หลังจากพวกเขาหารือเรื่องการเมืองเสร็จและกำหนดแผนการปราบปรามสำนักอัศวิน เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนรีบออกไปเตรียมอาวุธและเสบียงให้แก่กองทหารของตน หลินมู่อวี่ในฐานะราชบุตรบุญธรรมมิได้อยู่ในตำหนักเจ๋อเทียนนาน เขารีบกลับรังอินทรีเพื่อรวบรวมกำลังพล ในที่สุดก็เหลือเพียงฉินจิ้นและฉินอินในห้องโถง ส่วนฉินเหลยยืนอารักขาอยู่หน้าประตูไกลๆ

“เสด็จพ่อ!”

ฉินอินทรงขมวดพระขนงเล็กน้อยด้วยความโกรธ “เสด็จพ่อรับพี่ใหญ่อาอวี่เป็นบุตรแล้ว เหตุใดจึงไม่พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เขา? ราชบุตรบุญธรรมที่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์นั้นไม่ยุติธรรมเลยมิใช่หรือเพคะ?”

“พระราชทานบรรดาศักดิ์…”

ฉินจิ้นค่อยๆ ยกถ้วยน้ำชาและเป่ามัน จากนั้นก็ตรัสว่า “เสี่ยวอิน พ่อมีเจ้าเป็นธิดาเพียงองค์เดียว หากต้องมอบบรรดาศักดิ์ให้อาอวี่ เช่นนั้นควรเป็นอะไร? เป็นราชาหรือ? มีราชาทั้งหมดสององค์ในจักรวรรดิแห่งนี้ พระองค์หนึ่งคือราชาพิทักษ์ทางใต้…ฉินอี้ ส่วนอีกหนึ่งคือฉินฮว๋ายราชาแห่งสันติ และทั้งสองเป็นพระอนุชาของพ่อ หากพระราชทานยศราชาให้อาอวี่ เช่นนั้นคงเป็นการละเมิดกฏมณเฑียรบาลที่ว่า ‘จะไม่ให้ผู้ใดขึ้นเป็นราชาหากไม่มีเชื้อสายราชวงศ์’ และแม้ว่าขณะนี้อาอวี่จะจงรักภักดี ทว่าจะรับประกันได้หรือว่าเขาจะไม่เปลี่ยนไปในภายภาคหน้า?”

ดวงตาคู่งามของฉินอินเต็มไปด้วยความตกใจ “เสด็จพ่อเกรงว่า…พี่ใหญ่อาอวี่จะชิงบัลลังก์เสี่ยวอินหรือ?”

“ใช่”

ฉินจิ้นมิได้ปฏิเสธขณะที่พยักหน้า “พ่อได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหลินมู่อวี่ วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าระดับสิบแข็งแกร่งพอๆ กับพันธะเทวาตระกูลฉินของเรา อีกทั้งเขายังเชี่ยวชาญด้านการปรุงโอสถและหลอมอาวุธ และหลินมู่อวี่ยังสามารถต่อกรกับผู้ที่มีระดับสูงกว่าอย่างจ้าวจิ้น โอวหยางชิว เจิ้งฟาง และคนอื่นๆ บางคนก็กล่าวว่าอาอวี่ใช้พลังลึกลับและชั่วร้ายที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน…”

กล่าวจบฉินจิ้นทรงถอนหายใจ “ผู้คนมักเปลี่ยนแปลงเสมอ ที่เขาดีกับเจ้า อาจเป็นเพราะความงามที่เจ้ามี ไม่คิดเช่นนนี้บ้างหรือ?”

ฉินอินตกตะลึง ไม่นานก็กล่าวว่า “หากละ…ลูก…”

“ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดแล้ว”

ฉินจิ้นโบกมือพร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวอินเชื่อฟังพ่อเถิด อย่าทำให้มันเป็นเรื่องยากเลย เราจะไม่เอ่ยถึงเรื่องการมอบบรรดาศักดิ์ให้หลินมู่อวี่อีก แม้ว่าเขาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉิน ทว่าเลือดที่หลั่งไหลอยู่ในตัวนั้นไม่ใช่ ตราบใดที่เขาจงรักภักดี พ่อจะเลื่อนยศให้เขาได้เป็นถึงจอมพล กระนั้น…หลินมู่อวี่จะไม่มีวันได้เป็นราชา!”

