Ep.190 ทรงพระเจริญองค์ชายหลินมู่อวี่

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

แสงดาวสาดส่องบนทิวเขา กองทัพแห่งจักรวรรดิและองครักษ์อวี้หลินตั้งค่ายรอบๆ กองบัญชาการเพื่อพักแรม หลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนนั่งอยู่บนก้อนหินด้านหลังและดื่มสุรา ด้านข้างมีเว่ยโฉวก่อกองไฟและย่างขาแกะอยู่ ทั้งหมดนี่เป็นของที่เหลือจากการทำศึก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจีหยางและหลี่เฉียนซุนใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยถึงเพียงไหน

“ท่านแม่ทัพ!”

ผู้บัญชาการกองพันนายหนึ่งเข้ามาพร้อมประสานหมัด “เรารวบรวมหญิงสาวทั้งหมดในสำนักอัศวิน ซึ่งเป็นจำนวนทั้งสิ้นเจ็ดร้อยสิบสองคน…เราควรส่งพวกนางไปที่แห่งใดขอรับ?”

เฟิงจี้สิงเอ่ยถาม “แล้วตามกฎของจักรวรรดิ พวกนางต้องไปที่แห่งใดล่ะ?”

ผู้บัญชาการกองพันกล่าวพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ตามกฎของจักรวรรดิ หญิงสาวเหล่านี้อยู่ร่วมกับกบฏมาเป็นเวลานานจนมีร่างกายสกปรก หลังจากทำความสะอาดแล้วจะถูกส่งไปยังหอเลี้ยงดูเพื่อฝึกให้เป็นผู้หญิงในค่าย ก่อนจะส่งไปยังกองบัญชาการต่างๆ”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “ไม่มีทางเลือกอื่นหรือ?”

“ข…ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ…”

หลินมู่อวี่เงยหน้ามองเฟิงจี้สิง “พี่เฟิง หญิงสาวเหล่านี้ล้วนถูกลักพาตัวมาจากหมู่บ้านใกล้เคียง พวกนางไม่มีทางเลือกนอกจากรับใช้เหล่าทหารสำนักอัศวิน พี่ใหญ่รู้หรือไม่ว่าหอเลี้ยงดูเป็นสถานที่เช่นไร…ข้าคิดว่า…เราปล่อยหญิงสาวเหล่านี้ไปได้หรือไม่? หากส่งไปที่หอเลี้ยงดู คงไม่ต่างจากการส่งพวกนางไปลงนรกอีกขุม”

เฟิงจี้สิงครุ่นคิดสักครู่ “อาอวี่ เจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้ารู้แล้วว่าต้องจัดการอย่างไร!”

พูดจบเฟิงจี้สิงก็ออกคำสั่ง “นายพลจ้าว นำเหรียญทองจำนวนหนึ่งจากที่เรายึดมาแจกจ่ายให้กับพวกนางคนละห้าสิบเหรียญทอง จากนั้นถามพวกนางว่าหากยังมีครอบครัวเหลืออยู่ ทหารของเราจะเป็นคนพากลับเอง ทว่าหากไม่มีครอบครัว พวกเราจะพากลับเมืองหลวงและส่งไปที่สมาพันธ์แรงงาน อย่างน้อยก็ให้พวกนางทำงานเป็นสาวใช้ คงดีกว่าปล่อยให้สูญเสียอิสรภาพและเกียรติยศ”

ผู้บัญชาการกองพันแซ่จ้าวประสานมือรับพร้อมเผยสีหน้ายินดี “ท่านแม่ทัพช่างหลักแหลม ข้าน้อยขอเป็นตัวแทนของเหล่าหญิงสาวขอบคุณพระคุณท่านผู้บัญชาการขอรับ!”

เฟิงจี้สิงโบกมือ “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ไปทำงาน! อย่าลืมเตือนเหล่าพี่น้องทหารแห่งจักรวรรดิที่รับผิดชอบในการส่งพวกนางให้กลับมาทำงานด้วย ฮึ่ม…หากใครกล้าหนีไป ข้าจะจับกลับมาทีละคน!”

“ฮ่าๆ ท่านแม่ทัพช่างมีอารมณ์ขัน ใครกันเล่าที่จะไม่กลับมา…ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!”

