บทที่ 106 อาจารย์เปรียบเสมือนบิดาคนที่ 2

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 106 อาจารย์เปรียบเสมือนบิดาคนที่ 2

บนโต๊ะหินเบื้องหน้ามีทั้งดาบทั้งกระบี่วางรวมกัน

ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง คมดาบ ด้ามจับ หรือสีสันล้วนแตกต่างกันไป

ดาบบางเล่มหนักจนต้องถือด้วยสองมือ

ในขณะที่กระบี่บางเล่มก็เบาหวิวยิ่งกว่าขนนก

กลุ่มเด็กหนุ่มและเด็กสาวเดินเข้าไปยืนห้อมล้อมโต๊ะหินและเลือกอาวุธประจำกายอย่างละเอียดรอบคอบ

กฎระบุเอาไว้ว่า พวกเขาดูได้แต่ตาเท่านั้น ห้ามใช้มือจับต้องเด็ดขาด

เมื่อมือสัมผัสกระบี่หรือดาบเล่มใดแล้ว ก็เท่ากับว่าเลือกอาวุธเล่มนั้นไปโดยปริยาย

ผู้ที่สามารถเลือกอาวุธได้ ต้องเป็นผู้ที่ได้รับเทียบเชิญเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปมองกลุ่มของเฉาพั่วเถียนที่เดินออกมาจากศาลาริมน้ำ และพบว่ามีแต่เพียงตงฟางซานคนเดียวเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเข้ามาเลือกอาวุธได้ แม้แต่ 2 พี่น้องตระกูลเซี่ยโหว ก็ทำได้เพียงยืนมองด้วยดวงตาร้อนผ่าวเท่านั้น

“โธ่เอ๊ย แม้แต่เทียบเชิญพวกเจ้าก็ยังไม่มีปัญญาได้รับ แล้วยังกล้ามาหาเรื่องข้าอีกหรือนี่?”

หลินเป่ยเฉินไม่ปล่อยให้โอกาสงามหลุดมือ พูดออกไปด้วยน้ำเสียงสอนสั่ง

พวกของเซี่ยโหวฉ่งใบหน้ากระตุก แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะความจริงมันค้ำคอ

ตงฟางซานเพียงพาพวกเขามาด้วย เพื่อร่วมชมงานประลองเท่านั้น

“หึหึ ข้าล่ะชอบใจจริงๆ ตอนที่พวกเจ้าอยากจัดการข้าแทบตาย แต่ไม่มีปัญญาทำอะไรได้สักอย่างแบบนี้”

หลินเป่ยเฉินกล่าววาจาถากถางออกไปอีกครั้ง

พวกของเซี่ยโหวฉ่งแทบจะกระอักเลือดด้วยความช้ำใจตายแล้ว

หลินเป่ยเฉินนับว่ามีวาจาร้ายกาจจริงๆ

ทุกคำพูดทิ่มแทงหัวใจยิ่งกว่าคมกระบี่

“เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว ยังไม่รีบมาเลือกกระบี่อีก”

ไป๋ชินหยุนดึงหลินเป่ยเฉินให้เข้ามาที่โต๊ะวางอาวุธ

กลุ่มเด็กหนุ่มและเด็กสาวที่ยืนล้อมรอบโต๊ะหินต่างก็มีดวงตาเบิกกว้าง พินิจพิจารณากระบี่และดาบแต่ละเล่มด้วยความละเอียดถี่ถ้วน หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้เลยว่ามีหลายคนปล่อยคลื่นพลังจิตออกมาเพื่อสำรวจพลังจากศาสตราวุธแต่ละชิ้น

ดูเหมือนว่ามีคนจำนวนไม่น้อยฝึกการใช้พลังจิตมาแล้วเป็นอย่างดี

หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าไป๋ชินหยุน

เด็กสาวเพิ่งเข้าเรียนในสถานศึกษากระบี่ที่สามเป็นปีแรก นางยังไม่เคยฝึกพลังจิต ดวงตาที่ดำขลับกวาดมองกระบี่แต่ละเล่มเหมือนแววตาของเสือร้ายที่ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นจากเหยื่อตัวไหนดี

“หรือว่าความจริงแล้วพวกเขาตั้งใจทดสอบพลังจิตกันแน่?”

