“เหลวไหล!” ฉู่เหยียนหน้าเปลี่ยนสีในทันทีที่ได้ยินคำพูดของเฟิงอี๋ เขาพูดขัดคำพูดของอีกฝ่าย สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สักพักถึงได้สงบลง ก่อนจะกวาดตาขึ้นลงมองวิญญาณมังกร “พวกเจ้าหาวิญญาณมังกรไร้มารยาทเช่นนี้มาจากที่ใด บังอาจปลอมตัวเป็นท่านเทพมังกรเฟิงอี๋ อีกทั้งยังมาพูดใส่ความข้าอีก”
“ถุย!” คนอื่นยังไม่ทันพูด เฟิงเสี่ยวหวงก็พูดแทรกขึ้น “เจ้าฉู่เหยียนไร้ยางอาย ตอนนี้แสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้า ข้าจะบอกให้ว่าสายเกินไปแล้ว เชื่อหรือไม่ว่าแม้แต่เรื่องเจ้ากับท่านสนมข้าก็จะพูดออกมา เจ้า…”
“หุบปาก!” สายตาของฉู่เหยียนฉายแววอาฆาต เขาหันไปมองหยวนเจียง ก่อนจะปฏิเสธตัวตนของเฟิงอี๋ “ท่านเทพหยวน ข้ากับท่านเทพมังกรรู้จักกันมานานอย่างมาก นิสัยของเขาข้ารู้ดีเป็นที่สุด วิญญาณมังกรนี้ไม่ใช่ท่านเทพมังกรเฟิงอี๋อย่างแน่นอน พวกเขาต้องไปหาวิญญาณมังกรตัวอื่นมาเพื่อใส่ร้ายข้า”
“เหลวไหล” เจ้าสำนักสวีเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านเทพเมื่อกี้ยังหลุดเรียกชื่อเขาอยู่เลย ตอนนี้กลับจะปฏิเสธหรือ”
“ใครจะรู้ว่าพวกเจ้าหาวิญญาณมังกรที่เหมือนเช่นนี้มากจากไหน! ข้าแค่เรียกผิดไปเท่านั้น” ฉู่เหยียนไม่ยอมรับตัวตนของเฟิงอี๋แต่อย่างใด
“ท่าน…” ทุกคนต่างขุ่นเคือง ช่างเป็นเทพที่ไร้ยางอาย ทั้งที่หลักฐานชัดเจนแต่กลับไม่ยอมรับ
“ท่านสงสัยว่าวิญญาณมังกรนี้ไม่ใช่ท่านเทพมังกรเฟิงอี๋?” หยวนเจียงถาม
“ไม่ใช่อย่างแน่นอน” ฉู่เหยียนตอบอย่างมั่นใจ “หากท่านเทพมังกรเฟิงอี๋ดับสูญไป ณ ที่นี้ แสดงว่าเป็นฝีมือของคนเหล่านี้อย่างแน่นอน เหตุใดท่านจึงจะพูดเช่นนี้ออกมาได้ ต้องเป็นกลอุบายเพื่อใส่ร้ายข้าอย่างแน่แท้”
“ถุย ข้าเรียกกลับตัวกลับใจ เจ้าจะไปรู้เรื่องอะไร!” วิญญาณมังกรอธิบาย
“หากท่านเทพมีข้อสงสัย ข้าจะจัดการให้!” หยวนเจียงยิ้ม “ข้าจะใช้คำสาปตามหาต้นตอ เพื่อสืบหาตัวตนของวิญญาณมังกรนี้ หากท่านไม่เชื่อ ศิษย์พี่น้องของข้าอยู่ในยมโลกก็พอจะมีหน้ามีตาบ้าง พวกข้าสามารถไปหากระจกย้อนอดีต เพื่อสืบดูชาติก่อน”
ฉู่เหยียนผงะไป สีหน้าดำทะมึนยิ่งกว่าเดิม สายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเคียดแค้น เมื่อเห็นว่าปิดบังต่อไปไม่ได้ จึงไม่แสร้งตีหน้าซื่ออีกต่อไป เขาหันไปหาหยวนเจียง ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ถึงจะเป็นตัวจริงแล้วอย่างไร ข้าแค่รับคำสั่งจากท่านมหาเทพให้เร่งเพาะเส้นชีพจรเทพ วิญญาณของเขาเหล่านั้นถูกลูกแก้วกำเนิดวิญญาณกลืนกินก็เป็นเพราะพวกเขาโชคไม่ดี”
“ท่านเทพฉู่เหยียน พวกท่านใช้วิญญาณนับหมื่นเพาะเลี้ยงเส้นชีพจรเทพ เพื่อประโยชน์ส่วนตัว พวกท่านไม่เกรงกลัวผลกรรมหรืออย่างไร” หยวนเจียงขมวดคิ้ว ก่อนจะมองไปทางฉู่เหยียนอย่างโกรธเคือง