หลินมู่อวี่ยกจอกสุราขึ้นมาชนเบาๆ กับจอกของเฟิงจี้สิง “พี่เฟิง ขอบคุณท่านมาก”

เฟิงจี้สิงถอนหายใจแผ่วเบา “อาอวี่…การที่เจ้าเอ่ยถึงหอเลี้ยงดู ทำให้ข้าแอบชมเจ้าอยู่ลับๆ บางที…อาจเป็นเพราะมังกรผงาดของเจ้าที่ทำให้ข้ากล้าทำสิ่งนี้…เฟิงจี้สิงมักระมัดระวังตัวเสมอ และไม่เคยก้าวข้ามขอบเขตของตัวเอง จนกระทั่งพบเจ้า…ในที่สุดข้าก็มีความกล้าที่จะทำอะไรบ้าๆ”

“จริงหรือ?”

หลินมู่อวี่ยืนพิงต้นสนที่เหี่ยวเฉาก่อนจะเงยหน้าดื่มสุราในจอก “มีสุภาษิตในบ้านเกิดข้าที่กล่าวว่า ‘ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความรับผิดชอบมากเท่านั้น’ พี่เป็นถึงผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจของจักรพรรดิ มีสิ่งไม่ยุติธรรมมากมายบนแผ่นดินนี้ที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้ และท่านต้องเปลี่ยนความคิดผู้คนเหล่านั้น!”

เฟิงจี้สิงตกตะลึง ความดุร้ายฉายวาบในดวงตาที่เคร่งขรึม ทว่าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในพริบตา “เจ้าเด็กนี่กำลังพูดเรื่องบ้าอะไร พวกเราเป็นทหาร และการปฏิบัติตามคำสั่งถือเป็นความรับผิดชอบ  อย่าพูดบ้าๆ เช่นนั้นกับพี่ใหญ่อีก มิเช่นนั้นเฟิงจี้สิงคงได้กลายเป็นหลินมู่อวี่แม่ทัพคลั่งคนที่สอง”

“แม่ทัพคลั่ง?”

หลินมู่อวี่ตกตะลึง “ใครเรียกข้าเช่นนั้น…”

เฟิงจี้สิงหัวเราะ “กล้าท้าทายกับจวนเสินโหวเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยในวิหาร ตัดแขนครูฝึกจ้าวจิ้นอย่างโจ่งแจ้ง ตั้งคำถามกับองค์จักรพรรดิเพราะหอเลี้ยงดู และสุดท้าย…รอดชีวิตออกจากเจดีย์ทงเทียน บอกข้าสิ…จะมีใครบ้าคลั่งเช่นนี้ในเมืองหลันเยี่ยนอีก? และยังไม่ได้กล่าวถึงกรณีที่กองทหารทั้งหมดในเมืองหลวงต่างก็เรียกเจ้าว่าหลินมู่อวี่แม่ทัพคลั่ง ชื่อนี้เหมาะสมกับเจ้าจริงๆ”

หลินมู่อวี่บีบจอกเหล้าอย่างไม่พอใจ “นั่นมันอะไรกัน ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ พี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน…บอกทีว่าข้าหรือพี่เฟิงเป็นฝ่ายถูก?”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกำลังใช้ดาบเลือกเนื้อแกะที่ส่งกลิ่นหอม ก่อนจะพูดอย่างเกียจคร้าน “เฟิงจี้สิงมีตำแหน่งที่สูงกว่าเจ้า คำพูดเขาจึงสมเหตุสมผลกว่า”

หลินมู่อวี่ไม่รู้จะพูดสิ่งใดได้อีก

จากนั้นทั้งสามก็กินเนื้อแกะด้วยกันหมดทั้งขาในเวลาสั้นๆ พวกเขาเป็นนักรบที่กินจุกว่าบุคคลทั่วไปมาก

หลินมู่อวี่เรอออกมาเสียงดัง และจู่ๆ ก็นึกถึงบางสิ่งได้ “พี่เฟิง กองบัญชาการนี้ได้รับการพัฒนาแล้ว และมีภูเขาทางเหนือที่อยู่ไม่ไกลซึ่งเคยถูกยึดครองโดยกลุ่มทหารรับจ้าง ท่านจะจัดการภูเขาทั้งสองนี้อย่างไร?”

