ตอนที่ 10 ลูกพี่!

ความกังวล ความรู้สึกไม่สบายใจ ทั้งแอบดีใจและสับสนเล็กน้อย บางทีนี่อาจจะเป็นความรู้สึกที่โจวเจ๋อโบกรถมาถึงชานเมืองทงเฉิงตลอดทาง

เขาขาดแคลนเงิน ขาดแคลนเงินมาก แต่เขาไม่ได้ขาดแคลนเงินก้อนโต เขาต้องการเงินก้อนโตไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างน้อยก็แค่ชั่วคราว มันไม่มีประโยชน์อะไร

เพราะเขาตายแล้วฟื้น ความยุ่งเหยิงของชาติที่แล้วและความยุ่งยากของชาตินี้ เขาต้องการเงินสักก้อนหนึ่งเพื่อแก้ปัญหา และหลังจากนั้นก็จะวางแผนระยะยาว โดยที่ไม่ต้องการจะใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยไปกับสิ่งหรูหรา

อย่างเช่นการออกมาจากบ้านตระกูลหลิน ถึงแม้ว่าหลินหวั่นชิวจะสวยและมีเสน่ห์มากก็ตาม แต่เขาคร้านจะกลับไปหาครอบครัวนั้นอีกจริงๆ อีกอย่างทุกคนก็ไม่มีความสนิทสนมแน่นแฟ้น ตัวเองก็ไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน เห็นแบบนี้แล้วสวีเล่อคนพรรค์นั้นเอง ก็ไม่เคยได้สัมผัสมันจริงๆ แน่นอนว่าไม่มีหนี้ติดค้างอะไรกันเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้นการพูด ‘บ๊ายบาย’ ก็ไม่ได้หนักใจอะไรนัก

แต่การจะออกจากครอบครัวนั้นไป จะต้องเตรียมตัวให้ดีเสียก่อน ตัวเองจะต้องมีที่ซุกหัวนอนสักแห่งแล้วยังจะต้องซื้อตู้แช่คุณภาพดีหน่อยสักตู้หนึ่ง โจวเจ๋อไม่กล้าไปเลือกหาตู้แช่โละทิ้งที่ตลาดมือสอง หากว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นจริงๆ ขณะนอนลงไปข้างใน แล้วลงเอยด้วยการพาตัวเองไปตาย ไม่ใช่ว่าเป็นการขาดทุนมหาศาลเลยหรือ

เงิน!

เป็นผีก็ต้องการเงินนะ

แต่เมื่อครู่ความรู้สึกที่ได้ฟังคนๆ นั้นโทรมาหาสวีเล่อแล้ว ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกกระวนกระวายไม่สบายใจอีกแล้วสถานะของสวีเล่อในฐานะลูกเขยในเมืองสมัยใหม่ คนขี้ขลาดตาขาวถึงกับยอมให้พ่อตาแม่ยายเอารัดเอาเปรียบ โง่เง่าจนต้องนอนแยกเตียงกับภรรยาตัวเอง แต่กลับกลายเป็นขาใหญ่ของตลาดมืดที่ซ่อนธาตุแท้เอาไว้หรือ

เอาเถอะ ฉากที่ให้ความรู้สึกหักมุมเช่นนี้ช่างตื่นเต้นจริงๆ และยังสอดคล้องกับสไตล์ซีรีส์อเมริกันอีกด้วย ตัวละครที่ยอดเยี่ยมมักทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตัวตนที่แท้จริงนั้นธรรมดามาก

อย่างเช่นสไปเดอร์แมนเป็นนักเรียนมัธยมต้นคนหนึ่ง และซูเปอร์แมนเป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่ง

ถ้าอย่างนั้น ตัวเองจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร

จะจัดการให้เรียบร้อยไปเลยได้อย่างไร

โจวเจ๋อไม่อยากให้ตัวตนนี้ของตัวเอง ‘ด่างพร้อย’ เพราะมันหมายถึงปัญหาที่ไม่จบไม่สิ้น การสืบสวนของตำรวจกับตัวเองในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่สิ่งที่สวีเล่อจะสามารถจัดการได้อย่างง่ายดายอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นไม่ต้องพูดถึงชายชราและหญิงไร้หน้าที่เคยร้องตะโกนไว้ว่า ‘จะหาจนเจอและจะจับตัวคุณ’ อีกด้วย

