มีอีกหนึ่งคนที่ล้มลงไป แม้จะเหมือนคนตะคริวกิน แต่ทว่าไร้ลมหายใจ กลายเป็นเพียงซากศพ

“อู่…” สวีเม่าซิวเอ่ย มองศพที่อยู่ตรงหน้าประตู

นักเลงกว่าสิบชีวิตที่เข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด กลับสิ้นลมไปแล้วถึงห้าคนในชั่วพริบตา ส่วนที่เหลืออีกหกเจ็ดคนนั้นก็หวาดกลัวจนล้มลงไปกับพื้น มองไปที่ชายร่างใหญ่สามคนตรงหน้า พวกเขาก็กุมหัวพลางโขกลงกับพื้นเพื่อร้องขอชีวิต

ท้ายที่สุดผู้คนบนท้องถนนก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ จนพากันส่งเสียงเซ็งแซ่

ฟ่านเจียงหลินและสวีปั้งฉุยยืนข้างกายสวีเม่าซิว

“ท่านพี่ ยังไม่สะใจเลย ข้าเพิ่งยิงไปนัดเดียวเอง” สวีปั้งฉุยเลียริมฝีปาก ดวงตาเป็นประกาย เล็งคันธนูในมือไปยังคนที่เหลือที่กำลังคำนับอยู่บนพื้น “เอาพวกมันทั้งหมดไป…”

“พอแล้ว” สวีเม่าซิวเอ่ย

ชีวิตของคนห้าคน ไม่ใช่คดีเล็กๆ แน่นอน เขาเงยหน้ามองถนน เห็นคนของทางการเจ็ดแปดคนกำลังมุ่งหน้าเข้ามา

เป็นดั่งที่น้องสาวพูดเอาไว้ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว

จู่ๆ คนบนถนนก็พากันวิ่ง บรรยากาศผิดแปลกไป

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ท่านชายโจวหกถาม พร้อมกับเพ่งมองไปข้างหน้า

ผู้คนที่กำลังแบกหาบ ควบรถม้าหรือแม้คนที่กระทั่งเดินเท้าอยู่ต่างก็วิ่งกรูไปในทิศทางเดียวกันโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง

“เจ้านี่ก็หาเรื่องจริงๆ เลย” ท่านชายฉินสิบสามนั่งที่อยู่ในรถเอ่ย ก่อนจะวางหนังสือในมือลง

“ข้าเลี้ยงข้าวเจ้า จะเป็นอะไรไป” ท่านชายโจวหกเอ่ย เพ่งมองไปข้างหน้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย

ทิศทางที่ฝูงชนวิ่งไปนั้น เหมือนว่าจะเป็น…

“เลี้ยงข้าวข้าหรือ เรือนไท่ผิงปิดร้าน จะมากินอะไรที่นี่” ท่านชายฉินสิบสามส่งเสียงเฮอะ

“ข้าไม่ได้พาเจ้าไปเลี้ยงที่เรือนไท่ผิงเสียหน่อย” ท่านชายโจวหกเอ่ย

ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม

“ที่เขาปิดร้านย่อมมีเหตุผล เจ้าน่ะคิดมาก” เขาเอ่ย

ท่านชายโจวหกหันไปมองเขา

ท่านชายฉินมองเขา

“นางเป็นน้องสาวข้า ข้าจะคิดมากก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” ท่านชายโจวหกเอ่ย “เจ้า… ปิดแค่วันเดียวเท่านั้น เหตุใดถึงรู้ว่าร้านปิดหรือไม่”

ท่านชายฉินหัวเราะ

“เพราะข้าก็อยากได้ไท่ผิงน่ะสิ” เขาเอ่ย

ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น รถม้าของพวกเขาก็ยังคงเคลื่อนต่อไป เดินหน้าไปได้ครู่หนึ่ง ความคึกคักด้านหน้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น คนที่ผ่านไปมาก็ยิ่งมากขึ้น พากันถามไถ่เรื่องราว

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ วิ่งกันทำไม”

“รีบไปดูเร็ว เรือนไท่ผิงมีคนฆ่ากัน!”

เรือนไท่ผิงหรือ มีคนฆ่ากัน!

ท่านชายโจวหกและท่านชายฉินสิบสามสบตากัน ทั้งสองเห็นความตื่นตระหนกในแววตาของอีกฝ่าย

หญิงผู้นั้น! เขาเคยบอกตั้งแต่แรกแล้ว! เอาแต่ก่อเรื่องอยู่ได้!

