ท่ามกลางเสียงโหยหวนของเหล่าอันธพาล ฝูงชนที่รายล้อมอยู่ก็พากันก่นด่า เหล่าขุนนางเองก็หวาดผวา หน้าดำคร่ำเครียด

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนกลางวันแสกๆ ภายใต้สายตาฟ้าดิน ไม่มีการบีบบังคับ ไม่มีการชักจูงและไม่มีการสมรู้ร่วมคิด

นี่คนที่หวังต้าพามาด้วยตนเอง ไม่ใช่การติดกับ การที่พวกเขาพูดออกมาเช่นนั้นก็แทบจะได้ตัดสินความจริงได้แล้ว

นี่มันอะไรกันแน่เ! ตกลงกันว่าจะพาเจ้าคนพวกนี้เข้าคุก เหตุใดคนพวกนี้ไม่เป็นอะไร แต่พวกของเขากลับตายไปครึ่งหนึ่งเสียเอง อีกทั้งยังทำความผิดที่สมควรตายอีก!

สวีเม่าซิวค่อยๆ คลายมือที่เหงื่อแตกพลั่กข้างหนึ่งออก

เอาล่ะ สำเร็จแล้ว!

ก็แค่อันธพาลไม่กี่คนจะไปมีค่าอะไร เช่นนั้นก็ตายไปเถิด

ภาพสีหน้าไร้อารมณ์และคำพูดของหญิงสาวปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

สวีเม่าซิวค่อยๆ ถอนหายใจ

นั่นน่ะสิ ก็แค่อันธพาลไม่กี่คนจะไปมีค่าอะไร ตายแล้วก็ตายไปสิ

“ท่านปู่ ท่านปู่”

โต้วชีคลานเข่าเข้าไป พร้อมกับหมอบลงตรงหน้าราชเลขานุการหลิว ก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนเสื้อเขา

“ท่านปู่ จะทำเช่นไรดี”

ใบหน้าของเขาซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำพลางตะโกนออกมา

ราชเลขานุการหลิวสะบัดเขาด้วยความรังเกียจ สีหน้าเคร่งครียด

“ทำเช่นไรหรือ ตัวเจ้าเองไม่รู้หรือไร” เขาเอ่ยเหน็บแนมแกมเหยียดหยาม “เจ้าเก่งนักไม่ใช่หรือ”

โต้วชีหมุดหน้าลงพื้นพลางสะอื้นไห้

“งามหน้านัก!” ราชเลขานุการหลิวเอ่ย พลางมองโต้วชี้ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า “จ้างอันธพาลให้ไปก่อเรื่องเป็นกับเขาแล้วหรือ เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังหาบเร่ขายของอยู่นอกเมืองหลวงหรือไร ขายหน้าบ้างไหม หากบอกว่านี่ร้านอาหารใหญ่แห่งเมืองหลวง คนคงได้หัวเราะกันจนฟันหลุด! เหลวไหลสิ้นดี! ในหัวของเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

เขายิ่งพูดก็ยิ่งโมโห น้ำเสียงเริ่มแผดแหลมขึ้น

“ท่านปู่ ท่านปู่ เรื่องนี้ข้ายอมไม่ได้ ยอมไม่ได้จริงๆ” โต้วชี้สะอื้นไห้พลางเอ่ย ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำหูน้ำตา “นั่นเป็นที่ของตระกูลข้า นั่นคือฮวงจุ้ยของข้า หลี่ต้าเสายังเป็นพ่อครัวของข้าอีก เขาอยู่ในตระกูลข้ามานานหลายปี เรียนรู้สูตรลับของตระกูลข้าไปไม่น้อย เพราะเรือนไท่ผิงเอาเปรียบ วันนี้ข้าถึงต้องทำเช่นนี้”

ราชเลขานุการหลิวถ่มน้ำลาย มองโต้วชีด้วยสายตาเดียดฉันท์

ตอนแรกที่เขารับเลี้ยงคนผู้นี้เป็นเพราะเห็นว่าฉลาดไม่น้อย ทั้งยังประจบสอพลอเขาเก่งนัก บวกกับกิจการร้านอาหารร้านนั้นก็ดี เป็นรายได้ก้อนโต แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้านี่จะฉลาดน้อยไปเสียแล้ว

“เจ้ามันโลภมาก! สิ่งเหล่านั้นจะเป็นของเจ้าได้อย่างไร” ราชเลขานุการหลิวด่า “ช่างโง่เขลานัก คนเขลาเบาปัญญาก็เอาแต่เป็นทุกข์เป็นร้อนเรื่องไร้สาระเช่นนี้แล!”

