เปิดหน้าแรก ผู้หญิงสวยผมสั้นเด้งมาตรงกลาง ด้านใต้เขียนข้อความตัวใหญ่ว่า “ราชินีเสวี่ยอิงกลับมาถ่ายหนังเรื่องแรก ล่มเมือง กำลังจะเริ่มถ่ายทำ!”

ฟางเจิ้งมองแวบหนึ่งไม่ได้สนใจอะไร เขาไม่ชอบข่าวบันเทิงดาราที่สุด ทุกคนมีชีวิตของตัวเอง ไปดูความลับคนอื่นไม่ใช่นิสัยที่ดีอะไร

เขาปิดหน้านี้ไปแล้วอ่านพุทธคัมภีร์ต่อ

พริบตาเดียวผ่านไปอีกหลายวัน ชีวิตก็ยังคงราบเรียบ…วันหนึ่งบนเขาที่เงียบสงบมาตลอดถูกทำลาย

“นี่หนักไป เปลี่ยนคนที”

“ใครหาของนี่มาวะ ภูเขาสูงขนาดนี้ แม้แต่กระเช้ายังไม่มี โอย เอวฉัน…”

ฟางเจิ้งได้ยินเสียงวุ่นวายเลยออกมาดูด้วยความสงสัย เห็นขบวนคนกลุ่มใหญ่แบกหามกล่องขึ้นมาบนเขา ในนั้นมีคนหนึ่งดูคุ้นตา ใบหน้ายาว เหมือนจะเป็นคนจากบริษัทภาพยนตร์ที่มาวัดก่อนหน้านี้

แม้คนพวกนี้จะบ่นตลอด แต่ก็ยังทำงานอย่างแข็งขัน คนเยอะ พักสักเดี๋ยวเดียวก็แบกไปไกลแล้ว

ฟางเจิ้งยกมือขึ้นวางตรงหน้าผากเพ่งมองไป ไกลจริงๆ ขอเพียงด้านนั้นไม่แสดงโชว์ ก็อาจจะไม่ส่งผลถึงความสะอาดของเขา เห็นว่าคึกคักฟางเจิ้งจึงหัวเราะ กลับไปอ่านคัมภีร์ เคาะมู่อวี๋ต่อ

แต่กระรอกอยากรู้อยากเห็นมาก มันตามเข้าไปดู หมาป่าเดียวดายกับลิงไม่รู้จะไปไหน ฟางเจิ้งก็ขี้เกียจจะสนใจพวกมันด้วย

ช่วงกลางวันฟางเจิ้งออกมาอีกครั้ง เห็นแผ่นภาพใหญ่ถูกกางออก ด้านบนเขียนว่า “ภาพยนตร์ย้อนยุคเหนือจินตนาการฟอร์มยักษ์ล่มเมือง กำลังถ่ายทำ…”

“ล่มเมือง? หรือว่านักแสดงผู้หญิง?” ฟางเจิ้งส่ายหน้า ไม่ได้สนใจอะไร ก่อนอ่านคัมภีร์ต่อ

เข้าสู่กลางคืน พลันมีคนแปลกหน้ามาที่วัด

“เสวี่ยอิงล่ะ?” ผู้กำกับอวี๋วางแก้วสุราลง ถามด้วยดวงตามึนเมา

“ใช่ พี่เสวี่ยอิงล่ะ?” หลินตงสือว่าเช่นกัน

“เสี่ยวหลิว แกเป็นนายหน้าของเสวี่ยอิงนี่ เธอล่ะ?” ผู้กำกับอวี๋ถาม

เสี่ยวหลิวทำหน้ามึนงง “ไม่เห็นนะครับ เมื่อกี้ยังอยู่เลยนี่ อ้อ เธอบอกว่าจะไปห้องน้ำ”

“ไปนานแค่ไหนแล้ว?” ผู้กำกับอวี๋ถาม

“หนึ่งถึงสองชั่วโมงแล้วครับ…” เสี่ยวหลิวพบสิ่งที่น่าขมขื่น เหมือนจะเกิดเรื่อง! โรคเก่าของเสวี่ยอิงกำเริบอีกแล้ว หนีไปอีกแล้ว!

