ตอนที่ 9 นายเป็นสวีเล่ออย่างนี้นี่เอง

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 9 นายเป็นสวีเล่ออย่างนี้นี่เอง!

โจวเจ๋อเริ่มใช้ขาทั้งสองข้างถีบจากด้านในดันออกมาด้านนอก ตั้งใจจะปล่อยตัวเองออกไป แต่ด้านนอกกลับมีเสียง ‘แกร๊กแกร๊ก’ ลอดเข้ามา นี่หมายความว่าตู้แช่ถูกใครบางคนล็อกเอาไว้จากด้านนอก

เขาถูกขังไว้ ออกไปไม่ได้แล้ว

ชั่วขณะหนึ่ง ทำให้โจวเจ๋อนึกถึงตอนที่เขาถูกขังไว้ในโลงศพที่แสนจะคับแคบ

เพียงแต่ในครั้งนี้ โจวเจ๋อไม่ได้คุ้มคลั่งและไม่แสดงความโกรธออกมา เขาเพียงแค่เอื้อมมือขึ้นไปเคาะแผ่นโลหะที่อยู่ตำแหน่งเหนือศรีษะของตัวเอง

“มีอะไร”

โจวเจ๋อไม่คิดว่าจะมีคนมาที่นี่เพื่อช่วยเขาดันตู้แช่แข็งเข้าไปแล้วดันล็อกให้อีก เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนบ้า จิตไม่ปกติ และโจวเจ๋อก็ไม่ได้คิดว่าโชคของตัวเองจะแย่ได้ถึงขนาดนี้

และหลังจากที่เขาเข้าห้องดับจิตมา ก็ปิดประตูสนิทแล้ว จะมีคนบ้าที่ไหนที่รู้รหัสห้องดับจิตด้วยเหรอ

คุณเชื่อไหมล่ะ

ดังนั้น โจวเจ๋อจึงทำได้เพียงคิดว่า มีสิ่งนั้น ‘ช่วย’ ตัวเองเอาไว้ และมันก็ช่วยได้จริงๆ

เพียงแต่ว่าหลังจากถามออกไป ด้านนอกยังคงไร้ซุ่มเสียงเช่นเคย

โจวเจ๋อไม่สนใจมันอีก หลับตาลงอีกครั้ง เตรียมตัวนอนหลับให้สบายๆ

การนอนในครั้งนี้ เขาเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็ว

อย่างไรเสียก็เป็นเพราะไม่ได้นอนมาสองวันแล้วด้วย อีกทั้งเรื่องราวในสองวันมานี้ก็มากมายหลายอย่าง และความเหนื่อยล้าที่สะสมมานั้นก็น่ากลัวเหลือเกิน

‘แม้ว่าฉันจะตายหลังน้ำจะท่วมสูงเทียมฟ้า

ในตอนนี้ไม่อาจมีใครมาหยุดฉันจากการนอนหลับได้’

และไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน เมื่อตอนที่โจวเจ๋อลืมตาขึ้นมา รู้สึกแค่ว่าตัวเองสดชื่นกระปรี้กระเปร่าและจิตวิญญาณที่หายไปนานก็ฟื้นคืนมา น่าเสียดายที่ร่างกายตัวเองกลับถูกแช่จนแข็งทื่อ

ระดับความแข็งทื่อของร่างกายมีความน่ากลัวอยู่เล็กน้อย โจวเจ๋อพยายามดิ้นขยับร่างกายตัวเองในพื้นที่แคบๆ อยู่หลายครั้งและมี ‘เสียงดัง’ ลอดออกมาเป็นพักๆ มันผ่อนคลายมาก จนผู้คนส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว

และในเวลานี้เล็บทั้งสิบนิ้วของโจวเจ๋อก็งอกยาวขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีดำตามธรรมชาติ เปล่งประกายแสงมันวาวแปลกประหลาด ร่างกายที่แข็งทื่อรวมไปถึงภายในร่างกายที่สำหรับคนทั่วไปแล้วเป็นความหนาวเหน็บที่ยากจะรับไหว กำลังคืบคลานมารวมกันที่ปลายนิ้วของเขา

กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไม่นานนัก แต่กลับทำให้โจวเจ๋อไม่รู้สึกหนาวและอึดอัดอีกต่อไป

เขาใช้เท้าถีบอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว และตู้แช่แข็งก็ไหลพรืดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

ตัวล็อกถูกปลดแล้วหรือ

โจวเจ๋อรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาลุกขึ้นนั่งบนแผ่นเหล็กแล้วลงมา จากนั้นก็ดันตู้แช่แข็งกลับเข้าไปอีกครั้ง

เสื้อผ้าบนตัวแข็งกระด้างนิดหน่อย เหมือนแขวนแผ่นกระดาษแข็งไว้บนร่างกายของตัวเองเสียอย่างนั้น ให้ความรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวอย่างมาก สายตาของโจวเจ๋อมองกวาดไปรอบๆ

ห้องดับจิตของโรงพยาบาลในเครือนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลใหญ่ในเมืองใหญ่แล้ว ถือว่าไม่ใหญ่มากนัก แม้จะดูน่าอายไปบ้างอย่างเห็นได้ชัด แต่ภายในนั้นเก็บศพไว้อยู่ไม่น้อยเลย

โจวเจ๋อไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้ ใครเป็นคนช่วยผลักตัวเองเข้าไปกันแน่ ตอนนี้คิดอยากตามหาขึ้นมาและมันก็ออกจะยากอยู่สักหน่อย

โชคดีที่อีกฝ่ายปลดล็อกอีกครั้งในขณะที่เขากำลังหลับสนิทอยู่ โจวเจ๋อไม่ได้ตั้งใจจะมาสร้างปัญหาที่นี่อีก

เขาเดินไปทางประตูของห้องดับจิต ตั้งใจจะออกไป ขณะที่เดินผ่านเตียงที่คลุมผ้าขาวไปได้สองสามเตียง โจวเจ๋อก็หยุดก้าวเดิน

ศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาวเหล่านั้น ไม่มีอะไรผิดปกติ

รวมทั้งหญิงชราที่ถูกห่อด้วยผ้าห่มลายดอกสำหรับใช้ที่บ้านด้วย ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

แต่โจวเจ๋อยังคงหยุดเดินอยู่อย่างนั้น

เพราะเขาจำได้ว่าตำแหน่งศีรษะและเท้าของหญิงชราที่นอนอยู่นั้นกลับหัวกลับหาง

เป็นไปไม่ได้ที่ในขณะตัวเองกำลังนอนอยู่นั้น ผู้ดูแลจะพรวดพราดเข้ามาในห้องดับจิตโดยที่ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น แต่ทำแค่กลับหัวกลับหางให้หญิงชรา

โจวเจ๋อยืนอยู่ข้างๆ หญิงชราแล้วเอ่ยขึ้น

“หากเป็นคุณละก็ ถ้าตอนนี้ไม่ออกมาผมจะไปแล้วนะ”

ก่อนหน้านี้หญิงชราผลักตัวเองเข้าไปแล้วล็อกเอาไว้ อาจมีเจตนาไม่ดี แต่เธอกลับช่วยตัวเองปลดล็อกกุญแจอย่างเงียบๆ อีกครั้ง แสดงว่าเธอไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายตน

อาจมีคนเดินเข้ามาในเวลานั้น และเมื่อเห็นตู้มืดๆ มีตัวล็อกเปิดอยู่ ตัวเองอาจจะถูกพบเอาได้

อีกอย่างก็เห็นได้ชัดจากภายนอกว่าตู้มืดเหล่านี้กำลังล็อกหรือปลดล็อกเอาไว้

รออีกครึ่งนาที ไม่มีอะไรผิดปกติ โจวเจ๋อก็ไม่คิดจะรออีก

ขณะที่เขากำลังจะหันหลังจากไป ก็มีเสียงถอนหายใจมาจากข้างหลังเขา

โจวเจ๋อไม่ชอบความรู้สึกนี้เอามากๆ

กระมิดกระเมี้ยน

จะปฏิเสธหรือจะยินดี

เห็นอยู่ว่าตอนเสียชีวิตเป็นหญิงชราคนหนึ่ง แต่กลับทำตัวเหมือนเป็นเด็กสาวตัวน้อยๆ

เอาเถอะ เลือกปฏิบัติเพราะอายุนั้นไม่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่คนทั่วไปมักจะมีความอดทนสูงให้กับผีสาวสวยมากกว่านิดหน่อย นั่นก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปของมนุษย์เช่นกัน

