บทที่ 105 เพิ่มรายชื่อแขกหรืออย่างไร

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 105 เพิ่มรายชื่อแขกหรืออย่างไร

“เรามาเริ่มงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการกันดีกว่า”

หลิงจุนเซวียนลุกขึ้นยืน เขามีร่างกายสูงโปร่งสง่างาม แก้วเครื่องดื่มในมือชูขึ้นสูงขณะกล่าวว่า “งานประลองกระบี่ในคืนนี้ถือเป็นงานสำคัญของเมืองไป๋หยุน อาจารย์ไป๋ไห่ชินดูแลขั้นตอนทุกอย่างด้วยตนเอง และก่อนที่เราจะเริ่มการประลอง ในเมื่อทุกท่านอุตส่าห์เดินทางมาไกลขนาดนี้ ข้าพเจ้าจึงต้องขอดื่มคำนับให้แก่พวกท่านสักหน่อยแล้ว หวังว่าทุกท่านคงสนุกสนานกับงานเลี้ยงบ้างไม่มากก็น้อย”

“ขอบคุณท่านผู้ว่าหลิง”

“ฮ่าฮ่า ตามสบายนะทุกคน”

แล้วเหล่าแขกผู้มีเกียรติก็ยกถ้วยสุราขึ้นดื่ม

หลังจากนั้น หลิงจุนเซวียนจึงได้กล่าวเสริมว่า “การประลองกระบี่จะดำเนินไปตามกฎที่ตั้งเอาไว้ พวกเราฝ่ายจวนผู้ว่าไม่มีอำนาจเข้าไปแทรกแซง แต่ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าหวังว่าพวกท่านจะปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ขอบพระคุณ”

พูดจบแล้ว หลิงจุนเซวียนก็นั่งลง

จากสีหน้าท่าทางของเขาบอกชัดเจนว่าไม่พอใจกับงานประลองกระบี่ที่ไป๋ไห่ชินจัดขึ้นมาเลยสักนิด

บรรดาเด็กหนุ่มอาจจะมองไม่ออก แต่บรรดาผู้อาวุโสล้วนมองออกเป็นอย่างดี

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาควรให้ความสนใจ

ครั้งนี้ นอกจากจะได้รับชมการประลองระหว่างสุดยอดมือกระบี่จากเมืองไป๋หยุนแล้ว ทุกคนยังได้มีโอกาสรับชมฝีมือของเหล่าศิษย์เอกที่ติดตามอาจารย์มาร่วมงานเลี้ยงอีกด้วย

สิ่งสำคัญในงานเลี้ยงคืนนี้ ก็คือของรางวัลที่ผู้ชนะการประลองจะได้รับ

เพราะผู้ชนะการประลองจะได้รับอนุญาตให้เดินทางไปศึกษาวิชากระบี่ถึงเมืองไป๋หยุน

นี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มทุกคนใฝ่ฝัน

หากสามารถไปฝึกกระบี่ที่เมืองไป๋หยุนได้สำเร็จ นอกจากจะมีโอกาสเรียนรู้วิชากระบี่ระดับสูงจากอาจารย์ผู้มากฝีมือแล้ว ก็ยังสามารถสร้างเส้นสายในกลุ่มคนใหญ่คนโตได้อีกมากมาย

เมืองไป๋หยุนนับเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของจักรวรรดิ ว่ากันว่าแม้แต่องค์หญิงองค์ชายของราชวงศ์ปัจจุบัน ก็ยังถูกส่งไปร่ำเรียนกระบี่ที่เมืองนี้ อีกทั้งยังมีบรรดาคุณชายนายน้อยจาก ‘ตระกูลใหญ่’ ทั่ว 9 มณฑลด้วยเช่นกัน ต่อให้ได้เข้าไปร่ำเรียนถึงในเมืองไป๋หยุนแล้วล้มเหลว แต่สถานะของพวกเขาก็ยังสูงส่งกว่ามือกระบี่ธรรมดาอยู่ดี