ผู้กำกับอวี๋อึ้งไป “คะ…คือหนีไปแล้ว?”

เสี่ยวหลิวแบมือด้วยความจนปัญญา ทำหน้าว่าคุณเองก็เข้าใจ

ผู้กำกับอวี๋ยิ้มแห้งๆ “เธอไปไม่เป็นไร แต่ยังไงก็ควรจะบอกสักคำ ภูเขากันดารแบบนี้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง? รีบติดต่อไป เสี่ยวหลิว แกไม่ต้องอยู่นี่แล้ว ไปตามหาเสวี่ยอิง อยู่กับเธอไว้”

เสี่ยวหลิวรีบโทรศัพท์ สรุปคือ “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้”

พอได้ยินว่าไม่สามารถติดต่อทั้งกองถ่ายพลันตระหนกตกใจ! สตรีแนวหน้าวงการภาพยนตร์จีน ดาราภาพยนตร์ระดับโลกอย่างหลี่เสวี่ยอิงหายตัวไป! ปิดเครื่องอีก! นี่ถ้าเกิดเรื่องจะต้องฟ้าถล่มแน่ๆ!

ตอนนี้เองทุกคนไม่มีใจจะดื่มสุราแล้ว ผู้กำกับอวี๋ตะโกนอีกว่า “มัวเหม่ออะไรกัน? ต่อให้ต้องขุดดินสามสิบนิ้วก็ต้องหาหลี่เสวี่ยอิงให้เจอ จะเกิดเรื่องกับใครก็ได้ทั้งนั้น แต่เธอไม่ได้!”

การสังสรรค์ที่เดิมทีคึกคักพลันปะทุขึ้น ทุกคนแยกย้ายกันไปตามหาคน

แต่ตอนนี้เองบนเขาเอกดรรชนี ในวัดเอกดรรชนี ฟางเจิ้งในจีวรขาวยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ แหงนหน้ามองฟ้า มองลอดผ่านใบไม้ไปยังดวงจันทร์

ตอนนี้เองตรงปากประตูวัดมีร่างระหงเพิ่มมา คนนี้คลุมด้วยผ้าคลุมไหล่สีดำ สวมแว่นตาดำใหญ่ เห็นเพียงริมฝีปากบางกับคางสีขาวหิมะ มองจากร่างเงาและเสื้อผ้าแล้ว นี่คือผู้หญิง

เธอยืนอยู่ตรงปากประตู พลันหยุดชะงัก มองหลวงจีนจีวรขาวใต้ต้นโพธิ์นิ่งๆ เหมือนตะลึงกับม้วนภาพที่งดงามอย่างยิ่ง

ไม่ได้มีผลจากแสงเงาใดๆ ไม่มีการแต่งแต้มด้วยสิ่งของเพิ่มเติมใดๆ เป็นเพียงภาพวาดนิ่งๆ งามเหนือธรรมดา มองปราดเดียวความกลัดกลุ้มในใจเธอสงบนิ่งตาม ความจริงวินาทีที่เธอเข้ามาในวัด ความกลัดกลุ้มในใจสงบลงมากแล้ว พอเห็นภาพนี้ในที่สุดก็ผ่อนคลายลง

บัดนี้เองหลวงจีนในจีวรขาวประหนึ่งพระเกจิเอ่ยวาจา เธอตื่นเต้นเล็กน้อย เหมือนมีความหวังนิดๆ หวังว่าเณรน้อยนี่จะสวดมนต์ได้สักท่อน? หรือภาษาธรรมะ?

แต่…

เณรพลันยิ้มด้วยความกระหายน้อยๆ หลายส่วน “กระรอก ได้ยินว่าวันนี้นายเอาขนมกลับมาด้วยเหรอ แบ่งอาตมาหน่อยได้ไหม?”