หัวก็จะปวดหน่อยๆ อีกทั้งยังปรับตัวไม่ได้ แต่โจวเจ๋อก็ยังดั้นด้นมาถึงโรงงานปุ๋ยเล็กๆ ที่รกร้างแห่งนั้น

มีคนสองคนนั่งยอง ๆ อยู่ที่ทางเข้าโรงงานปุ๋ย คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมทหารที่ทั้งเก่าและขาดวิ่น และอีกคนสวมสูทราคาถูกและมีคุณภาพต่ำ

ทั้งสองคนนั่งยอง ๆ คาบบุหรี่ไว้ในปากและกำลังพ่นควันอยู่ตรงนั้น

โจวเจ๋อจ่ายค่าโดยสาร ลงจากรถ อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนทันทีและเดินตรงเข้ามาหาก่อน

“ลูกพี่ของเรากำลังรอนายอยู่” ชายในเสื้อคลุมทหารพูดอย่างเคร่งขรึม

โจวเจ๋อพยักหน้าแล้วเดินตามชายในชุดคลุมทหารเข้าไปด้านใน ส่วนชายในชุดสูทยังคงยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้นต่อ เหมือนว่ากำลังดูต้นทางอยู่

หลังจากเดินเข้ามา โจวเจ๋อก็เห็นชายอ้วนหัวล้านสวมสร้อยทองคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกกำลังรินเครื่องดื่มให้ตัวเอง เมื่อเห็นโจวเจ๋อเข้ามา ชายอ้วนก็ลุกขึ้นทันที

“พี่สวี พี่มาสักที”

ชายอ้วนรูปร่างสูงใหญ่ประมาณ 185 เซนติเมตร สร้อยทองเส้นหนามาก ขี้อวดอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งเศษผงทองคำตรงคอที่เกิดจากสร้อยทองเสียดสีนั้นดูเกินจริงเข้าไปอีก

“สินค้าล่ะ”

โจวเจ๋อค่อยๆ ประสานนิ้วไขว้ไว้ด้านหลัง ในนี้มีเพียงสามคนเท่านั้น จะล้มพวกเขาคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่หลังจากล้มพวกเขาแล้วจะทำอย่างไร ถ้าส่งให้กับตำรวจไม่ใช่ว่าตัวเองจะต้องรับสารภาพด้วยหรือ

จัดการด้วยศาลเตี้ยด้วยตัวเองหรือ เป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์ลงทัณฑ์พวกเขา ดูเหมือนว่าจะไม่ดีเช่นกัน ด้วยสถานะที่อ่อนไหวของตัวเอง ถ้าฆ่าคนตามใจตัวเอง ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดการแว้งกัดเหมือนที่เขาช่วยชีวิตคนตามใจตัวเองก็ได้ เขาไม่ยอมลองมันง่ายๆ แน่

“พี่สวียังสุขสบายเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ!”

ชายอ้วนเช็ดปากตัวเองจากนั้นเอื้อมมือไปตบไหล่โจวเจ๋อ

มุมปากโจวเจ๋อกระตุก สูดหายใจเข้าลึกๆ อดทนที่จะไม่ปัดมืออ้วนฉุของชายอ้วนออกไป

“มา ตรงนี้!”