หลินเป่ยเฉินอดสงสัยไม่ได้

เพราะฉะนั้น เขาจึงปล่อยคลื่นพลังจิตของตนเองออกไปบ้าง เด็กหนุ่มให้ความสนใจอยู่ที่ดาบสองเล่มเบื้องหน้า เขารู้สึกว่ามันมีรัศมีเป็นประกายโดดเด่นกว่าดาบและกระบี่เล่มอื่นๆ ดาบเล่มหนึ่งให้ความรู้สึกร้อนแรงเหมือนเปลวไฟ ในขณะที่ดาบอีกเล่ม ก็ให้ความรู้สึกอ่อนโยนลื่นไหล นับว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หลินเป่ยเฉินชอบทั้งคู่จนตัดสินใจเลือกไม่ถูก

หรือเขาควรใช้พลังจิตเป็นตัวตัดสิน ว่าควรเลือกดาบเล่มไหนดีไหมนะ?

“ถ้าเป็นอย่างนั้น…”

ยังไม่ทันที่จะได้ตัดสินใจ ไป๋ชินหยุนก็เอื้อมมือมากระตุกชายเสื้อเขา

เด็กสาวเขย่งเท้าขึ้นมากระซิบใส่หูหลินเป่ยเฉินว่า “นี่…ท่านตัดสินใจได้หรือยัง? เพราะเหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าดาบและกระบี่ทุกเล่ม มันถึงได้เหมือนกันไปหมด? เล่มนั้นก็ดี เล่มนี้ก็เด่น แล้วแบบนี้ข้าควรเลือกเล่มไหนดีเล่า?”

หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองเด็กสาวพร้อมกับยิ้มกว้าง

ไป๋ชินหยุนรีบพูดอย่างร้อนตัวว่า “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากท่าน ข้าเพียงอยากจะลองเชิงท่านต่างหาก ข้าตัดสินใจได้ตั้งนานแล้วว่าควรเลือกกระบี่เล่มนี้…” พูดจบ นางก็ชี้มือไปยังกระบี่ที่ฝักของมันประดับด้วยอัญมณีระยิบระยับ “ข้าว่ามันเหมาะสมกับข้ามากที่สุดแล้ว”

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองกระบี่เล่มนั้น แล้วจึงส่ายศีรษะ “ผิดถนัด ข้าว่าดาบเล่มนี้ต่างหากที่เหมาะสมกับเจ้า”

เขาชี้มือไปยังดาบใหญ่ที่หนักจนต้องถือด้วยสองมือ มันวางอยู่บนโต๊ะหินด้านซ้ายมือ มีขนาดความกว้าง 5 คืบ ยาว 6 เซี๊ยะ และตัวใบดาบเป็นสีน้ำเงินเข้ม

“อย่ามาโกหก”

ดวงตาของไป๋ชินหยุนปรากฏความลังเลไม่เชื่อใจ “แค่ความกว้างของใบดาบอย่างเดียวก็ใหญ่กว่าหน้าข้าแล้ว แถมความยาวของตัวดาบยังสูงกว่าตัวข้าเสียอีก แล้วแบบนั้นมันจะเหมาะสมกับข้าที่สุดได้อย่างไร?”

“เฮอะ” ไป๋ชินหยุนทำเสียงจิ๊จ๊ะ “จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า”

หลังจากนั้น เขาก็ไม่สนใจเด็กสาวอีก เพราะจากการที่ได้ลองพูดคุยกันก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินพบว่าไป๋ชินหยุนน่าจะเข้าข่ายพวกอัจฉริยะสติเฟื่อง ไม่ได้เย็นชาสูงส่งเหมือนภาพลักษณ์ เท่าที่เห็นบางมุมยังดูเพ้อฝันเกินไปด้วยซ้ำ

พอได้ยินเด็กหนุ่มตอบกลับมาเช่นนั้น ไป๋ชินหยุนก็ยกมือกอดอก มีสีหน้าคิดหนักทีเดียว

หรือว่านางจะเชื่อคำพูดของเขา?

