ตอนที่ 812 พูดความจริงไปก็ไม่มีใครเชื่อ

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

“อะไรที่พวกคุณเรียกว่าเกินกว่าเหตุล่ะคะ” ถังหนิงถาม

 

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจมองลึกเข้าไปในดวงตาถังหนิงและพบว่าแววตาของหญิงผู้เป็นตำนานคนนี้สงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ และทำให้เธอดูน่าเชื่อถือมาก

 

 

“อีกอย่างนะคะคุณตำรวจ เอเจนซี่ที่ดูแลสวี่ซินพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปกปิดความจริง แต่แหล่งข่าวของไห่รุ่ยก็สืบจนรู้ได้ว่าสวี่ซินมีประวัติป่วยทางจิต พวกคุณจะขอดูข้อมูลพวกนั้นเพิ่มเติมก็ได้ถ้าต้องการ”

 

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจพยักหน้า ดูเหมือนเขาจะได้ค้นพบอะไรบางอย่างเพราะถังหนิงอีกแล้ว

 

 

เพราะถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับคนธรรมดาที่จะทำเรื่องสุดโต่งแบบนี้เพราะความโกรธ

 

 

“ข่าวลือจากข้างนอกต้องสร้างความลำบากมากมายให้คุณแน่ๆ” เจ้าหน้าที่หนุ่มคนหนึ่งพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “มันก็เป็นแบบนี้แหละครับ พูดความจริงไปก็ไม่มีใครเชื่อ แต่พอโกหก คนกลับพากับตบมือสรรเสริญกันยกใหญ่ ไม่มีใครอยากเห็นเรื่องง่ายๆ มีแต่คนชอบเรื่องดราม่ากันทั้งนั้น ยิ่งดราม่ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

 

 

“ฉันชินแล้วละค่ะ” ถังหนิงตอบด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าหน้าที่จะพยายามสืบหาความจริงให้เร็วที่สุดและมอบความยุติธรรมให้กับคุณนะครับ แต่ให้พูดความตรง สำหรับคนคนหนึ่งที่แสดงความโกรธแค้นที่มีต่อคุณแม้แต่ในช่วงเวลาที่ตัวเองกำลังจะตาย มันเป็นเรื่องที่ชวนให้น่าสงสัย เพราะอย่างนี้คนทั่วไปถึงตื่นตัวกันมาก” เจ้าหน้าที่ตำรวจถอนหายใจก่อนที่เขาจะยุติการสอบปากคำ “ผมคงพูดได้แค่ว่าคุณโชคไม่ดีเท่านั้นล่ะครับ”

 

 

“เวลาจะเผยความจริงออกมาเองค่ะ”

 

 

“ผมจะไปส่งคุณนะ ใช้รถออกจากสถานีตำรวจจะปลอดภัยกว่าเดินออกไปเอง”

 

 

เพราะข้างนอกนั้นมีฝูงนักข่าวกำลังเฝ้ารอถังหนิงอยู่

 

 

“ไม่จำเป็นค่ะ สามีฉันกำลังรออยู่ด้านนอก”

 

 

พูดจบ ถังหนิงก็โค้งให้กับเจ้าหน้าที่และเดินออกไปทางประตูหลังจากสถานีตำรวจอย่างรวดเร็ว

 

 

แม้โม่ถิงจะเป็นคนระมัดระวังมาตลอด แต่ดูเหมือนจะมีใครบางคนในสถานีตำรวจส่งสัญญาณให้สื่อที่อยู่ด้านนอก ดังนั้นบรรดานักข่าวจึงมารวมตัวกันที่ประตูหลังของสถานีตำรวจอย่างรวดเร็วและพากันรุมล้อมถังหนิง

 

 

“ถังหนิง… ถังหนิง อย่าเพิ่งไปสิคะ ขอพวกเราสัมภาษณ์ก่อน ทุกคนพากันพูดว่าคุณบีบให้สวี่ซินฆ่าตัวตาย เป็นความจริงหรือเปล่าคะ”

 

 

“ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับสวี่ซินไม่ธรรมดาเหมือนอย่างที่เจ้าหน้าที่สรุปใช่ไหมครับ”

 

 

“สวี่ซินผูกพยาบาทคุณเพราะคุณเคยใช้วิธีสุดโต่งกันเธอใช่ไหมคะ”

 

 

ถังหนิงขมวดคิ้วและไม่สนใจกล้องถ่ายภาพมากมายที่เล็งมาทางเธอ ทว่าเธอถูกล้อมไว้ทุกด้าน จึงถูกผลักไปซ้ายทีขวาทีแต่ไม่สามารถหาทางออกไปได้

 

 

“ถังหนิง…”

 

 

“ถังหนิง…”

 

 

“ทุกคนอย่าผลักสิ อย่าผลัก!”