ท่านชายโจวหกสะบัดแขนเสื้อ ม้าร้องเสียงดังก่อนจะส่ายหน้าไป

ขณะเดียวกัน พระสงฆ์สองรูปจากวัดผู่ซิวก็เข้าไปในกุฏิเล็กของพระอาจารย์หมิงไห่

“คนของเรือนไท่ผิงว่าอย่างไร”

พระอาจารย์หมิงไห่วางพู่กันในมือลงก่อนจะถาม

“บอกว่ามีคนอยากได้สูตรลับเต้าหู้ไท่ผิง จึงเกิดการปะทะกัน” พระรูปหนึ่งเอ่ยอย่างนอบน้อม

พระอาจารย์หมิงไห่ยิ้มบางๆ

“เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว” เขาเอ่ยด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง

ภายในห้องเงียบไปชั่วขณะ

“ไปเถิด แม้ว่าเราคนนอกจะไม่ได้ใช้ขนบธรรมเนียมร่วมกัน แต่ก็ยากที่จะไม่เข้าไปพัวพันกับเรื่องทางโลก”

พระอาจารย์หมิงไห่เอ่ย

ถึงเวลาออกหน้าแล้ว พระสงฆ์สองรูปเข้าใจ ก่อนจะขอตัวออกไป

“เฉินหม่านถังเอ๋ยเฉินหม่านถัง เจ้าติดหนี้บุญคุณพระท่านอีกแล้วนะ ต้องชดใช้คืนนะรู้ไหม”

เสียงกระซิบกลั้วเสียงหัวเราะดังขึ้นในห้องก่อนจะเงียบลงอีกครั้ง

ขุนนางแห่งศาลาว่าการในเมืองหลวงส่วนใหญ่เป็นคนเก่าคนแก่ที่รับราชการมาสิบกว่าปี หากไม่รู้จักวางตัว ไม่มีความกล้าหาญ หรือไร้ไหวพริบ คงอยู่ในเมืองหลวงยาก

แต่เหตุการณ์ในวันนี้ยังคงทำให้ขุนนางเจ็ดแปดคนที่ชินชากับเรื่องราวมากมายยังต้องตกตะลึง

โดยรอบเต็มไปด้วยผู้คนที่มาฟังข่าว ศพทั้งห้าบนพื้นยังคงนอนอยู่ในสภาพเดิม สภาพศพแสนน่ากลัวของผู้ตายทำให้ผู้คนปั่นป่วนไม่น้อย

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” หัวหน้าขุนนางตะโกน

“ท่านขุนนาง เมื่อครู่พวกโจรเหล่านี้มาเรือนไท่ผิงหวังจะขโมย พวกข้าจึงต้องยิงพวกมันเพื่อป้องกันตัวเอง” สวีเม่าซิวก้าวไปข้างหน้าก่อนจะเอ่ยด้วยความเคารพ

โกหก โกหก

ขุนนางตะโกนในใจ มองชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าด้วยความสยดสยอง

“พวกเขาจะมาขโมยสิ่งใดในนี้” เขาโพล่งออกไปอย่างอดไม่ได้

ประโยคนั้นทำให้สวีเม่าซิวต้องหรี่ตาลง ขณะเดียวกันท่านชายฉินและท่านชายโจวหกที่อยู่นอกฝูงชนก็สบตากัน

พวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจ

หากไม่หาหลักฐานและสอบปากคำเพิ่มเติม แต่กลับถามไปตรงๆ เช่นนั้น แสดงว่ารู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว

เป็นดังที่น้องสาวพูด ในเมื่อพวกเขากล้ามาที่นี่ แน่นอนว่าต้องเตรียมการมาแล้ว ดูภายนอกเหมือนก่อเรื่อง จุดประสงค์หลักคือให้พวกเขาเข้าไปพัวพันกับทางการแล้วลากเข้าคุก

พอเข้าไปในนั้นแล้วก็…

ดูเหล่าขุนนางสิ มาได้ทันเวลาพอดิบพอดี คงต้องมีมือที่มองไม่เห็นมารอพวกเขาอยู่เป็นแน่

หากต้องการสร้างเรื่องให้ใหญ่โตแล้ว ขอเพียงแค่สามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ ต่อหน้าผู้คนได้ ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการที่ไม่สามารถบอกความจริงที่อยู่เบื้องหลังได้ต่างหาก