โต้วชีร้องไห้โฮ แป้งที่ทาบนหน้าไหลเป็นทาง มองดูแล้วน่าขันเหลือเกิน

“ท่านปู่ ข้าแค่ยอมไม่ได้จริงๆ” เขาพูดซ้ำ

“ยอมไม่ได้ก็ต้องยอม!” ราชเลขานุการหลิวตะโกนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้ามันเบาปัญญา ไม่คิดเสียบ้างว่าคนที่กล้าเปิดร้านอาหารในเมืองหลวง ทั้งยังเข้าตาพระอาจารย์หมิงไห่ จะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร! หากไม่มีคนหนุนหลัง จะหลุดรอดถึงมือเจ้าหรือ หากเป็นเช่นนั้นเจ้าพวกนักเลงหน้าเงินก็คงไปไถ่ค่าคุ้มครองจากเรือนไท่ผิงตั้งนานแล้ว! จะอยู่รอดมาจนลวงให้อันธพาลพวกนั้นติดกับได้อย่างไร”

โต้วชียกมือขึ้นเช็ดน้ำตา จิตใจที่รู้สึกว่างเปล่า บัดนี้ก็เหมือนได้สติขึ้นมา

“ตะ แต่ว่าข้าสืบมาแล้ว ทางการรายงานว่าเถ้าแก่ของเรือนไท่ผิงเป็นคนบ้านนอกสองสามคน…” เขาเอ่ย

ราชเลขานุการหลิวหัวเราะเยาะอีกครั้ง

“หมายความว่า หุ้นลมที่เจ้าให้ข้าแล้วแต่ไม่ได้รายงานทางการ ต่อไปเจ้าคิดจะเก็บไว้เองอย่างนั้นหรือ” เขาอมยิ้มถาม

โต้วชีรีบส่ายหัว พลางบอกว่าไม่กล้า

“เจ้าไม่กล้า แล้วพวกคนบ้านนอกนั้นจะกล้าหรือ” ราชเลขานุการหลิวก่นด่า “เจ้าโง่ สิ่งที่เขียนในรายงานมันจะไปสลักสำคัญอะไร สิ่งที่ไม่ได้เขียนต่างหากคือของจริง!”

โต้วชีก้มหัวไม่กล้าพูดอะไรต่อ อันที่จริงในใจเขาก็พอเดาได้ เพียงแต่อยากจะหยั่งเชิงดูสักหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะโหดร้ายได้ขนาดนี้ เขาแค่ลองแหย่มือออกไป ก็ถูกกัดจนแขนขาดเสียแล้ว ดูท่าคงอยากจะกลืนกินเขาลงไปด้วยซ้ำ

“ท่านปู่ ชะ… เช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไรดี” เขาก้มหน้าถามอย่างเศร้าใจ

ราชเลขานุการหลิวถลึงตามองเขาทีหนึ่ง

“เอาแต่หาเรื่องมาให้ข้า!” เขาเอ่ย “เป็นขุนนางในเมืองหลวงนั้นไม่ง่าย มีคนคอยจับตาดูอยู่ไม่รู้เท่าไหร่ ข้าอุตส่าห์รักษาเนื้อรักษาตัวมาจนถึงตอนนี้ แต่ก็ยังต้องสะสางปัญหาให้พวกเจ้าอีก! เรื่องของพวกเจ้า อย่ามาถามข้า!”