“ขอบคุณทุกคนที่สละเวลา เพราะฉะนั้น ข้าคงต้องขอดื่มขอบคุณพวกท่านในนามของเมืองไป๋หยุนสักเล็กน้อย”

ไป๋ไห่ชินพลันลุกขึ้นยืน ชูจอกสุราในมือขึ้นสูง

แล้วบรรยากาศก็คึกคักแจ่มใสขึ้นมาทันที

ตามธรรมเนียมแล้ว เมื่อเจ้าภาพกับแขกคนสำคัญดื่มอวยพรเรียบร้อย ก็ถึงคราวของติงซานฉือที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือต้องดื่มอวยพรบ้าง เพราะนับเป็นแขกสำคัญอีกคนเช่นกัน

แต่อาจารย์ชรากลับนั่งซึมเป็นสุนัขหงอยเหงา เหมือนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นยืนแม้แต่น้อย

ไป๋ไห่ชินไม่เก็บมาคิดใส่ใจ หันไปคำนับจอกสุราใส่ติงซานฉือทีหนึ่ง ก่อนหันมากล่าวกับทุกคนว่า “ในเมื่ออาจารย์ติงไม่อยากพูดอะไรมาก งั้นเราก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า งานประลองกระบี่ในค่ำคืนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการประลองของเด็กหนุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ ข้ามั่นใจว่าพวกท่านคงรู้กฎดีอยู่แล้ว…”

แขกทุกคนพยักหน้า

พวกเขาย่อมรู้กฎเป็นอย่างดี

“ขอย้ำเตือนอีกสักครั้งว่า รางวัลที่ผู้ชนะการประมูลจะได้รับ ก็คือการเดินทางไปศึกษาเพลงกระบี่ที่เมืองไป๋หยุน ส่วนผู้ได้ตำแหน่งอันดับ 2 จะได้รับคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ระดับ 3 ดาว ชื่อว่า ‘คัมภีร์ฝึกการโคจรพลังลมปราณฉบับเมืองไป๋หยุน’ รวมถึงได้รับคัมภีร์วิชากระบี่ระดับ 3 ดาวอีกหนึ่งเล่ม ชื่อวิชา ‘กระบี่ทลายภูผา’ ส่วนผู้ที่ได้อันดับ 3 จะได้รับกระบี่และเครื่องรางจากเมืองไป๋หยุน…”

ไป๋ไห่ชินประกาศของรางวัลให้ทุกคนรับทราบ

หลังจากนั้น แววตาของบรรดาเด็กหนุ่มก็เป็นประกายระยิบระยับ สีหน้าบ่งบอกถึงความตื่นเต้นสุดขีด

นี่คือรางวัลใหญ่โดยแท้จริง

ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ฝึกการโคจรพลังลมปราณฉบับเมืองไป๋หยุน หรือคัมภีร์วิชากระบี่ทลายภูผา ต่างก็เป็นของล้ำค่า

แม้พวกมันจะเป็นคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ระดับ 3 ดาวเท่านั้น แต่ทั่วยุทธจักร มีคนที่สามารถฝึกได้สำเร็จนับได้ด้วยจำนวนนิ้วมือข้างเดียว และผู้ที่จะฝึกฝนได้ดีที่สุด ก็ต้องมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ขึ้นไป วิทยายุทธ์ทั้ง 2 วิชานี้จะช่วยยกระดับรากฐานและเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ฝึกอย่างก้าวกระโดด ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นที่หมายปองของทุกคนเสมอ

แต่ทว่า ผู้ที่จะศึกษาทั้ง 2 วิชานี้ได้ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากเมืองไป๋หยุนอย่างเป็นทางการเท่านั้น หากฝึกฝนโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็จะถูกจับตัวนำไปลงโทษสถานหนัก ดังนั้น ถึงแม้ในท้องตลาดจะมีคัมภีร์ทั้ง 2 เล่มนี้วางขาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าซื้อหา