ชายอ้วนทำท่าทางเชื้อเชิญและพาโจวเจ๋อไปที่โกดังเล็กๆ ที่ลานด้านหลัง

หลังจากเดินเข้าไป

ม่านตาของโจวเจ๋อหดตัวลงทันที

สินค้ากองพะเนินเหมือนภูเขาขนาดย่อมลูกหนึ่ง ข้างบนคลุมด้วยถุงกระดาษมันเลื่อมสีดำ

เมื่อก่อนโจวเจ๋อไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมาย แต่รู้ดีว่าสินค้ามากมายขนาดนี้ หากตัดสินตามกฎหมายละก็ พอที่จะถูกสั่งประหารชีวิตวนไปวนมาหลายร้อยครั้งได้เลย ถั่วลิสงเองก็อาจทานจนท้องอืดได้

“ไม่ใช่แค่ทงเฉิงใช่ไหม” โจวเจ๋ออยากจะถามจริงๆ พวกแกเพิ่งกลับมาจากการปล้นขุนศึกที่สามเหลี่ยมทองคำหรือเปล่า

“พี่สวี นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว ทงเฉิงเล็กเกินไป สินค้าล็อตนี้ ในท้ายที่สุดจะใช้ทงเฉิงเป็นกระดานกระโดดน้ำเพื่อไหลเข้าสู่เซี่ยงไฮ้” ชายอ้วนบิดขี้เกียจ “คราวนี้พวกเราต้องรีบหน่อย รีบจัดการสินค้าล็อตนี้ให้แล้วเสร็จ แล้วจะได้เงินก้อนโตเลยทีเดียว”

โจวเจ๋อเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของตัวเอง เอ่ยอย่างลำบากใจ “จัดการในเวลาอันสั้นมันยากมากหรือเปล่า”

ยังไงเสียมันก็ไม่ใช่การขายผักกาดขาวที่คุณจะขี่สามล้อแหกปากตะโกนใส่ลำโพง

“พี่สวีวางใจได้ เราแค่ต้องแจกจ่ายสินค้าล็อตนี้ให้กับคนข้างล่างก็เพียงพอแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ได้ผลกำไรเท่าการขายเอง แต่ข้อดีคือความเร็วนั้นรวดเร็วและรับประกันการจัดส่ง รอจัดการของล็อตนี้ให้เรียบร้อย เราก็ค่อยจัดการล็อตต่อไป” ชายอ้วนกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย

สวีเล่อนะสวีเล่อ นายยังสร้างเครือข่ายแก๊งค้ายาขึ้นมาอีก นายสุดยอดมากจริงๆ…

ลูกพี่ใหญ่อย่างนี้ ดันถูกคนมือสองพรรค์นั้นทุบตีตายด้วยไม้เบสบอลเพื่อปล้นเงินสามร้อยหยวนเนี่ยนะ!

“พี่สวี มาดูนี่สิ คุณภาพสินค้าล็อตนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

ชายอ้วนพูดแล้วเปิดถุงกระดาษมันเลื่อมที่อยู่ข้างบน

จากนั้นโจวเจ๋อก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

เพราะที่เขาเห็นมันไม่ใช่ยาเสพติดที่กองพะเนินราวกับภูเขา กลับเป็นกองหนังสือและแผ่นซีดี

หรือว่ามันจะสอดอยู่ในปกหนังสือ

“พี่สวี ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมชั้นของพี่ ได้สินค้าล็อตนี้มาง่ายๆ สบายๆ ซีดีพวกนี้เป็นภาพยนตร์ยอดนิยมทั้งหมดที่ยังฉายบนจออยู่ ผมยังตั้งใจก๊อบปี้หนังรัก18+ อีกสองสามเรื่องเข้าไปด้วย หนังสือละเมิดลิขสิทธิ์และนิยายรักพวกนี้ยังเป็นผลงานขายดีที่สุดในท้องตลาดอีกต่างหาก แล้วนอกจากนี้ยังมีไป๋เจี๋ยฉบับภาคต่อพิเศษยี่สิบตอนจำนวนสองล้านคำที่พี่สวีตั้งใจเขียนอีก พวกหลังไมค์จำนวนมากได้สั่งจองรุ่นนี้ล่วงหน้า ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ได้

“สินค้าที่นายบอก มีเท่านี้เองเหรอ” โจวเจ๋อถามชายอ้วน

“ใช่น่ะสิ” ชายอ้วนอึ้งไปครู่หนึ่ง “เท่านี้แหละ”