หลินเป่ยเฉินเลิกให้ความสนใจไป๋ชินหยุนโดยสิ้นเชิง

เขาขี้เกียจใช้พลังจิตสำรวจดาบและกระบี่เล่มที่เหลืออีกด้วยซ้ำ

หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองโต๊ะทุกตัว จากนั้นจึงเดินไปหยิบดาบเล่มหนึ่งที่มีความยาว 6 เซี๊ยะ มีความกว้างของใบดาบครึ่งเซี๊ยะ จากนั้น ก็ยกมันขึ้นมาลองหยั่งน้ำหนัก

เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับดาบเล่มนี้เลย

เหตุผลที่เลือกมาก็เพราะมันมีขนาดใหญ่และหนัก แถมน่าจะตีขึ้นมาจากเงินบริสุทธิ์ ดูมีราคาดีไม่น้อย

เมื่อการประลองจบลง คงเอาไปขายได้กำไรพอสมควร

ด้วยความที่เลือกอาวุธคู่กายได้เป็นคนแรก ทุกสายตาจึงหันมาจับจ้องมองหลินเป่ยเฉินเป็นตาเดียว

มือกระบี่ผู้อาวุโสแต่ละท่าน มีปฏิกิริยาตอบรับแตกต่างกันไป

ฉู่เหินมีสีหน้าตกตะลึงมากกว่าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา

ที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินเคยใช้เพียงกระบี่ขนาดมาตรฐาน ไม่เคยใช้ดาบขนาดใหญ่เท่านี้มาก่อน ซ้ำมันมีน้ำหนักเยอะต้องถือด้วยสองมือ…อาจารย์ฉู่ไม่รู้เลยว่าหลินเป่ยเฉินคิดอะไรอยู่ถึงเลือกดาบเล่มนี้ หรือว่าเจ้าเด็กนี่มีเคล็ดลับอะไรที่พวกเขายังไม่รู้?

หลินเป่ยเฉินกุมด้ามดาบด้วยสองมือ ลองโบกสะบัดไปมา ปรากฏว่าน้ำหนักไม่ได้เยอะเท่าที่คิด

เรียบร้อยจึงใช้นิ้วมือลูบไล้บนใบดาบ มันทำให้เขาได้ทราบว่าดาบเล่มนี้ตีขึ้นมาจากเงินบริสุทธิ์จริงๆ

หลินเป่ยเฉินจึงยิ้มแย้มออกมาด้วยความพึงพอใจ

เด็กหนุ่มเหน็บดาบเข้ากับข้างเอว ปล่อยให้คมของมันลากถูไปกับพื้น เวลาเขาก้าวเดิน จึงเกิดประกายไฟแลบแปลบปลาบเป็นทางตามด้านหลัง หลินเป่ยเฉินไม่สนใจสายตาของผู้อื่นที่จ้องมองมา เขาเพียงเดินเข้าไปหาติงซานฉือพร้อมรอยยิ้ม “อาจารย์ขอรับ ถ้าได้ยินไม่ผิด เหมือนไป๋ไห่ชินจะเรียกท่านว่าศิษย์พี่ ท่านเคยศึกษาวิชากระบี่ที่เมืองไป๋หยุนหรือขอรับ?”

ติงซานฉือหันกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าเป็นใคร? เรารู้จักกันด้วยหรือ?”