“ท่านขุนนาง ท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่ทำอะไร” สวีเม่าซิวถาม

“ที่นี่ก็คือร้านอาหารไม่ใช่หรือ” ขุนนางเอ่ยเสียงดัง น้ำเสียงดุดันราวกับผีร้าย

เดิมทีสิ่งที่พวกเขาควรจะจัดการเป็นเพียงคดีทะเลาะวิวาทเล็กๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นคดีฆาตกรรมไปเสียแล้ว เรื่องราวกลับตาลปัตรเสียจนพวกเขาสับสน ไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไร แต่อย่างน้อยจุดจบที่คุกก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี

ไม่ได้ถือว่าทำงานไม่สำเร็จทั้งที่รับเงินมาแล้ว

“ข้าเปิดร้านอาหารก็จริง แต่ในนี้ยังมีโรงงานเล็กๆ อยู่” สวีเม่าซิวเอ่ย “โรงงานเต้าหู้ไท่ผิง”

โรงงาน!

เมื่อเป็นโรงงานแล้ว ก็ล้วนแต่มีเคล็ดลับประจำตระกูลอยู่ทั้งนั้น การถูกสอดแนมโดยผู้อื่นจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

บางคราถึงขนาดไม่อนุญาตผู้อื่นเข้าออกโรงงานก็มี เช่นเดียวกับการเข้านอกออกในบ้านผู้อื่นยามวิกาล หากเจ้าเรือนฆ่าผู้นั้น ย่อมละเว้นความผิดให้

ขุนนางหน้าเปลี่ยนไปในทันควัน

“เต้าหู้ไท่ผิงของตระกูลข้า ทุกท่านนั้นรู้ดีว่ามีกรรมวิธีที่ไม่เหมือนใคร” สวีเม่าซิวพูดต่อ พร้อมกับแผดเสียงขึ้นต่อหน้าฝูงชนที่รายล้อม

“ใช่ ใช่ ข้ารู้ ข้ารู้ ไม่เหมือนที่อื่นจริงๆ”

ผู้คนที่ห้อมล้อมอยู่พูดขึ้นทันที

หลังจากพิธีชงชาฌาณในวันที่ยี่สิบมีนาคม แม้ว่าจะมีน้อยคนนักที่ได้เห็นการแกะสลักเต้าหู้กับตาตัวเองในวันนั้น

ทว่ายิ่งไม่เคยเห็น คนก็ยิ่งจดจำ กอปรกับงานเลี้ยงเต้าหู้อาหารเจในวัดผู่ซิว ทำให้เรื่องราวของเต้าหู้ไทผิงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การผลิตและการขายเต้าหู้จำนวนมากในเมืองหลวงและบริเวณใกล้เคียง เพียงแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร

ก็ไม่เหมือนเต้าหู้ไท่ผิง นอกจากจะไม่ได้แย่งยอดขายแล้ว ยังเพิ่มความนิยมให้กับเต้าหู้ไท่ผิงอีกด้วย

เมื่อได้ยินสวีเม่าซิวเอ่ยประโยคนั้น ฝูงชนที่ห้อมล้อมก็ต่างนึกขึ้นได้

สูตรชั้นเลิศเช่นนั้น ย่อมมีคนอยากรู้มากมายแน่นนอน

“น่าเกลียดเสียจริง กล้าเข้ามาขโมยกลางวันแสกๆ เช่นนี้ได้อย่างไร! คิดว่าบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปหรือ!”

มีคนตะโกนออกมาอย่างกล้าหาญเพื่อปกป้องความยุติธรรม

คำพูดนั้นพาให้ผู้คนคล้อยตามมากขึ้น

“นั่นน่ะสิ นั่นน่ะสิ น่าเกลียดเกินไปแล้ว!”

“ไม่กี่วันก่อนหน้านี้เจ้าอันธพาลพวกนี้ก็เคยมาแล้วครั้งหนึ่ง มีเจตนาแอบแฝงจริงๆ ด้วย!”

