ต่อมาเสียงกระรอกร้องจี๊ดๆ ดึงดูดความสนใจเธอ จึงเงยหน้าขึ้นมอง

เห็นกระรอกตัวหนึ่งโผล่หัวออกมา จากนั้นชกหมัดใส่อากาศไปทางฟางเจิ้งคล้ายกับคนมาก เหมือนกำลังพูดว่า “เรียกอะไรอยู่ได้ ไม่ให้!”

เธอตะลึงงัน นี่มันกระรอกนี่? มีสติปัญญา?

เธอมองเณรจีวรขาวอีกครั้ง เณรไม่โกรธ แต่ยิ้ม “นายคิดดีแล้วนะ ถ้าขี้เหนียวต่อไป อาตมาก็จะขี้เหนียวบ้าง ข้าวอาตมาเป็นของล้ำค่า ตั้งแต่ลิงมาก็เห็นก้นโอ่งข้าวเร็วขึ้นเรื่อยๆ เลย…อาตมาต้องคิดหน่อยล่ะว่าควรจะเก็บข้าวจากตรงไหนดี นี่เป็นปัญหาจริงๆ”

ต่อมาเธอตาพร่ามัว เห็นกระรอกกระโดดลงมาบนบ่าฟางเจิ้ง ในมือถือเมล็ดสนพวงใหญ่สองพวง ดวงตาโตใสแวววาว ยัดพวงเมล็ดสนใส่มือฟางเจิ้งประหนึ่งกำลังสอพลอ เจ้าตัวเล็กฉลาดมาก โอ่งข้าวเป็นที่ที่ต้องดูทุกวันว่ายังมีข้าวเหลือเท่าไร มันรู้ดีว่าฟางเจิ้งไม่ได้พูดเล่น ข้าวเหลือไม่มากจริงๆ

ฟางเจิ้งยิ้มออก ยิ้มเบิกบานใจมาก ถึงจะแค่สนสองพวง แต่กลับยิ้มพอใจจากใจจริง ยิ้มจนไม่มีการเสแสร้งและใสซื่อมาก

เธอมองรอยยิ้มฟางเจิ้งก่อนมองกระรอก นัยน์ตามีความฉงนวูบผ่าน พวงสนสองพวกเท่านั้นเอง ทำไมถึงยิ้มร่าเริงขนาดนั้น? แต่ว่าทำไมฉันถึงยิ้มด้วยล่ะ? การกระทำของหลวงจีนนี่กับกระรอกมีความสบายๆ ไม่มีการคำนึงถึงเรื่องจุกจิกทางโลก มีเพียงของว่างง่ายๆ กับยิ้มร่าเริงเท่านั้น เธอชื่นชมความบริสุทธิ์นั้น

ขณะเดียวกันเธอขยี้ตา พยายามคิดว่านี่เป็นภาพลวงตาหรือไม่ พอหยิกตัวเองไปทีหนึ่ง เจ็บ…ไม่ใช่ความฝัน!

ในที่สุดเธอก็อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “หลวงพี่ ท่านเข้าใจภาษากระรอกด้วยเหรอคะ?”

ฟางเจิ้งตบหัวกระรอก ยิ้มน้อยๆ “จิตใจสื่อสารได้กับทุกสรรพสัตว์” คำพูดนี้ออกจะซับซ้อนนิดหนึ่ง เหมือนกำลังตอบอย่างแน่นอนและก็ไม่ใช่ ปัญหาบางอย่างเขาก็ตอบไม่ได้ตรงๆ ไม่อย่างนั้นจะอธิบายยาก เขาเองก็ขี้เกียจด้วย แน่นอนว่าตีมึนไป

เธอกลับมีท่าทีเหมือนกำลังตรึกตรอง เหมือนเข้าใจ ก่อนยืนขึ้นแสดงความเคารพฟางเจิ้ง “ขอบคุณหลวงพี่ที่ชี้แนะค่ะ”

ฟางเจิ้งงงงัน นี่เรียกว่าชี้แนะเหรอ? เขาแค่ไม่อยากถูกซักถามถึงแก่นความจริงก็เท่านั้น…บางครั้งนักต้มตุ๋นก็มาแบบง่ายมาก เพียงแต่คนที่ถูกต้มจะคิดซับซ้อนมากไปเอง

ฟางเจิ้งประนมสองมือแสดงความเคารพกลับ “อมิตาพุทธ สีกา ดึกแล้ว รีบลงเขาไปเถอะ บนเขาลมแรง กลางดึกหนาวด้วย”

ฟางเจิ้งไม่ได้โกหก ต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือหนาวที่สุด แม้จะมีแดดแล้ว แต่หิมะเพิ่งละลาย ดูดซับความร้อนจำนวนมาก ลมพัดทีหนึ่งหนาวจนเข้ากระดูก แต่ก็ไม่ได้หนาวยะเยือกเหมือนเดือนสิบสอง

เธอเห็นแววตาฟางเจิ้งใสสะอาดมาก วาจาก็หวังดีกับเธอจากใจจริง เธอไม่ได้ยินคำพูดที่เป็นห่วงเธอด้วยความบริสุทธิ์แบบนี้มานานมากแล้ว คำพูดข้างกายส่วนใหญ่จะมีอะไรแอบแฝงไม่มากก็น้อยตลอด

คิดได้ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจลองดูกับเณรรูปนี้ ถอดแว่นตาดำลงนิ่งๆ เธอเชื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องจำหน้าเธอได้แน่ กระทั่งอาจจะกรีดร้อง อย่างน้อยๆ ก็ต้องตกใจหรือตื่นเต้น! เธอมีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีศักยภาพ! ไม่ใช่เพราะความสวย แต่เป็นเพราะชื่อเสียง! ชื่อเสียงดังระดับโลก!