เฟิงจี้สิงไตร่ตรอง “ที่นี่ค่อนข้างไกลจากเมืองหลวงซึ่งใช้เวลาเดินทางราวหกชั่วโมง หากไม่จัดการคงถูกสำนักอัศวินหรือกลุ่มทหารรับจ้างพเนจรยึดไปอีก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อชาวบ้านโดยรอบ อืม…หรือเราควรให้กรมแห่งจักรวรรดิเป็นคนจัดการ?”

หลินมู่อวี่เลิกคิ้ว “หากที่แห่งนี้มีประโยชน์แก่กองทัพ พวกเขาคงไม่ปล่อยให้เหล่าทหารรับจ้างมายึดไปเพื่อปล้นสะดมและเข่นฆ่าผู้คน”

“แล้วเจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไร?” เฟิงจี้สิงคิดไม่ออก

หลินมู่อวี่เผยยิ้ม “หากยกภูเขาแห่งนี้ให้ข้าล่ะ?”

“โอ้?” เฟิงจี้สิงตกใจมาก “เจ้าเด็กนี่…ต้องการภูเขาแห่งนี้เพื่อเลี้ยงดูนางบำเรอหรือ? หากเป็นเรื่องจริงข้าจะรายงานแก่องค์หญิงอินและองค์หญิงซี”

“พี่เฟิง! พี่คิดว่าข้าเป็นคนเช่นไรกัน…” หลินมู่อวี่ใจเต้นผิดจังหวะหลังจากได้ยิน ทว่ายังคงเผยความซื่อตรง “ข้าต้องการฝึกกองทหารที่นี่ และคงเพียงพอที่จะทำให้ทหารรับจ้างที่อยู่รอบๆ หวาดกลัว อีกทั้งเป็นการปกป้องชาวบ้านอีกด้วย”

“โอ้?”

เฟิงจี้สิงยิ้มขณะที่เอนกายลงบนก้อนหินและเหม่อมองขึ้นบนท้องนภา “ข้าได้ยินมาว่ามีกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มใหม่ในเมืองหลันเยี่ยนชื่อ ‘ค่ายมังการผงาด’ และมีผู้บัญชาการนามว่าหลินมู่อวี่ นั่นใช่เจ้าหรือไม่?”

“ฮ่าๆ หน่วยข่าวกรองของพี่เฟิงเร็วมาก!”

“ไร้สาระน่า ข้าเป็นผู้บัญชาการกองทหารแห่งจักรวรรดิ ข้ารู้ทุกความเคลื่อนไหวในเมืองหลวง บอกมาสิเจ้าเด็กน้อย ว่าเจ้าตั้งกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเพื่อการใด?”

หลินมู่อวี่ยกกำปั้นขึ้นก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ข้ายังคงจำความเกรี้ยวกราดของเจิ้งอี้ฝานเมื่อครั้งที่เขานำทหารค่ายเสินเวยบุกวิหารศักดิ์สิทธิ์ หากข้ามีกองทัพที่แข็งแกร่ง เหตุใดข้าจักต้องเกรงกลัวเจิ้งอี้ฝานอีก? พี่เฟิง…กล่าวอย่างสัตย์จริง ข้าไม่มั่นใจกับความแข็งแกร่งที่กองทหารจักรวรรดิมี หากยังคงเป็นเช่นนี้เราจะสามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งของทหารรักษาพระองค์ในการปกป้องเมืองหลันเยี่ยนหรือเสี่ยวอินได้หรือไม่?”

เฟิงจี้สิงตกตะลึง หลังจากเงียบไปชั่วครู่เขาก็พูดขึ้นว่า “อาอวี่…พี่ใหญ่เพียงต้องการถามให้แน่ใจ การฝึกกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดของเจ้านั้น…เป็นการทำเพื่อชิงบัลลังก์หรือเพื่อปกป้องเสี่ยวอินกันแน่?”