“ค่ะเสด็จพ่อ…”

ฉินอินกัดพระโอษฐ์แน่น และดวงตาเผยความโศกเศร้า ทักษะการปกครองของจักรพรรดิเป็นสิ่งที่เธอไม่มีวันเข้าใจ

เกิดความอลหม่านขึ้นในค่ายรังอินทรี

เมื่อหลินมู่อวี่นำเว่ยโฉว เซี้ยโหวซาง ละทหารนายอื่นๆ กลับมายังรังอินทรี ผู้บัญชาการเมิ่งฟางถือเหรียญตราโลหะสีดำออกมายื่นให้ “ท่านหลิน น..นี่คือเหรียญพยัคฆ์สำหรับรังมังกร ฝากดูแลแทนข้าด้วย…”

“ท่านแม่ทัพ ข้ามิได้ตั้งใจจะมาแทนที่ท่าน ข้าเพียงแค่…” หลินมู่อวี่ต้องการปลอบใจเขา ทว่าไม่รู้จะต้องพูดสิ่งใดออกไป

เมิ่งฟางส่ายหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ มันไม่ได้เกี่ยวกับท่าน แต่เป็นเพราะตาที่มืดบอดของข้า การห้ามท่านนำกองทัพไปตำหนักกวางโศกาเป็นความผิดของเมิ่งฟาง…ข้าน้อยจะลงจากภูเขาทันที รังอินทรีแห่งนี้…ข้าหวังว่าท่านหลินมู่อวี่จะปกปักรักษามันอย่างดี ทั้งหมดมันมาจากแรงกายแรงใจของข้าและเหล่าพี่น้อง…”

หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถิด ข้าจะดูแลมันเอง”

เมิ่งฟางควบม้าออกไปยังค่ายทหารรักษาพระองค์แห่งจักรวรรดิ ผู้บัญชาการที่เคารพกำลังจากไปเช่นนี้ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้า

หลังจากส่งเมิ่งฟางออกไป หลินมู่อวี่ก็หันไปหาเหล่าองครักษ์อวี้หลิน “เอาล่ะ ได้เวลาหารือกันอย่างเป็นทางการแล้ว!”

“ขอรับ ท่านแม่ทัพ!”

รังอินทรีมีทหารทั้งหมดเจ็ดร้อยนายซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหลินมู่อวี่ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความสำเร็จที่ไม่เคยประสบมาก่อน ในที่สุดหลินมู่อวี่ก็ได้เป็นบุคคลที่มีอำนาจกำหนดความเป็นความตาย!

กลุ่มผู้นำองครักษ์อวี้หลินทั้งห้าซึ่งแบ่งออกเป็นสองฝ่าย มีสองคนที่ดึงดูสายตามาก นั่นคือกงฉวนและสวี่เกิง เนื่องจากพวกเขาเคยเป็นทหารของจวนเสินโหว และเนื่องจากเคยอยู่จวนเสินโหวจึงเข้ากับทหารนายอื่นๆ ในรังอินทรีไม่ค่อยได้…หลินมู่อวี่เป็นชายที่จะไม่ยอมให้มีสิ่งใดขวางหูขวางตา เขาดึงราชโองการออกมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านกงฉวน และท่านสวี่เกิง ข้ามีข่าวดีมาให้ ฝ่าบาททรงตอบรับความประสงค์ของข้าให้ย้ายผู้บัญชาการกองร้อยทั้งสองออกจากภูเขา และกลับไปเข้าร่วมค่ายเสินเวย”

“ว่าอย่างไรนะ?!”

กงฉวนสีหน้าตกใจ “พ…พวกเราถูกส่งไปค่ายเสินเวยเหรอ? หลินมู่อวี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร? อย่าลืมว่าเจ้าเพิ่งเข้าร่วมรังอินทรี แล้วยังจะบีบเราออกเร็วขนาดนี้เลยรึ?”

หลินมู่อวี่เผยยิ้มจางๆ “คำสั่งนี้มีตราประทับทองคำขององค์จักรพรรดิ การฝ่าฝืนคำสั่งหมายถึงความตายเท่านั้น! ทหาร! นำสวี่เกิงและกงฉวนลงจากเขาไปซะ และลบชื่อออกจากบันทึกของรังอินทรีด้วย!”

“ขอรับ!”

หลินมู่อวี่ปกครองรังอินทรีด้วยความเด็ดขาด จุดประสงค์ของเขาชัดเจนมาก คือการกำจัดอำนาจที่มองไม่เห็นและทำให้รังอินทรีอยู่ภายใต้การดูแลของเขาแต่เพียงผู้เดียว

หลังจากนั้นไม่กี่นาที สวี่เกิงและกงฉวนก็นำสิ่งของติดตัวไปเล็กน้อยพร้อมควบม้าลงจากภูเขา

หลินมู่อวี่จัดระเบียบรังอินทรีทันที โดยแต่งตั้งเว่ยโฉวเป็นรองผู้บัญชาการ รวมทั้งแต่งตั้งผู้บัญชาการกองร้อยสี่นาย ซึ่งแต่ละคนมีทหารใต้บัญชาหนึ่งร้อยนาย หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกเขาก็เคลื่อนทัพลงจากเขา