 

 

จากที่เห็น ดูเหมือนพวกนักข่าวไม่คิดจะเลิกราจนกว่าจะได้ฉีกเธอเป็นชิ้นๆ

 

 

“ถังหนิง คุณคงไม่เคยคิดจะฆ่าสวี่ซินใช่ไหม”

 

 

ถังหนิงอยากจะก้าวไปด้านหน้าแต่นักข่าวคนหนึ่งฉุดเธอไว้จากด้านหลังและไม่ปล่อยให้เธอเดินออกไป

 

 

ในเวลานั้นเอง มีเสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นจากกลุ่มคน “ออกไปให้พ้นทาง”

 

 

ทุกคนตระหนักได้ว่านั่นคือเสียงของโม่ถิง ผู้ซึ่งเพิ่งจะก้าวออกมาจากรถยนต์คันสีดำของเขา เขารีบเดินตรงเข้าไปในกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว ขณะที่ทุกคนได้แต่จ้องมองเขาด้วยความอึ้ง โม่ถิงเดินทะลุการป้องกันของทุกคนและดึงถังหนิงมาไว้ในอ้อมแขนของเขา “พวกคุณอยากจะสัมภาษณ์ใช่ไหม ได้ ถ้ามีคำถามอะไรก็มาถามผมเลย”

 

 

ทุกคนอึ้ง แต่ถึงแม้จะเป็นโม่ถิง ก็ไม่มีใครอยากจะทิ้งโอกาสนี้ไป ดังนั้นบรรดานักข่าวจึงรวบรวมความกล้าและเริ่มเอ่ยถาม “ท่านประธานโม่ครับ ถังหนิงบีบให้สวี่ซินตายหรือเปล่าครับ”

 

 

“สวี่ซินกรีดข้อมือและแทงอกตัวเอง มันเป็นการฆ่าตัวตาย!” โม่ถิงตอบอย่างเยือกเย็น

 

 

“ไม่ครับ ผมหมายถึง สวี่ซินฆ่าตัวตายเพราะถูกถังหนิงกดดันจนไม่เหลือทางเลือกอื่นหรือเปล่า”

 

 

“เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกความจริงกับพวกคุณไปหมดแล้ว พวกคุณอยากจะได้ยินเรื่องแบบไหนกันล่ะ”

 

 

นักข่าวคนที่ตั้งคำถามนั้นเห็นได้ชัดว่ารู้สึกหวาดกลัวกับคำตอบอันทรงพลังของโม่ถิง เขาได้เพียงอ้าปากแต่ก็กลัวเกินกว่าจะพูดอะไรต่อ

 

 

“มีคำถามอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีก็หลบไป!”

 

 

“แต่ไห่รุ่ยอาจจะให้สินบนกับเจ้าหน้าที่…”

 

 

ทันทีที่โม่ถิงได้ยินประโยคนี้ดังงึมงำออกมาจากกลุ่มคน เขาพลันหยุดฝีเท้าทันที

 

 

“ถ้าเจ้าหน้าที่รับสินบนจากไห่รุ่ยได้ง่ายขนาดนั้น ทำไมพรุ่งนี้ผมไม่ไปสมัครเป็นประธานาธิบดีไปเลยล่ะ” โม่ถิงตอบอย่างเย็นชา “พวกคุณโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ผมรู้ว่าเพื่อเอาชีวิตรอดพวกคุณเลยต้องทำเรื่องน่ารังเกียจหลายๆ อย่าง แต่การที่คุณมาดูถูกกระบวนการยุติธรรมแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าทำไมพวกคุณถึงเป็นได้แค่นักข่าวสายบันเทิงธรรมดาเท่านั้น

 

 

“ถ้าการฆ่าใครสักคนมันง่ายนักละก็ พวกคุณทุกคนก็ควรระวังความปลอดภัยของตัวเองเอาไว้ให้ดี…”

 

 

ทุกคนต่างพากันมองหน้ากันและกัน กลัวเกินกว่าจะพูดอะไรอีก

 

 

บางคนพวกเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงยืนกรานที่จะไล่ตามสิ่งที่ตัวเองเรียกว่า ‘ความจริง’ กันนัก เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ออกมาบอกความจริงกับพวกเขาแล้ว แต่กลับไม่มีใครเชื่อ ไม่มีเลยสักคน!