เฟิงจี้สิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาจนทำให้หลินมู่อวี่ตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างไม่ลังเล “ข้ามิเคยต้องการบัลลังก์ของจักรพรรดิ ข้าก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเพียงเพราะข้ากังวล…ข้ากังวลว่าความแข็งแกร่งที่มีในตอนนี้จะไม่เพียงพอในการปกป้องทุกสิ่ง ข้าฝึกฝนกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเพียงเพราะข้าหวังว่าจะปกป้องคนที่ข้าห่วงใยได้ด้วยกำลังของตนเอง…”

“ฮ่า…เป็นเช่นนี้เองรึ…”

เฟิงจี้สิงถอนหายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นเป็นเรื่องดี เช่นนั้นพี่เฟิงจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล เนื่องจากกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดของเจ้าเป็นกองทหารแห่งจักรวรรดิชั้นต้น ข้าจะปิดตาข้างหนึ่งและปล่อยไป กลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

“ขอรับ”

หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนจะเอ่ยถาม “พี่เฟิงทำให้ข้าหวาดกลัว ท่านคิดว่าข้าเป็นผู้ที่ต้องการชิงบัลลังก์อย่างนั้นหรือ?”

“ไม่”

เฟิงจี้สิงมองด้วยสายตาเย้าแหย่ “ทว่าหากเจ้าต้องการชิงบัลลังก์จริงๆ ด้วยทักษะทางการทหารและกำลังพลของเจ้า…คงจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจขององค์จักรพรรดิฉินทีเดียว”

หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจอย่างกระอักกระอ่วน “ข…ข้า…”

เฟิงจี้สิงหัวเราะและเอื้อมมือไปตบไหล่หลินมู่อวี่ “เจ้าเด็กโง่ เจ้าเป็นน้องชายของข้า แล้วเฟิงจี้สิงผู้นี้จะทำร้ายเจ้าได้เยี่ยงไร มาๆ เข้านอนแต่หัววันหลังหมดจอกนี้เถิด พูดตามตรง พี่เฟิงคนนี้รอคอยอย่างคาดหวังว่ากลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดจะแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงใดในภายภาคหน้า…เป็นอย่างที่เจ้าพูด กองทัพจักรวรรดิหยุดนิ่งนานเกินไปและสูญเสียพละกำลังส่วนใหญ่ แม้แต่องครักษ์อวี้หลินก็มิได้แข็งแกร่งดังก่อน เราต้องการคนใหม่เลือดร้อน”

“อืม”

หลินมู่อวี่พลันเงยหน้าขึ้นเพื่อดื่มสุราจนหมดจอก รสชาติเข้มไหลลงคอจนทำให้เกือบน้ำตาไหล หลินมู่อวี่เช็ดริมฝีปากก่อนจะเหม่อมองดวงดาวที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า เขาครุ่นคิดว่า…หากบนท้องฟ้านั่นเต็มไปด้วยดวงดาวจักรพรรดิและหมู่ดาวเคราะห์ แล้วเขาคือดาวอะไรจากทั้งสองนั่น?

เขาอาจไม่ได้ต้องการจะเป็นจักรพรรดิ ทว่าหากไม่ได้เป็นจักรพรรดิ…แล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงดินแดนซุ่ยติงแห่งนี้ด้วยพละกำลังที่มีได้หรือไม่?

ยาก…สำหรับแผ่นดินนี้มันเป็นเรื่องยาก กระนั้นหลินมู่อวี่ก็ต้องเดินบนทางเส้นนี้

ช่างเถอะ เขาควรจะไปดูกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดในวันรุ่งขึ้นเมื่อกลับไปเมืองหลันเยี่ยน ไม่รู้ว่าหลัวอวี่คัดเลือกมากี่คนแล้ว และเนื่องจากได้รับภูเขาลูกนี้จากเฟิงจี้สิง สถานการณ์ของกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดคงดีขึ้น ภูเขาแห่งนี้ไม่มีชื่อด้วยซ้ำ ทว่ามีพื้นที่กว้างขวางและมีการสร้างค่ายทหารไว้แล้ว ซึ่งสามารถรองรับทหารได้กว่าหมื่นคน มันเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาด

เฟิงจี้สิงวางก้อนหินยักษ์ลงพร้อมเงยหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นก็มองลงไปที่หลินมู่อวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เขาอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มจางๆ และเมื่อมองขึ้นไปท้องฟ้าอีกครั้งก็เห็นดาวตกบินผ่านฟากฟ้า เฟิงจี้สิงตกตะลึงเล็กน้อยและดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง

………………………………….