ถ้าคืนนี้พวกเขาสามารถชนะการประลองได้ ก็จะสามารถฝึกทั้ง 2 วิชานี้ได้อย่างเปิดเผย

ในส่วนของกระบี่จากเมืองไป๋หยุน แม้ไม่สามารถเทียบได้กับกระบี่จากเมืองเซวียนเถียน ซึ่งได้รับฉายาว่าเป็น ‘เตาหลอมกระบี่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า’ แต่ก็ถือว่าเมืองไป๋หยุนคือ 1 ใน 3 แหล่งผลิตกระบี่ที่ดีที่สุดในจักรวรรดิ ต่อให้เป็นกระบี่ธรรมดา ก็นับว่ามีคุณสมบัติดีกว่ากระบี่วิหคครามของอาจารย์ฟาน ผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมศาสตราวุธแล้วด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น กระบี่ของเมืองไป๋หยุนจะถูกส่งต่อกันแค่ในเมืองเท่านั้น ห้ามไม่ให้มีการนำออกมาขายนอกเมืองเด็ดขาด เพราะฉะนั้น ต่อให้มีในครอบครอง แต่จอมยุทธ์หลายคนก็ไม่กล้านำออกมาสะพายโดยพละการ

ด้านเครื่องรางของเมืองไป๋หยุน เป็นสิ่งที่จะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปถึงศิษย์ของเมืองไป๋หยุนที่อยู่ใกล้ที่สุด ยามผู้พกพาตกอยู่ในอันตราย

โอกาสในชีวิตนี้ที่จะได้ศึกษาเพลงกระบี่ในเมืองไป๋หยุน ได้ครอบครองคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ 2 เล่ม ได้ครอบครองกระบี่และเครื่องราง นับว่าตายแล้วเกิดใหม่ก็คงหาไม่ได้อีก….

ของรางวัลสำหรับผู้ชนะการปกครองในค่ำคืนนี้ มีค่ามากกว่าทุกครั้งจริงๆ

เด็กหนุ่มทุกคนแทบรอการประลองไม่ไหวแล้ว

แต่หลินเป่ยเฉินกลับไม่ได้สนใจเลยสักนิด

เหมือนกับว่าคัมภีร์และกระบี่เหล่านั้น ไม่มีประโยชน์ในสายตาของเขาเลย

อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินสามารถเก่งได้ด้วยการโกงคนอื่นล้วนๆ เขามีแอปในมือถือให้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นวิชาไหนก็ตาม หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าตนเองมีโอกาสศึกษาได้อีกมากมายในภายหลัง

แต่นั่นไม่ใช่เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างกายเขา ไป๋ชินหยุนตื่นเต้นมากจนใบหน้าแดงก่ำ นางชูกำปั้นขึ้นมาปลุกใจตัวเองตลอดเวลา

เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวอยากได้ของรางวัลประจำค่ำคืนนี้มากนัก

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

นอกจากหลินเป่ยเฉินเพียงคนเดียวซึ่งทะลุมิติมาจากต่างโลกแล้ว เด็กหนุ่มเด็กสาวทุกคนที่ฝึกฝนวิชากระบี่ ต่างก็มีความฝันอันสูงสุดที่จะได้เดินทางเข้าไปเยี่ยมชมดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเมืองไป๋หยุนสักครั้งในชีวิต

ทหารยามของจวนผู้ว่าได้ตั้งโต๊ะหิน 12 ตัวไว้ในพื้นที่ว่างด้านหน้าสุดของงานเลี้ยง

จากนั้น มือกระบี่อาวุโสชื่อดังทั้ง 12 คนก็ถูกเชิญตัวไปที่โต๊ะเหล่านั้น เพื่อนำกระบี่และดาบที่พวกเขาพกติดตัวมาวางลงไป

ฉู่เหินจากสถานศึกษากระบี่ที่สามเอง ก็ถูกรวมอยู่ในกลุ่มมือกระบี่เหล่านั้นด้วยเช่นกัน

“เดี๋ยวก่อนนะ แบบนี้มันผิดปกติแล้วหรือเปล่า งานประลองคืนนี้มีแต่คนใหญ่คนโตจริงๆ เท่านั้นถึงได้รับเชิญ ขนาดอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่หลวงยังไม่ได้รับเชิญมาสักคน แล้วทำไมอาจารย์ฉู่จากสถาบันบ้านนอกของพวกเราถึงถูกเชิญมาได้ล่ะ?