หลินเป่ยเฉินทำเป็นหัวเราะคิกคัก กล่าวต่อว่า “ไม่เอาน่า อาจารย์ตบตาได้ไม่แนบเนียนเลยขอรับ คิดหรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้จักแล้วข้าน้อยจะยอมแพ้? อาจารย์อุตส่าห์เคยมอบกระบี่คุณธรรมให้ข้าน้อยใช้งาน แถมยังถ่ายทอดท่าไม้ตายกระบี่ดาราคล้อยให้อีกด้วย ทุกคนในสถาบันของเราต่างก็รู้ดี…ต่อให้ท่านไม่อยากจะให้ข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยจริงๆ มันก็สายเกินไปแล้วขอรับ”

ในที่สุด ความอดทนของติงซานฉือก็หมดลง

เขาตวาดว่า “เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดนักหรือไง รู้หรือไม่ว่ามาที่นี่ เจ้ามีแต่สร้างปัญหาให้ตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ทำไมเจ้าต้องรับเทียบเชิญนั้นด้วย? นอนอยู่บ้านเฉยๆ สักวันไม่เป็นหรือไง?”

“หากข้ากลัวว่าจะต้องพบเจอปัญหา ชีวิตนี้คงได้แต่ทำตัวเป็นลูกเต่าหดหัวอยู่ในสถาบันตลอดไปแล้วขอรับ ถึงข้าน้อยจะได้รับการขนานนามให้เป็นเจ้าแกะดำคนไม่เอาไหน แต่อย่างน้อย ข้าก็ไม่ลืมการตอบแทนบุญคุณผู้อื่นเด็ดขาด” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

แน่นอนว่าเขาก็ไม่อยากหาปัญหาใส่ตัวเหมือนกัน

ถ้าจะให้เขาหลบอยู่ในบ้านพัก ฝึกพลังต่อไปเงียบๆ รอคอยโอกาสได้กลับโลกมนุษย์โดยไม่ทำอะไรอย่างอื่นอีก เขาก็ทำได้

แต่หลินเป่ยเฉินไม่เคยติดค้างบุญคุณใคร

เฉกเช่นชีวิตในเกมออนไลน์ของเขา หลินเป่ยเฉินคือเซียนคีย์บอร์ดขนานแท้ เขาเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมให้กับผู้คนมากมาย ยามนี้เมื่อเกิดปัญหากับคนใกล้ตัว แล้วหลินเป่ยเฉินจะเมินเฉยได้อย่างไร อีกอย่าง เด็กหนุ่มเป็นคนที่ชื่นชอบช่วยเหลือผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไร

มิเช่นนั้น เขาคงไม่เสี่ยงชีวิตไปช่วย ‘ยมทูต’ จากอุบัติเหตุครั้งนั้นหรอก

เดิมที หลินเป่ยเฉินวางแผนจะมาร่วมชมงานประลองเงียบๆ หากติงซานฉือได้เปรียบในการต่อสู้และไม่ต้องการความช่วยเหลือ เขาก็จะซ่อนตัวต่อไปเหมือนคนขี้ขลาด และแกล้งทำเป็นไม่รู้จักติงซานฉือด้วยซ้ำ

แต่พอถึงวันงานจริงๆ เฉาพั่วเถียนยืนอยู่ด้านหลังไป๋ไห่ชิน ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นก็มีลูกศิษย์ประจำตัวยืนอยู่ไม่ห่าง มีเพียงติงซานฉือคนเดียวเท่านั้นที่นั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้น ความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ก็เกิดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจของเขา

ด้วยเหตุนี้ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจเดินเข้ามาทักทายติงซานฉือภายใต้การจ้องมองของทุกคน

แม้หลินเป่ยเฉินจะรู้ดีว่าการประลองค่ำคืนนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อเล่นงานติงซานฉือโดยเฉพาะ แต่เขาก็ไม่หวาดกลัวที่จะทำตัวใกล้ชิดกับอาจารย์ชรา และหลินเป่ยเฉินคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เขาต้องมายืนหยัดอยู่ข้างอาจารย์ของตนเองบ้าง

“โบราณกล่าวไว้ว่าอาจารย์ก็เปรียบเสมือนบิดาคนที่ 2 ขอรับ” เจ้าแกะดำยิ้มแย้มอย่างยียวน “อย่างน้อยในค่ำคืนนี้ ข้าก็ยังเป็นลูกศิษย์ของท่านอยู่”