ทหารม้ากว่าหกร้อยเคลื่อนทัพลงมาพร้อมเสียงเท้าม้าดังอึกทึก เมื่อมาถึงด้านล่างก็พบว่ามีทหารอวี้หลินรออยู่อย่างหนาแน่น เป็นทหารห้าพันนายของเฟิงจี้สิง และทหารอวี้หลินสี่ร้อยนายของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ซึ่งรวมกันแล้วเป็นจำนวนกว่าหกพันนาย กองทัพทหารขนาดใหญ่นี้รุดหน้าไปที่สำนักอัศวินซึ่งเป็นสาขาหลักของเมืองหลวง

เหล่าทหารเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว และแม้ว่าความจริงแล้วพวกเขาจะเคลื่อนทัพช้าไป ทว่าก็ยังมีเวลามากพอที่จะโจมตีกองบัญชาการสำนักอัศวิน

หลังจากเดินทางมาครึ่งวัน พวกเขาก็มาถึงตีนเขาเวลาพลบค่ำ มองเห็นเหล่าทหารฝึกหัดจุดคบเพลิงอยู่ไกลๆ เหล่าทหารสำนักอัศวินยังคงไม่ยอมแพ้ โดยให้ทหารกว่าร้อยนายเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู

“โจมตี!”

เฟิงจี้สิงออกคำสั่ง และควบม้านำกองทัพ ดาบของเขาสร้างลมกระโชกเมื่อเข้าใกล้ประตู เสียงดาบแหวกอากาศดังกึกก้อง!

‘เปรี้ยง!’

ประตูทางเข้าถูกฟันขาดครึ่ง ทันใดนั้น! เหล่าทหารม้าอวี้หลินพุ่งเข้าไปฟันทหารฝึกหัดกว่าร้อยนายออกเป็นชิ้นๆ

“พวกเราบุก!”

หลินมู่อวี่โบกมือก่อนที่เว่ยโฉวและทหารนายอื่นๆ ของรังอินทรีจะพุ่งตัวไป พวกเขารวมตัวกับทหารอวี้หลินและพุ่งเข้าใส่ทหารชำนาญการจนทำให้อีกฝ่ายล้มลงและส่งเสียงโอดครวญ เหล่าทหารชำนาญการต่างก็ได้รับบาดเจ็บจากศึกเมื่อคืนที่ผ่านมา แล้วพวกเขาจะป้องกันการโจมตีของกองทหารอวี้หลินได้อย่างไร…ทหารหลายนายคุกเข่าลงพร้อมตะโกนว่า “ท่านราชทูตหลินหยานปล่อยพวกเราไปเถิด พวกเราไม่ทราบอะไรเลย เราเพียงแค่หาเลี้ยงปากท้องเท่านั้น…”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนขมวดคิ้ว “พวกเราจะทำอย่างไรกับทหารชำนาญการเหล่านี้ดี? จะรับพวกเขาเข้าสู่กองทัพแห่งจักรวรรดิหรือไม่?”

เฟิงจี้สิงเลิกคิ้วและกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ทหารรักษาพระองค์เป็นผู้คนไม่มีมลทิน ทว่าทหารเหล่านี้ต่างก็มือเปื้อนเลือดซึ่งไม่เหมาะสมที่จะเข้าร่วมทหารอวี้หลิน ส่งพวกเขาไปยังกองทัพชายแดนซะ!”

หลินมู่อวี่ลงจากหลังม้าก่อนจะเดินเข้าไปในกองบัญชาการ “จีหยางและหลี่เฉียนซุนอยู่ที่ไหน?”

ทหารเหรียญเงินที่แขนหักกล่าวอย่างละล่ำละลักว่า “ราชทูตใหญ่ และราชทูตออกไปตั้งแต่รุ่งสาง ซึ่งไม่ทราบว่าตอนนี้อยู่ที่แห่งใด มีทหารเหรียญเงินและทหารเหรียญทองแดงบางส่วนออกไปกับพวกเขาด้วย…”

หลินมู่อวี่เผยยิ้มจางๆ “ถ้าไม่มีสิ่งใดผิดพลาด สมบัติบนภูเขาคงถูกขนออกไปแล้วใช่หรือไม่?”

“พวกเขานำไปบางส่วน และยังมีอีกมากหลงเหลืออยู่ เนื่องจากมีเวลาไม่มาก”

“เป็นเช่นนี้เอง…ทหาร! เข้าไปตรวจสอบด้านในกองบัญชาการ”

“ขอรับท่านแม่ทัพ!”

เว่ยโฉวเข้าไปตรวจสอบอยู่นาน ก่อนจะวิ่งกลับมาพร้อมยิ้มร่า “ท่านแม่ทัพ มีห้องลับอยู่ด้านใต้กองบัญชาการ และมีสมบัติอยู่มากมาย ต้องการไปตรวจสอบไหมขอรับ?”