หลินเป่ยเฉินสะดุดใจตรงจุดนี้จนอดสงสัยไม่ได้

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นใช้นิ้วกลางดันแว่นตาโดยไม่รู้ตัว

เพราะลืมไปว่าตอนนี้เขาไม่ได้สวมใส่แว่นตาเหมือนตอนอยู่โลกมนุษย์อีกแล้ว ปลายนิ้วมือของหลินเป่ยเฉินจึงทิ่มที่หว่างคิ้วของตัวเอง ดังนั้น สิ่งที่ไป๋ชินหยุนผู้นั่งอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มกำลังเห็นในขณะนี้ก็คือ หลินเป่ยเฉินกำลังใช้นิ้วกลางแตะหว่างคิ้ว ด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง

“มือกระบี่ตัวจริงจะต้องค้นหาอาวุธที่เหมาะสมกับตัวเองให้ได้ แต่อาวุธที่พวกเจ้ามีอยู่ในตอนนี้ มันเหมาะสมกับพวกเจ้าจริงหรือ? ทุกคนต่างก็มีกระบี่ที่เหมาะสมกับตัวเอง กระบี่ไม่ได้เป็นแค่อาวุธ แต่มันเปรียบเสมือนอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย มีความสนิทสนมใกล้ชิดกันยิ่งกว่าญาติพี่น้องในครอบครัวของมือกระบี่ผู้เป็นเจ้าของ”

“เพราะฉะนั้น ขั้นแรกของการประลองในค่ำคืนนี้จึงไม่มีอะไรซับซ้อน เราอยากจะดูว่าพวกเจ้ามีความรู้สึกต่อกระบี่อย่างไรบ้าง บนโต๊ะหินเบื้องหน้าพวกเจ้าในขณะนี้ คือกระบี่และดาบ 12 เล่มที่อาจารย์ของพวกเจ้าคัดเลือกมาเป็นอย่างดี พวกเจ้ามีเวลา 2 ก้านธูปเพื่อเลือกอาวุธคู่กายได้คนละเล่ม”

หัวหน้านายทหารประจำจวนผู้ว่าประกาศกฏกติกาเสียงดังชัดเจน

เด็กหนุ่มและเด็กสาวสิบกว่าคนลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่โต๊ะหินเหล่านั้น

ไป๋ชินหยุนกระโดดโลดเต้นเหมือนกระต่ายน้อย แต่เดินไปได้เพียงสองสามก้าวนางก็ชะงักกึก ก่อนจะหมุนกายหันมาถามหลินเป่ยเฉินว่า “ท่านมัวทำอะไรอยู่? ไม่ไปเลือกกระบี่หรือ”

เมื่อได้ยินคำนั้น หลินเป่ยเฉินถึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้านและเดินตามนางไปเลือกกระบี่ด้วยใบหน้าที่มุ่ยเล็กน้อย

มือกระบี่รุ่นเยาวชนที่ได้รับเชิญมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 12 คน เทียบเชิญที่ถูกส่งให้พวกเขาก็มีอยู่ 12 ใบ แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินกวาดตามองรอบกาย ก็นับดูได้ว่ามีคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขารวมกลุ่มกันอยู่ไม่ต่ำกว่า 21 คน แม้แต่เฉาพั่วเถียนก็รวมอยู่หนึ่งในนั้นด้วย

ตกลงว่างานประลองกระบี่คืนนี้ ไม่จำกัดจำนวนผู้ที่ได้รับเชิญแล้วหรือ?

หรือว่ามีการเพิ่มรายชื่อแขกโดยที่เขาไม่รู้มาก่อน?