอง” จู๋ซวีอู๋ตบอก เอ่ยอย่างห้าวหาญยิ่ง

เดิมทีระยะทางใกล้แค่นี้ ใช้นกถ่ายทอดเสียงจะเร็วกว่าให้คนมาเชิญเอง แต่เนื่องจากจู๋ซวีอู๋เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่จึงต้องให้เกียรติ ตำหนักเซียวเทียนจึงส่งศิษย์มา จู๋ซวีอู๋ลากจินเฟยเหยาไปกับศิษย์น้อยขั้นสร้างฐานที่จำไม่ได้คนนี้มาถึงตำหนักเซียวเทียน

สำหรับสำนักตงอวี้หวง จินเฟยเหยามีเพียงความรู้สึกลึกล้ำที่สุดอย่างหนึ่งคือคนเหล่านี้ช่างเกียจคร้านจริงๆ ชื่อของแต่ละตำหนักและชื่อของยอดเขาที่มันตั้งอยู่ล้วนเหมือนกัน ไม่รู้ว่าตั้งชื่อยอดเขาตามชื่อตำหนักหรืออยู่บนยอดเขาใดตำหนักก็ตั้งชื่อตามนั้น ดังนั้นแม้แต่ตำหนักเซียวเทียนที่เจ้าสำนักอยู่ก็ตั้งอยู่บนยอดเขาเซียวเทียนเช่นกัน

ตำหนักเซียวเทียนเรียกได้ว่าใหญ่โตโอ่อ่าแตกต่างจากตำหนักซวีชิงที่มีขนาดเล็กและงดงาม ตั้งแต่เบื้องบนจนถึงเบื้องล่าง บนยอดเขาทั้งลูกมีที่พักของศิษย์อยู่ทุกหนแห่ง ถึงจะไม่ได้เบียดเสียดแต่เปรียบกับยอดเขาซวีชิงที่เดินไปครึ่งชั่วยามก็ยังไม่เห็นถ้ำเซียนสักแห่ง ที่นี่ก็แออัดราวกับรังผึ้ง

ส่วนตำหนักเซียวเทียนที่สร้างบนยอดเขาและแสดงถึงศักดิ์ฐานะของเจ้าสำนักก็สร้างอย่างวิจิตรงดงาม มีอาคารสูงและศาลา มีศิษย์สตรีที่แต่งกายด้วยผ้าโปร่งพลิ้วไหวราวกับเทพธิดาเหาะไปเหาะมาบนยอดเขา ประกอบกับทะเลเมฆระหว่างภูเขา ดูราวกับตำหนักสวรรค์ในตำนานจริงๆ

จินเฟยเหยามองยอดเขาอันเจริญรุ่งเรืองลูกนี้แล้วอดคิดไม่ได้ ต้องใช้ศิษย์ระดับล่างมากมายเพียงใดเป็นแรงงาน จึงสามารถคงสภาพตำหนักใหญ่โตขนาดนี้ได้ เพียงแค่กวาดบันไดศิลาเหล่านั้นก็ต้องใช้คนจำนวนไม่น้อย นี่ยังแค่ตำหนักเดียว คนในสำนักมีมากมาย เป็นเจ้าสำนักช่างยากเย็นจริงๆ

………………………………