“อืม” หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนจะมองไปที่ฉู่ฮว่ายเหมี่ยนและเฟิงจี้สิง “จะไปกับข้าหรือไม่?”

“ได้สิ!”

หลินมู่อวี่ถือคบเพลิงนำทางไป เขาตกใจมากเมื่อเข้าไปในห้องลับ จำนวนเหรียญทองในกองบัญชาการมีไม่น้อยกว่าที่ทหารรับจ้างเทียนจิงมีเลย เฉพาะหีบเหรียญทองก็มีมากกว่าหนึ่งร้อยหีบแล้ว ทว่าเหรียญเพชรทั้งหมดถูกนำออกไปทั้งหมด ขณะที่หีบเหรียญทองจำนวนหนึ่งหกกระจัดกระจาย ซึ่งสังเกตได้ว่าเหรียญทองด้านในถูกหยิบออกไป จีหยางและคนอื่นๆ ต่างรีบเร่งหนีไปด้วยความเกรงกลัวจะถูกไล่ล่า ดังนั้นจึงไม่สามารถขนเหรียญทองไปได้มาก มิเช่นนั้นจีหยางคงเอาไปทั้งหมดด้วยความโลภ

“ฮ่า…”

เฟิงจี้สิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “สำนักอัศวินช่างอ้วนท้วมสมบูรณ์จริงๆ!”

“ถูกต้อง!” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกล่าวอย่างตื่นเต้น “ดูด้านนั้นสิ มีคลังอาวุธด้วย!”

หลินมู่อวี่รีบเข้ามาดูและพบว่ามีอาวุธชั้นยอดกองเรียงรายอยู่ หอก ทวน กระบี่ และขวานถูกเก็บไว้ที่นี่ แม้ว่าอาวุธระดับนิลและระดับภูติจะถูกจีหยางและพรรคพวกฉวยไปแล้ว ทว่าก็ยังเหลืออยู่มากมาย อาวุธเหล่านี้สามารถนำไปแจกจ่ายให้แก่ทหารได้

“ฮึบ!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเปิดหีบไม้หน้าตาธรรมดาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดเลยว่าจีหยางจะสนใจของโบราณและเครื่องประดับหยก เจ้าเฒ่าคนนั้น…”

หีบใบนี้เต็มไปด้วยกำไลหยก แหวน สร้อยคอ และเครื่องประดับอื่นๆ รวมถึงภาพเขียนตัวอักษรและภาพวาดหลายม้วนซึ่งดูเหมือนว่าจะมาจากบุคคลที่มีชื่อเสียง กระนั้นหลินมู่อวี่ก็ไม่สามารถเข้าใจการประดิษฐ์อักษรของโลกทางนี้ได้ เมื่อเข้าไปมองดูใกล้ๆ เขาก็รู้สึกว่ามันช่างน่าเกลียดจริงๆ!

“หืม?”

เฟิงจี้สิงหยิบแหวนสีดำบริสุทธิ์ออกมาจากหีบและกล่าวว่า “แหวนนี่ทำจากอะไรกัน…มันดูไม่เหมือนหยก และค่อนข้างจะมีมวลกว่ามาก”

พูดจบเขาก็วางแหวนลงบนโต๊ะและฟันด้วยดาบ ‘เปรี้ยง!’ ประกายไฟแลบออกมาทันที และใบมีดกระเด้งกลับ มันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนบนแหวน และยังคงเปล่งประกายออกมาอย่างอ่อนโยน

ขณะเดียวกันในความคิดของหลินมู่อวี่ก็มีเสียงลู่ลู่ดังขึ้น “พี่ชาย นี่คือศิลาชิงหมิงในตำนาน! เป็นหยกวิญญาณชนิดหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นศิลาที่แข็งแกร่งที่สุด พี่ชายสามารถหลอมจิตวิญญาณสัตว์ร้ายเข้ากับแหวนชิงหมิงนี้ได้ และทำให้มันเป็นเครื่องประดับวิญญาณ!”

“โอ้?”

หลินมู่อวี่ใจเต้นแรงก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่เฟิง…ในเมื่อแหวนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ท่านยกให้ข้าได้หรือไม่?”

เฟิงจี้สิงคว้าเหรียญทองจำนวนหนึ่งใส่ไว้ในหน้าอกขณะที่เก็บข้าวของอย่างอื่นอย่างมีความสุข “เอาสิ ได้เลย แหวนเป็นของเจ้า ส่วนเหรียญทองเป็นของข้า…ให้ตายเถอะ ที่นี่มีเหรียญมากเหลือเกิน ข้าขอเอาไปเพิ่มได้ไหม?”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมองไปที่เฟิงจี้สิงอย่างเหยียดหยาม “คนอย่างเจ้านี่มัน…ไม่รู้จักอายที่เป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพแห่งจักรวรรดิเลยเหรอ?”

…………………………………