ผิดหวัง

ผิดหวังมาก

ผิดหวังโคตรๆ

ในขณะเดียวกันก็รู้สึกขายหน้ามาก

สวีเล่ออย่างไรก็คือสวีเล่อ เพื่อที่จะขายของที่ละเมิดลิขสิทธิ์เหล่านี้แล้วเขายังเขียนเรื่องราวไป๋เจี๋ยด้วยตัวเองอีก

และยังเขียนภาคต่ออีกตั้งสองล้านคำ

เขามีเวลาว่างมากถึงขนาดไหนกันแน่…

“ฉันได้ส่วนแบ่งเท่าไร” โจวเจ๋อเปิดปากถาม “ฉันคิดจะถอนตัวออกมา”

เมื่อเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจ ควรมีเงินลงทุน

“อะไรนะ พี่สวี พี่คิดจะถอนตัวออกไปเหรอ” ชายอ้วนเอ่ยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ตอนนี้ก็รอทำเงินแล้วนี่ไง พี่จะถอนตัวออกไปตอนนี้เลยเหรอ”

“อืม เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับความนิยมหลัก ฉันไม่อยากทำแล้ว”

โจวเจ๋อพูดอย่างจริงจัง เขาไม่อยากเสี่ยงเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะก่อนที่เขาจะจัดการชีวิตปัจจุบันของเขาให้เรียบร้อย เขาไม่ต้องการเข้าไปข้องแวะกับกระแสน้ำวนใดๆ ที่เป็นไปได้

“…” ชายอ้วน

“…” ชายในชุดคลุมทหาร

“พี่สวีมีจิตสำนึกสูง ผมชื่นชม ในช่วงแรก พี่สวีร่วมหุ้นด้วย…

ชายอ้วนชูสี่นิ้วแล้วพูดว่า “สองหมื่นหยวน”

“สองหมื่นก็สองหมื่น ให้เงินฉัน ต่อจากนี้ไปก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันอีก” ” โจวเจ๋อขี้เกียจเกินกว่าจะโต้เถียงเรื่องนี้และการมีเงินสองหมื่นหยวนถือได้ว่าเป็นการแก้ปัญหาเรื่องฉุกเฉินในปัจจุบันได้

“ตกลง ที่ผมนี้มีเงินสองหมื่นหยวนอยู่” ชายอ้วนพยักหน้าและเดินไปหยิบเงิน

ประมาณสิบห้านาทีต่อมา โจวเจ๋อนำเงินสองหมื่นหยวนใส่ในกระเป๋าของเขา เรียกรถออนไลน์และเริ่มเดินทางกลับเข้าเมือง

เขาไม่ได้รีบกลับร้านหนังสือ แต่ไปตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า เขาใช้เงินซื้อตู้แช่ไปมากกว่าหมื่นหยวน โดยทั่วไปตู้แช่นี้เอาไว้ใช้เก็บวัตถุดิบอาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์ทำมาจากเนื้อสัตว์ของร้านค้า และเป็นหนึ่งในยี่ห้อที่ค่อนข้างดีในนั้นเลยทีเดียว โจวเจ๋อไม่ลังเลที่จะใช้เงิน เพราะตัวเองจะต้องพึ่งตู้แช่เพื่อใช้การนอนหลับในอนาคตและกลัวว่าสินค้าราคาถูกจะมีปัญหา

พ่อค้ามีความกระตือรือร้นอย่างมาก ส่งรถบรรทุกขนาดเล็กช่วยโจวเจ๋อขนตู้แช่ไปลงที่…หน้าร้านหนังสือโดยตรง

หลังจากที่คนขับรถและโจวเจ๋อช่วยกันย้ายตู้แช่เข้าไปในร้านหนังสือแล้วก็ตกตะลึงเล็กน้อย

“เถ้าแก่ คุณเปิดร้านหนังสือยังต้องใช้ตู้แช่ด้วยเหรอ” คนขับรถเอ่ยถาม

โจวเจ๋อยื่นบุหรี่ให้ “การทำธุรกิจนั้นไม่ง่าย ผมมีแผนจะขายอาหารทะเลชั่วคราวน่ะ”