สิ้นเสียงเธอผงะอยู่กับที่เดิม ม้วนภาพสวยงามก่อนหน้าเหมือนระเบิดในใจดังโบ๊ะ! การสวดมนต์ล่ะ? ภาษาธรรมล่ะ? พระเกจิล่ะ? ทำไมถึงกลายเป็นคนเห็นแก่กินไปได้?

เธออดไม่ไหวถอนหายใจ พูดงึมงำ “ยังไงก็เป็นคนธรรมดา จะมีพระพุทธองค์แท้จริงในโลกนี้ได้ยังไง?”

ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นพลันตกใจสะดุ้ง ในเวลาปกติเมื่อฟ้ามืดเขาจะปิดประตูวัด เวลานี้ทั้งวัดมีเขาคนเดียว ที่เหลือเป็นสัตว์ จะเป็นช่วงที่เขาผ่อนคลายที่สุด แต่ตอนนี้เขาดันลืมปิดประตู ไม่นึกเลยว่าจะมีเสียงผู้หญิงดังแว่วมาข้างหูเบาๆ ทำเอาตกใจจนคิดว่าเจอผี!

ฟางเจิ้งหันไปมองก็เห็นผู้หญิงยืนอยู่ตรงปากประตู ชำเลืองมองบนพื้นแวบหนึ่ง มีเงา ไม่ใช่ผี! เขาถึงถอนหายใจโล่งอก ประนมสองมือพลางเดินเข้าไป “อมิตาพุทธ สีกา กลางคืนแบบนี้วัดต้องปิดประตูแล้ว”

“อ้อ” เธอพยักหน้า แต่กลับไม่มีท่าทีสนใจฟางเจิ้งเลย เธอเดินเข้าไปในวัด ไม่ได้ไปไหว้พระ แต่นั่งใต้ต้นโพธิ์ไม่พูดไม่จา

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นจึงเกิดความฉงน เจอกับคนโรคประสาทรึเปล่า? ขึ้นเขามาดึกดื่นแถมยังสวมแว่นตาดำอีก? เธอขึ้นเขาอย่างปลอดภัยไม่ตกเขาได้ยังไง? อมิตาพุทธ พระพุทธองค์ปกปักจริงๆ

ฟางเจิ้งเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบ เขาเองก็ไม่อยากอึดอัด ในเมื่อเธอไม่พูด ฉันจะทำเป็นมองไม่เห็นเธอแล้วกัน

เขามาใต้ต้นไม้ แหงนหน้ามองยอดไม้ต่อ “กระรอก นายอ้วนขนาดนี้แล้ว กินน้อยๆ ลงหน่อยไม่ได้รึไง? แบ่งของว่างมื้อดึกให้อาตมาหน่อย พรุ่งนี้อาตมาจะเอาหน่อหลิวเฮาที่เก็บไว้มาตลอดทำใจกินไม่ลงให้นายลองชิมว่าไง?”

เดิมทีเธอคิดว่าเณรนี่เห็นคนนอกแล้วจะแสร้งเป็นไต้ซือเหมือนกับหลวงจีนส่วนใหญ่ เช่นตรงเข้ามาคุยด้วยหรือไม่ก็ทำนายชะตา อย่างแย่สุดจะใช้ภาษาธรรมสนทนาด้วยสักสองประโยค สื่อว่าตนมีพระธรรมลึกล้ำ

แต่ไม่คิดเลยว่าเณรนี่จะต่างจากคนอื่นขนาดนี้ เธอไม่สนใจเขาเขาก็มองเธอเป็นอากาศธาตุ! ทำตามทางของตนโดยไม่สนใจผู้อื่นต่อ จะเอาเมล็ดสน เพียงแต่ว่าเจ้านี่พูดพึมพำใต้ต้นโพธิ์กลางคืนว่าจะเอาเมล็ดสนมันแปลกไปรึเปล่า? บนต้นโพธิ์มีกระรอก? ต่อให้มีมันจะเข้าใจภาษาคุณได้ยังไง?

‘คงไม่ใช่คนบ้าหรอกนะ?’ เธอคิดได้ดังนั้นก็ขยับออกไปข้างๆ รักษาระยะห่าง!