ยังไม่ทันไร ก็ตัดสินโทษได้ในสองสามประโยคแล้ว ขุนนางตระหนกก่อนจะตะโกนใส่ผู้คนรอบตัว คนมากมักวุ่นวาย มองไม่เห็นว่าผู้ใดเป็นคนพัดกระพือให้เรื่องลุกลามถึงเพียงนี้

ท่านชายโจวหกมองตาท่านฉินสิบสาม ท่านฉินสิบสามยิ้มพลางวางไม้เท้าแล้วกลับเข้าไปนั่งในรถ ก่อนจะยิ้มตาหยีให้เขา

“เจ้าพูดจาพล่อยๆ ใครที่ไหนจะมาขโมยของตอนกลางวันแสกๆ เช่นนี้” เขาเอ่ยพลางส่งสัญญาณให้ข้าหลวงของศาลให้ขับไล่ฝูงชนที่รายล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ นี้ออกไป รู้สึกคิดผิดที่ไม่ได้นำคนมามากกว่านี้

ใครจะไปคาดคิดเล่า เดิมทีเป็นแค่เรื่องเล็กๆ แท้ๆ กลับบานปลายใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไร!

คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าพวกชายโฉดพวกนี้จะกล้าฆ่าคน!

ฆ่าคนเชียวนะ! กล้าดีอย่างไรถึงได้ฆ่าคน!

สวีเม่าซิวยิ้มเยือกเย็น หันไปมองขุนนาง

“ท่านขุนนาง ข้าไม่กล้าพูดพล่อยๆ หรอก กลางวันแสกๆ เช่นนี้จะกล้าพลิกดำเป็นขาวได้อย่างไร เรื่องนี้ข้าถามมาเอง หัวหน้าโจรเป็นคนยอมรับเอง” เขาเอ่ยเสียงดังก้อง พลางชี้ไปทางอันธพาลที่เหลืออยู่ เหล่านักเลงนั่งคุกเข่าตัวสั่นไปทั้งร่าง “หากไม่เชื่อ ท่านก็ถามพวกเขาดู”

พูดถึงเพียงเท่านี้ สวีปั้งฉุยก็ยกเท้าขึ้นเตะหนึ่งในอันธพาลนั้น

“ถามเจ้าน่ะ!” เขาถลึงตาพลางตะโกน

อันธพาลผู้นั้นขวัญแขวนจนเสียสติ ยังจำได้ว่าชายแสนเหี้ยมโหดผู้นี้เคยเล็งธนูมาที่ตน ท่าทางอยากจะยิงเขาให้ตายให้รู้แล้วรู้รอด

เขาเงยหน้าขึ้นมองสวีปั้งฉุย ก่อนจะก้มกราบ

“บอกมา จูอู่สั่งให้พวกเจ้าทำใช่ไหม!” สวีเม่าซิวตะคอก

ยามเมื่อชื่อของจูอู่ถูกเอ่ยขึ้น สีหน้าของขุนนางพลันแปรเปลี่ยน

พอถามแล้วก็ได้คำตอบเช่นนั้นจริงๆ หรือ

เป็นไปได้อย่างไร!

“ตอนนั้นข้าถามหัวหน้าพวกเจ้า ว่าใครใช้ให้เขามาขโมยสูตรลับของข้า เขาพูดออกมาเองว่าเป็นจูอู่ พวกเจ้าได้ยินไหม” สวีเม่าซิวตะคอกถามอีกครั้ง

ในหัวของเหล่าอันธพาลเสียงดังอื้ออึงไปหมด

ได้ยินไหม ได้ยินหรือเปล่า

ตอนนั้นพรรคพวกทั้งสามที่เดินเข้าประตูไปก็ล้มตายอยู่ตรงหน้าแล้ว ต่อมาคนข้างกายหวังต้าก็ถูกยิง เพราะพูดเพียงคำเดียว จากนั้นชายโหดเหี้ยมทั้งสามก็เข้าใกล้พร้อมกับคันธนูและลูกศรทีละก้าว

“พูดมา คือผู้ใดกัน!”

“จูอู่!”

จากคำถามและคำตอบนี้ หวังต้าถูกยิงทะลุลำคอต่อหน้าพวกเขา นักเลงแห่งถนนตะวันตกที่กดขี่ข่มเหงผู้คนมานานหลายปีก็กลับสู่โลกหน้าโดยไม่ทันได้สั่งเสีย

สวีเม่าซิวเดินก้าวไปข้างหน้า เลิกคิ้วถลึงตามองทั้งห้าคน

“พูดมา ผู้ใดอยากได้สูตรลับของข้าแล้วสั่งให้พวกเจ้ามาขโมย” เขาตะคอก

“บอกมาว่าใคร!”

เหล่าอันธพาลพากันเงยหน้า

“ใช่ขอรับ!” พวกเขาตะโกนสุดเสียง “คือจูอู่! จูอู่!”

………………………………………….