แต่เมื่อเธอถอดแว่นตาดำออก รออยู่นานก็ไม่เห็นเณรตกใจอะไร กระทั่งอีกฝ่ายยังคงนิ่งมาก นิ่งราวกับกำลังมองคนธรรมดา หรืออาจจะไม่ได้มองเป็นคนเลย แต่เป็นต้นไม้…ดอกไม้…ต้นหญ้า!

ความรู้สึกนั้นทำให้เธอพลันรู้สึกถูกดูถูก ถึงเธอจะหวังมาตลอดว่าจะหนีความวุ่นวายไปยังที่ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่พอมาเจอกับคนที่ไม่รู้จักเธอจริงๆ ความหยิ่งยโสในใจกลับสร้างความอึดอัด คับอกคับใจ ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะไม่รู้จักเธอ! หรือว่าจะไม่เล่นอินเทอร์เน็ต? ไม่ดูทีวี? ไม่อ่านข่าว? ไม่คุยกับคนอื่น?

แต่เธอไม่รู้ว่าวินาทีที่ฟางเจิ้งเห็นเธอถอดแว่นตา เขามีเพียงความคิดเดียว ‘ดูท่าคงไม่ใช่คนบ้า อย่างน้อยก็ยังรักษาได้’

ถ้าเธอรู้เรื่องนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะระเบิดโทสะ

เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ถามด้วยความไม่เชื่อ “หลวงพี่ ท่านไม่รู้จักฉันเหรอคะ?”

ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่รู้จัก”

เธอพลันเกิดความรู้สึกจะกระอักเลือด ถ้าเป็นคนอื่นเธอต้องคิดแน่ว่าอีกฝ่ายกำลังแสร้งให้เธอตายใจ แต่เณรตรงหน้าดวงตาบริสุทธิ์มาก ไม่มีการโกหกเลย

เดิมทีฟางเจิ้งเข้าสู่ทางโลกไม่ลึก อีกอย่างเขาไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้จริงๆ แน่นอนว่าไร้กังวลใดๆ ประกอบกับหนึ่งระบบมองอยู่ตลอด เลยจีบสาวมาแต่งงานด้วยไม่ได้ สอง ฟางเจิ้งวางเป้าหมายการแต่งงานไว้บนเส้นทางธรรมดา ผู้หญิงตรงหน้าสวยเกินไป ทำให้เขารู้สึกราวกับกึ่งๆ ความจริงและมายา ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นของจริง และให้เป็นจริงไม่ได้ แน่นอนว่าย่อมไม่เกิดความคิดอื่นๆ ในใจคิดแบบนี้ แล้วแววตาจะไม่สะอาดบริสุทธิ์ได้ยังไง?

เธอสูดลมหายใจเข้าลึก มองเณรใสซื่อพลางอยากยิ้ม ในสังคมปัจจุบันยังมีคนใสซื่อแบบนี้อยู่ นี่ถือว่าเธอเก็บสมบัติได้รึเปล่า? เธอไม่สงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงหรือไม่ ในด้านการแสดง เธอไม่คิดว่าจะมีใครแสดงต่อหน้าเธอนานๆ แล้วจะไม่เผยพิรุธออกมาเลย มิหนำซ้ำการแสดงเป็นการเก็บอารมณ์ ไม่ใช่ทุกอย่างว่างเปล่าหรือใสซื่อแบบนี้

ดังนั้นเธอจึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ จะเย้าแหย่เณรนี่ดีไหม?

คิดได้ดังนั้น เธอจึงพยายามเค้นรอยยิ้มน้อยๆ “ขอเตือนท่านหน่อยนะ ฉันแซ่หลี่ พอรู้จักไหม?”

พูดจบเธอวางมาดยิ้มอย่างมีมาตรฐาน ทว่ารอยยิ้มกลับแข็งค้าง อีกฝ่ายยังคงเหม่อมองเธอนิ่งๆ

เธอจะรู้ได้ยังไงว่าแม้ฟางเจิ้งจะวางเป้าหมายหาคู่ไว้ที่คนธรรมดา แต่เขาก็ยังเป็นคนธรรมดา! มีผู้หญิงสวยแบบนี้เข้ามาใกล้ขนาดนี้ แถมยังยิ้มหยอกเย้าให้เขา เขามองจนเหม่อลอย ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายสวยมาก ถึงเธอจะสวยจริงๆ สวยจนหายใจติดขัด ยิ้มแล้วน่ามองกว่าเดิมก็ตาม

ทว่าสาเหตุที่ฟางเจิ้งเหม่อลอยคือกำลังขบคิดถึงปัญหา ดึกดื่นมีผู้หญิงมาที่วัด เข้ามาใกล้ขนาดนี้แถมยิ้มไม่หยุด ไม่ว่าจะคิดยังไงก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรกับปีศาจในเรื่องเล่าผีสางที่เคยได้ยินชาวบ้านเล่าตอนยังเด็ก? ควรจะตะโกนเสียงดังเหมือนกับซึงหงอคงดีไหมว่า ‘ปีศาจ ยังไม่เผยร่างจริงมาอีกรึ?’