ถ้าใบหน้าของเนี่ยเสี่ยวเชี่ยนมีรอยย่นและฟันเหลืองอ๋อย คุณลองเดาสิว่าหนิงฉ่ายเฉิน[1]จะมีความรักระหว่างคนกับผีอยู่หรือไม่

โจวเจ๋อหันกลับไปมองด้านหลังตัวเอง

หญิงชราผมหงอกขาวเต็มหัวหมอบอยู่ตรงนั้น พลางเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมือ

แต่ผี ไม่มีน้ำตาหรอก ดังนั้นในมุมมองของโจวเจ๋อแล้วหญิงชรายิ่งดูยิ่งเหมือนน้ำตาจระเข้

“คุณร้องไห้ต่อไปนะ ไม่กวนคุณแล้ว”

โจวเจ๋อกำลังจะออกไป

เขาพบว่าตัวเองเป็นปุถุชนคนธรรมดา และถึงแม้เขามองเห็นผีก็ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง

“ช่วยฉันด้วย ฉันมีเงินนะ” ทันใดนั้นหญิงชราก็ปริปากพูด

“อืม” โจวเจ๋อตอบไปหนึ่งเสียง เขาขาดแคลนเงิน

ทั้งอาลีเพย์และในวีแชทของเจ้าสวีเล่อน่าตายนั่นรวมกันแล้วไม่ถึงสองร้อยหยวน แล้วยังรวมเงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยหยวนที่ ‘ฆาตรกร’ คนนั้นคืนให้อีก ทั้งเนื้อทั้งตัวของโจวเจ๋อในตอนนี้มีทรัพย์สินไม่ถึงหนึ่งพันสามร้อยหยวนเสียด้วยซ้ำ

และทั้งบ้านทั้งเงินออมทรัพย์ของโจวเจ๋อในชาติก่อนน่าจะถูกบริจาคให้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไปหมดแล้ว เท่ากับว่าตัวเองตอนนี้เหลือแต่ตัว

“เงินอยู่ในตู้ของฉัน เป็นตู้ไม้เก่าเคลือบสีเหลืองตู้หนึ่ง มีอยู่สามหมื่นหยวน ในนั้นยังมีของหมั้นสมัยก่อน ทั้งปิ่นหยก กำไลหยก ฉันไม่รู้ว่ามันมีค่าราคาเท่าไร

ฉันด่วนจากไปเสียก่อน ยังไม่ทันบอกพวกลูกชายของฉันเลย ฉันกลัวว่าพวกเขาจะไม่รู้”

โจวเจ๋อพยักหน้า “ผมขอส่วนหนึ่งนะ”

หญิงชราทำหน้าปั้นยาก แต่ก็พยักหน้าและพูดว่า “ต้องให้อยู่แล้ว”

หญิงชรารู้ดีว่าหากไม่มีโจวเจ๋อ ‘ทูตสื่อวิญญาณ’ ส่งต่อคำพูดนี้ละก็ ลูกชายหลายคนของเธออาจหาทรัพย์สินที่ตัวเองทิ้งไว้ให้ ไม่เจออย่างแน่นอน

หลังจากออกจากโรงพยาบาล โจวเจ๋อก็นั่งแท็กซี่ตรงไปยังสถานที่ที่เรียกว่า ‘ตำบลซิ่งตง’ ในเขตทงโจว ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก และสนามบินของทงเฉิงก็อยู่ในเมืองนี้ด้วย