 

 

“ไปกันเถอะ”

 

 

ณ เวลานั้น ไม่มีใครกล้ายืนขวางทางโม่ถิงอีกแล้ว พวกเขาทำได้เพียงมองดูโม่ถิงเดินนำถังหนิงออกไปจากกลุ่มคน

 

 

อาจเป็นเพราะการที่เหตุการณ์ในครั้งนี้มีความตายเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกคนในวงการจึงเลี่ยงที่จะพูดถึง

 

 

เหล่าคนที่เคยร่วมงานกับเธอหรือเคยติดต่อเธอต่างมั่นใจว่าถังหนิงคงไม่มีทางดึงตัวเองออกมาจากเรื่องในครั้งนี้ได้แน่ เพราะเรื่องที่ไม่อาจหาคำชี้แจ้งได้จะกลายเป็นตราบาปดำมืดติดชื่อเธอไปตลอดกาล

 

 

ขณะเดียวกัน แม้ศิลปินคนอื่นๆ ของไห่รุ่ยจะรู้ดีว่าถังหนิงเป็นคนอย่างไรแต่ไม่กลัวที่จะพูดความจริงในเรื่องนี้ แต่เหล่าผู้จัดการของพวกเขาคิดว่าการปิดปากเงียบจะเป็นการดีที่สุดสำหรับเรื่องในครั้งนี้และจะไม่เป็นการทำลายอาชีพของพวกเขาเพื่อคุณธรรมเพียงน้อยนิด

 

 

ที่จริงขณะที่ถังหนิงก้าวเข้ามาภายในตึก สายตาของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างมาก กระนั้นสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือหลินเฉี่ยน ซึ่งปรากฏตัวอยู่ภายในห้องทำงานของโม่ถิง

 

 

“ตอนนี้ทุกคนกำลังพากันเหยียบย้ำฉันที่กำลังตกต่ำ ฉันคงไม่ต้องการผู้ช่วยไปอีกพักหนึ่ง ดังนั้นเธอสามารถ…”

 

 

“ไม่เห็นเป็นไรเลยค่ะ ไม่ใช่ว่าฉันจะต้องเป็นผู้ช่วยสักหน่อย ฉันแค่ทำแบบนี้เพื่อพี่” หลินเฉี่ยนตอบ

 

 

ถังหนิงยิ้ม หลังจากนั้นเธอเอ่ยถามหลินเฉี่ยน “งานที่ฉันให้เธอทำก่อนหน้านี้เป็นยังไงบ้าง”

 

 

“ฉันวางรายชื่อทั้งหมดไว้บนโต๊ะท่านประธานโม่แล้วค่ะ” หลินเฉี่ยนกล่าวพลางชี้ไปที่โต๊ะทำงานของโม่ถิง “พี่กำลังวางแผนจะทำอะไรงั้นเหรอ”

 

 

“ฉันรู้สึกว่าการให้เธอมาเป็นผู้ช่วยของฉันมันดูน่าเสียดาย ลองทำอย่างอื่นดูไหม”

 

 

หลินเฉี่ยนจ้องถังหนิงตาแป๋ว

 

 

“อีกเดี๋ยวเธอก็รู้เอง”

 

 

“ทำไมพี่ไม่รีบล้างมลทินให้ตัวเองล่ะคะ” หลินเฉี่ยนสงสัยในสิ่งที่ถังหนิงกำลังคิด หากเป็นคนอื่น พวกเขาคงกำลังนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ที่บ้าน แต่ถังหนิงกลับดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

 

 

“ตอนนี้ไม่ว่าฉันจะพูดหรือทำอะไร ก็จะดูเหมือนฉันกำลังแก้ตัวทั้งนั้น” ถังหนิงยักไหล่อย่างเสียไม่ได้

 

 

“ถึงสวี่ซินจะไม่อยู่แล้ว ฉันก็ยังรู้สึกรังเกียจผู้หญิงคนนั้น” หลินเฉี่ยนตอบอย่างตรงไปตรงมา “อีกอย่าง ผู้กำกับติดต่อพี่ไม่ได้ เขาเลยโทรหาฉัน บอกว่า ‘ผู้รอดชีพ’ จะไม่มีกำหนดฉายอีกแล้ว ดูเหมือนรัฐบาลจะรู้สึกว่าพี่เป็นนักแสดงที่มี ‘ภาพลักษณ์ไม่ดี’ พวกเขาเลยไม่สามารถปล่อยให้พี่กลายเป็นแบบอย่างให้คนอื่นได้ เพราะอย่างนั้นพวกเขาเลยตัดสินใจที่จะไม่ลงทุนกับหนังเรื่องนี้อีกแล้ว แต่ผู้กำกับยังคงมีแผนที่จะถ่ายทำมันให้จบ

 

 

“เขาเสนอที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายที่เหลือทั้งหมดและขอให้พี่กลับไปที่กองถ่ายถ้าพี่มีเวลา”