“ท่านเทพหยวนเจียงพูดเกินไป! ข้าแค่เก็บวิญญาณของมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่วิญญาณเทพ ชีวิตของมนุษย์เหมือนกับรากหญ้าที่หายไปได้ทุกเมื่อ หากพวกเขาสามารถตายเพื่อเลี้ยงเส้นชีพจรเทพ ก็ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากแล้ว”
เขาหัวเราะเสียงเย็น ราวกับว่าคนเป็นที่เขาฆ่าทิ้งนั้นเป็นเพียงมดหรือต้นหญ้าเท่านั้น ก่อนที่จะกวาดตามองท่านเทพทั้งสิบเจ็บคน “ในเมื่อท่านเทพทั้งหลายยืนกรานที่จะปกป้องลูกศิษย์เสวียนเหมินเหล่านี้ ข้าก็จะเห็นแก่หน้าของพวกท่านไม่พูดเรื่องที่พวกเขาลอบทำร้ายท่านเทพมังกร แต่วิญญาณที่ลูกแก้วกำเนิดวิญญาณกลืนกินไปไม่มีลูกศิษย์เสวียนเหมินแม้แต่คนเดียว หรือว่าทุกท่านจะเอาผิดข้าเรื่องนี้”
สีหน้าหยวนเจียงดำทะมึน ฉู่เหยียนแม้แต่หน้าก็ไม่เอาแล้ว
“ท่านเทพอย่าลืม นี่เป็นเรื่องของทักษิณสวรรค์ ไม่เกี่ยวกับบูรพาสวรรค์แม้แต่น้อย หรือว่าพวกท่านอยากจะเป็นศัตรูกับทักษิณสวรรค์ เพียงเพราะข้าเก็บวิญญาณมนุษย์จำนวนเล็กน้อย” ท่าทางของฉู่เหยียนยโสอย่างมาก ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเหมือนในตอนแรก “ที่นี่คือโลกมนุษย์ ไม่ใช่บูรพาสวรรค์ เรื่องของวิญญาณมนุษย์อยู่ภายใต้การดูแลของพวกท่านตั้งแต่เมื่อไหร่ หากท่านคิดจะลงมือจริง ก็คงต้องถามท่านมหาเทพของข้าก่อนว่ายอมหรือไม่”
ท่านเทพทั้งสิบเจ็ดคนล้วนเต็มไปด้วยความโกรธ แต่สิ่งที่ฉู่เหยียนพูดก็ไม่ผิด พวกเขาสามารถออกหน้าปกป้องเสวียนเหมินได้ แต่วิญญาณที่ถูกกลืนกินไปนั้น พวกเขากลับแทรกแซงไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของทักษิณสวรรค์ หากพวกเขาออกหน้า จะทำให้เรื่องนี้บานปลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองสวรรค์
“คนชั่วเช่นนี้ เหตุใดต้องพูดกับเขาให้มากความ!” ในขณะที่หยวนเจียงกำลังลังเลนั้น ชายที่ถือดาบอยู่ด้านหลังเดินขึ้นหน้ามา ก่อนจะพูดขึ้น “หากพวกท่านไม่กล้าลงมือ ข้าจะลงมือเอง”
“ศิษย์น้องสิบสาม” หยวนเจียงรีบหันไปพูดกับอีกฝ่าย “อย่าวู่วาม”
“พวกท่านกลัวนั่นกลัวนี่ ข้าไม่กลัว!” ชายคนนั้นสะบัดมือของเขาทิ้งไป ก่อนจะชักดาบและทำท่าจะเดินขึ้นหน้า
“ท่านคิดจะทำอะไร?!” ฉู่เหยียนถอยหลังไปหนึ่งก้าว พร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างระแวง “ข้าได้รับคำสั่งจากท่านมหาเทพ บูรพาสวรรค์คิดจะเป็นศัตรูกับทักษิณสวรรค์หรือ”
“ถุย!” เขาถลึงตาใส่อีกฝ่าย พร้อมกับจับดาบในมือแน่น “สวรรค์อะไรกัน ข้าตี๋ไฮ่ไม่เหมือนกับพวกเขา ไม่ว่าสวรรค์ไหนข้าก็ไม่ถูกชะตาทั้งนั้น! ยิ่งหน้าของเจ้ายิ่งไม่ถูกชะตา!”