ก่อนหน้านี้โจวเจ๋อได้ไปสืบเสาะที่สำนักงานทะเบียนมาแล้ว หญิงชราผู้นั้นถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลและเสียชีวิตหลังจากการช่วยเหลือล้มเหลว จากนั้นครอบครัวก็ทิ้งผู้ตายไว้ที่โรงพยาบาลและไม่สนใจใยดี ทั้งยังเป็นหนี้ค่ารักษาพยาบาลและยังค้างชำระให้โรงพยาบาลอีกด้วย

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา โจวเจ๋อมาถึงในเมืองและเจอหมู่บ้านตามคำบอกเล่าของหญิงชรา

มันเป็นตัวอาคารสองชั้นที่ปลูกขึ้นเอง ที่ติดกันนี้มีบ้านอิฐหลังเล็กๆ คล้ายกระท่อมมุงในชนบทด้วย

เมื่อโจวเจ๋อมาถึงที่นี่ ก็พบว่ามีคนงานหลายคนกำลังรื้อถอนบ้าน และแน่นอนที่รื้อถอนอยู่นั้นก็คือบ้านอิฐหลังนั้น

โจวเจ๋อเดินเข้าไปยื่นบุหรี่ส่งให้นายช่างแล้วถามว่า “ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ยังยุ่งอยู่อีกเหรอ”

“ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้วน่ะสิถึงต้องหาเงินเพิ่มสักหน่อย อย่างไรเสียก็เป็นหมู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น” นายช่างตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ

“เกิดอะไรขึ้นกับบ้านหลังนี้ล่ะ” โจวเจ๋อถามพลางมองเข้าไปข้างใน มีคนงานสองคนกำลังแบกหลังคาอยู่ และอิฐบนผนังของบ้านหลังน้อยก็ถูกรื้อถอน ถอดชิ้นส่วนลงมาเพื่อเก็บไว้ใช้ในภายหลัง ส่วนภายในบ้านหลังนั้นอย่าเอ่ยถึงตู้เคลือบสีเหลืองที่หญิงชราพูดถึงเลย แม้แต่ม้านั่งตัวเล็กๆ ข้างในก็มองไม่เห็น ว่างเปล่าไม่มีอะไรแล้ว

“แม่ของเจ้าของบ้านเสียชีวิตแล้ว แม่เขาเคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้เพียงลำพัง แต่ตอนนี้เขาตั้งใจที่จะทุบบ้านทิ้งและสร้างห้องครัวใหม่” นายช่างก้มศีรษะลงขอให้โจวเจ๋อช่วยจุดบุหรี่ให้เขา ยิ้มอย่างระแวดระวังและพูดว่า “ดูสิ คนที่เพิ่งเดินผ่านหน้าบ้านไปเมื่อครู่เป็นพี่คนโตของพวกเขา”

โจวเจ๋อมองตามไป และพบว่าชายที่มีผมสีขาวคนนั้นยังมีรอยฟกช้ำอยู่บนใบหน้าของเขาอีกด้วย

“พี่น้องห้าคนทะเลาะกันเพื่อแย่งเงินที่แม่ทิ้งเอาไว้ อิฐพวกนี้อีกเดี๋ยวถ้าขนลงมา อีกสี่คนที่เหลือก็จะมาแบ่งด้วยคุณดูเอาเถอะว่าโลกนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ร่างของแม่พวกเขายังอยู่ที่โรงพยาบาลและยังไม่ไปรับกลับมาเลย พี่น้องพวกนี้ไม่มีใครยอมชดใช้หนี้ค่ารักษาพยาบาลเลยสักคน”

“งั้นของที่อยู่ในบ้านของหญิงชราล่ะ” โจวเจ๋อสนใจแต่เรื่องนี้ จากคำบอกเล่าของหญิงชราทำให้รู้ว่าเงินจำนวน สามหมื่นหยวนในตู้เป็นเงินออมทั้งชีวิตของหญิงชรา แต่กำไลหยกและปิ่นหยกเป็นของมีค่าจริงๆ และควรที่จะขายได้ในราคาแสนต้นๆ น่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