คนขับรับบุหรี่แล้วจากไป อย่างไรก็ตามสินค้าส่งถึงที่แล้วเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น

ในร้านหนังสือมีชั้นสองเล็กๆ เดิมทีสวีเล่อใช้สำหรับเก็บกองหนังสือ หลังจากโจวเจ๋อทำความสะอาดแล้วเขาก็วางตู้แช่ไว้ด้านบน เมื่อมองไปที่ ‘เตียงใหม่’ ของตัวเอง ในที่สุดโจวเจ๋อก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

เมื่อลงมาจากชั้นสอง โจวเจ๋อก็พบว่ามีคนอยู่ในร้านหนังสือของเขา ไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็น ‘ภรรยา’ ของตัวเอง

หมอหลินกำลังพลิกดูนิตยสารในมือ เมื่อเห็นโจวเจ๋อลงมา ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ขึ้นไปทำอะไรข้างบนนั้น”

“จัดของ” โจวเจ๋อพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“ฉันเลิกงานแล้ว” หมอหลินบอก

“อืม” เลิกงานแล้วใช่ว่าจะมานอนเป็นเพื่อนผมสักหน่อย…

“สาวน้อยคนนั้นฟื้นแล้ว” หมอหลินมองไปที่โจวเจ๋ออย่างเน้นย้ำ “พ่อของเธอเชิญคนจากแผนกของเราไปทานอาหารเย็นที่โรงแรมทงเฉิง คุณก็มาด้วยกันสิ”

“ผมจะไปทำไม”

“หลังจากสาวน้อยฟื้นขึ้นมาก็ร้องเรียกหาคุณลุง” หมอหลินถามโจวเจ๋อด้วยความสงสัย “คุณรู้จักเธอมาก่อนหรือเปล่า”

“แม้ว่าคนจะอยู่ในอาการโคม่าแต่ก็รับรู้ได้” โจวเจ๋อปั้นเรื่องต่อ “ตอนที่ผมช่วยชีวิตเธอ เธออาจจะสัมผัสถึงมันได้จริงๆ”

“จะไปไหมคะ” หมอหลินถาม

“ไม่ล่ะ” โจวเจ๋อส่ายหน้า “ผมไม่หิว ไม่รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด”

หมอหลินพยักหน้า ไม่ได้บังคับ ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะออกไป แต่เมื่อเดินไปถึงหน้าร้านหนังสือ เธอก็หยุดเดิน “คืนนี้คุณจะกลับบ้านไหม”

ย้อนกลับมาที่คำถามเดิมที่คุ้นเคยอีกครั้ง

ผมกลับบ้านไปคุณก็ไม่นอนกับผมอยู่ดี…

ดังนั้น โจวเจ๋อจึงตอบตัดบทไป

“ไม่กลับ ช่วงนี้ยุ่งนิดหน่อยน่ะ”

ถึงแม้ว่ากิจการในร้านจะซบเซาและกลายเป็นกาแฟลาเต้แช่แข็งไปแล้วก็ตาม

หมอหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้บังคับ หยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าเสื้อเตรียมจะออกไป

และในขณะนี้เอง

“โครม” ดังขึ้น

หมอหลินหันกลับมาและเห็นว่า ‘สามี’ ของตัวเองล้มคะมำอยู่บนชั้นหนังสือ และหนังสือบนชั้นก็ร่วงลงมาบนพื้น

“คุณเป็นอะไรไป” หมอหลินเข้ามาเช็กอาการของโจวเจ๋อทันที

โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มตาลาย โฟกัสการมองเห็นได้ยาก หน้าอกตัวเองกระเพื่อมขึ้นลงและในขณะเดียวกันขาของเขาก็อ่อนแรงและสูญเสียการทรงตัวราวกับว่ากำลังเหยียบบนใยฝ้ายพร้อมกับสูญเสียจุดศูนย์กลางในการทรงตัว

“หิวจนตาลายแล้ว…”

โจวเจ๋อตอบ

เขาไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว

………………………………………………………………