“ท่านเทพตี๋ไฮ่!” ฉู่เหยียนตะลึง ดวงตาฉายแววตื่นตระหนก สักพักถึงได้พูดขึ้น “ก็แค่วิญญาณมนุษย์เพียงเล็กน้อย ไม่ได้สำคัญอะไร ข้าไม่เคยแตะต้องลูกศิษย์เสวียนเหมิน ท่านเทพจะใส่ใจวิญญาณเหล่านั้นไปทำไมกัน”
“เจ้ามั่นใจว่าไม่มีคนสนใจหรือ” ตี๋ไฮ่ยังไม่ทันตอบกลับ เสียงหญิงสาวที่เคร่งขรึมลอยขึ้นมาจากด้านล่าง
อวิ๋นเจี่ยวเดินขึ้นหน้าสองก้าวออกมาจากกลุ่มคน นางเงยหน้าขึ้นมองฉู่เหยียนพร้อมพูดขึ้น “ข้ารู้สึกว่าคำพูดของท่านเทพเมื่อสักครู่มีเหตุผลอยู่บ้าง พวกท่านล้วนเป็นเทพ พวกท่านไม่จำเป็นต้องมาสนใจวิญญาณมนุษย์ และแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้กับมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกข้า!”
เมื่อฉู่เหยียนได้ยินดังนั้น สีหน้าเขาก็ผ่อนคลายลง เขามองไปยังคนด้านล่างด้วยสายตาพึงพอใจ “ฮึ ไม่คิดว่ายังมีมนุษย์ที่มีเหตุผลเช่นนี้อยู่”
“อาจารย์อวิ๋น!” เจ้าสำนักสวีตกตะลึง จะปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้หรือ
อวิ๋นเจี่ยวไม่ได้ตอบ แต่กลับกวาดตามองคนที่อยู่บนท้องฟ้า ก่อนจะพูดขึ้น “เรื่องลูกแก้วกำเนิดวิญญาณเกี่ยวข้องกับวิญญาณนับหมื่น โลกสวรรค์และโลกมนุษย์ต่างไม่มีสิทธิถามไถ่ เช่นนั้น พวกเราให้คนที่มีสิทธิ์มาจัดการแล้วกัน!”
“…” ทุกคนต่างผงะ หมายความว่าอย่างไร ใครมีสิทธิ์
อวิ๋นเจี่ยวยังคงเงยหน้ามองบนท้องฟ้า ก่อนจะพูดต่อ “คำนวณจากเวลา คนที่มีสิทธิ์ก็น่าจะถึงแล้ว”
ทันที่ที่นางพูดจบ นาทีถัดมา เห็นเพียงแต่ท้องฟ้าที่สว่างจ้าอยู่แต่เดิมนั้นมืดลงในทันที แม้แต่แสงสวรรค์ที่ติดมากับเหล่าเทพก็มืดมนลงไปไม่น้อย พลังวิญญาณมหาศาลปรากฏขึ้น ท้องฟ้าบิดเบี้ยวไป
ประตูใหญ่ที่กินพื้นที่บนท้องฟ้าไปกว่าครึ่งปรากฏขึ้น ประตูนั้นดำสนิทราวกับหมึก บนประตูมีเงาของวิญญาณนับหมื่นกำลังเคลื่อนไหว เสียงร้องโหยหวนของวิญญาณดังก้องไปทั่วสำนักเทียนซือ
เสียงแหลมแสบหูนั้นราวกับส่งไปถึงก้นบึ้งของวิญญาณ ลูกศิษย์เสวียนเหมินที่อยู่ภายในข่ายพลังด้านล่างยังดี เพราะว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่เหล่าเทพที่อยู่นอกข่ายพลังสีหน้าซีดเซียวลงในทันที คนที่มีพลังมากอย่างศิษย์พี่น้องหยวนเจียงยังดี แต่เหล่าเทพชั้นผู้น้อยด้านหลังของฉู่เหยียนค่อนข้างย่ำแย่ พวกเขารู้สึกถึงเพียงพลังในร่างกายกำลังสลายไป ราวกับจะทะลุออกมาจากร่างกาย
นี่คือ…
“ประตูผี!”