“ขายให้คนเก็บขยะและจัดการทิ้งไปตั้งนานแล้ว ขายทิ้งตอนที่หญิงชราเพิ่งเข้าโรงพยาบาลเสียด้วยซ้ำ” นายช่างดูดบุหรี่แรงๆ อีกครั้ง “ผมจะไปทำงานต่อแล้ว”

โจวเจ๋อเลียริมฝีปากด้วยรอยยิ้มขมขื่น การมาในครั้งนี้ของตัวเองถือว่ามาเสียเปล่าซะแล้ว

สิ่งที่หญิงชราทิ้งไว้ ไม่เพียงแต่ตัวเองไม่ได้กำไร แม้แต่ลูกชายของเธอก็ไม่มีโชคได้ใช้ ทำได้เพียงแค่มอบให้พ่อค้าเร่ที่เก็บเฟอร์นิเจอร์เก่าคนหนึ่งในราคาถูกๆ เท่านั้น

ในตอนนี้โจวเจ๋อรู้สึกเบื่อเล็กน้อย การไม่มีเงินมันเป็นปัญหาใหญ่จริงๆ และเขาไม่ต้องการใช้ความสามารถของตัวเองในการทำเงิน แม้ว่าจะดูง่ายและสบายมาก แต่ครั้งก่อนที่ตัวเองช่วยชีวิตสาวน้อยคนหนึ่งไว้จนเมื่อคืนนี้ตัวเองเกือบจะทำให้ตัวเองเจ็บเจียนตาย หากพระเจ้ารู้ว่าตัวเองยังดันทุรังอยู่ต่อไปละก็ จะเกิดอะไรขึ้น

เงยหน้าขึ้นสามฟุตจะมีพระเจ้าไหม โจวเจ๋อก็ไม่รู้แน่ชัด

แต่หากขุดลงไปสามฟุตอย่างต่อเนื่อง จะต้องมีนรกแน่ ๆ เพราะเขาเคยไปมาแล้ว

เขารู้ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์และที่แห่งนี้คือโลกมนุษย์ อีกอย่างก่อนหน้านี้โจวเจ๋อยังจำได้ว่าผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปต่อหน้าเขาคนนั้นตะโกนว่า ‘ถูกพบแล้ว’ ออกมาด้วยความหวาดกลัวก่อนที่เขาจะเสียชีวิต

แต่ว่าเงินน่ะสิ

โจวเจ๋ออยากดันทุรัง แต่ใครจะให้เงินล่ะ

ตอนนี้โจวเจ๋อต้องการเงิน ยังไม่ต้องพูดถึงการสลัดตัวตนของการเป็น ‘ลูกเขย’

อย่างน้อยๆ ก็ซื้อตู้แช่หรือตู้เย็นหลังใหญ่ให้ตัวเองสักตู้

ไม่อย่างนั้นตัวเองจะต้องถ่อไปเบียดเบียนเครื่องทำความเย็นในห้องดับจิตของโรงพยาบาลทุกวันเป็นแน่

เขาจุดบุหรี่ด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย โจวเจ๋อสูดหายใจเข้าลึกๆ แค่รู้สึกเบื่อหน่ายเท่านั้น

ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเขาก็ดังขึ้น โจวเจ๋อหยิบขึ้นมา เป็นหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยและเขาก็กดรับสาย

“ฮัลโหล” โจวเจ๋อพูด

“พี่ สินค้ามาถึงอย่างปลอดภัยแล้ว เมื่อไหร่จะมาเช็ก ช่วงนี้ตำรวจตรวจเข้มมาก ของล็อตนี้เข้ามาไม่ง่ายเลย” คนที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์ลดเสียงเบาลง และพูดอย่างระมัดระวัง

โจวเจ๋อเปิดปากอย่างช้าๆ

แต่ยังไม่เปล่งเสียงอะไรออกมา

ในขณะเดียวกันนี้

ทันใดนั้นภาพของสวีเล่อก็ผุดขึ้นมาในส่วนลึกของหัวใจเขา

……………………………………………………….

[1] หนิงฉ่ายเฉิน ตัวละครจากภาพยนตร์เรื่อง โปเยโปโลเย