“ท่านปู่ หลานไม่มีที่พึ่งอื่นแล้ว” โต้วชีร้องไห้โฮ น้ำหูน้ำตานองหน้า

ดุด่าก็ดี การดุด่าว่ากล่าวถือเป็นการเอาใจใส่และดูแลอย่างหนึ่ง จะกลัวก็แต่ไม่มีแม้กระทั่งคำด่า ไม่สนใจใยดี

หลังจากราชเลขานุการหลิวพร่ำบ่นไปรอบหนึ่งแล้ว เขาก็เรียกคนเข้ามาถาม

“ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด” เขาถาม

“ถูกพาตัวไปที่ศาลาว่าการเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้แล้วขอรับ”ผู้ติดตามตอบ

“ศาลาว่าการ…” ราชเลขานุการหลิวคิดอะไรบางอย่าง “ในเมื่อเข้าไปแล้ว…”

“ใต้เท้า คนของวัดผู่ซิวไปที่ศาลาว่าการแล้วขอรับ” ผู้ติดตามกระซิบ

พระสงฆ์ที่ละทางโลกพวกนั้น แม้จะกินอาหารเจ ทว่าพฤติกรรมกลับไม่เหมือนคนกินอาหารเจเลย

วัดใหญ่ชื่อเสียงโด่งดัง ทว่าความสัมพันธ์นั้นช่างซับซ้อนนัก

ไม่อย่างนั้นคงไม่ฮุบที่ดินได้มากขึ้นทุกวันเช่นนี้ คงไม่รับเลี้ยงซ้อพระ เยอะขึ้นเรื่อยๆ ขนาดนี้…

ราชเลขานุการหลิวหน้าเคร่งเครียด ถลึงตามองโต้วชีอีกหน

“ได้ยินหรือยัง เจ้าโง่!” เขาตะคอก

โต้วชีก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไรต่อ

“ศาลาว่าการออกมาตอบแล้ว เรือนไท่ผิงบอกว่าหวังต้าเป็นคนสารภาพเองว่าจูอู่สั่งให้พวกเขามาขโมยสูตรลับของเต้าหู้ไท่ผิง ทั้งยังมีผู้ติดตามของหวังต้ามาเป็นพยานให้ด้วย” ผู้ติดตามเอ่ยต่อ

“หวังต้าจะสารภาพได้อย่างไร! อีกอย่าง จูอู่ไม่มีทางสั่งแบบนี้!” โต้วชีตะโกน

“สารภาพหรือไม่ ไม่สำคัญแล้ว!” ราชเลขานุการหลิวตะคอก “ตอนนี้หวังต้าตายไปแล้ว ไม่มีหลักฐานมาโต้แย้งได้ คนที่มีชีวิตอยู่ก็ดันมาพูดเช่นนี้ อีกอย่างจูอู่ก็ให้เงินก้อนใหญ่จริงๆ”

พูดถึงเพียงเท่านั้นก็พลันเกรี้ยวกราดขึ้นมาอีกครั้ง

หากเจ้าจะหาคน ก็หาผู้ที่เชื่อถือได้เสียหน่อย ไปหานักเลงหัวไม้ปลายแถว ประเดี๋ยวก็โดนเล่นงานจนหาทางกลับบ้านไม่ถูกแล้ว นอกจากหาเรื่องใส่ตัวแล้ว ก็ไม่เกิดประโยชน์อื่นใดเลย!

ราชเลขานุการหลิวยืนขึ้น เดินวนไปมาให้ห้องอยู่หลายรอบ

“ตอนนี้ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า” เขาหยุดเดินก่อนจะเอ่ยขึ้น

โต้วชีและผู้ติดตามต่างเงยหน้ามองเขา

“สั่งให้จูอู่ฆ่าตัวตายไปเถิด” ราชเลขานุการหลิวเอ่ย

โต้วชีหวาดหวั่น

“ทะ ท่านปู่ เช่นนั้น…” เขาไม่อยากจะเชื่อ

เป็นไปได้อย่างไร เขาอยากสั่งสอนคนของเรือนไท่ผิง ไฉนสุดท้ายถึงกลายมาเป็นชีวิตคนของพรรคพวกตนเองได้!

“ท่านปู่ ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ ตอนนี้เรื่องถึงทางการแล้ว พวกเราก็จัดการได้…” เขาคุกเข่าลงแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมา

“วิธีอื่นหรือ” ราชเลขนุการหลิวหันหน้ากลับมามองเขา สีหน้าเคร่งขรึม “เช่นนั้นเจ้าก็คิดสิ”

จะให้ราชเลขานุการหลิวอย่างเขาออกหน้า เพียงเพื่อเสี้ยนหนามเล็กๆ นี้ อีกทั้งยังอาจจะโดนคู่ต่อสู้ที่ไม่รู้ว่ามีเทือกเถาเหล่ากอมาจากไหนโจมตีได้อีก ล้อเล่นหรืออย่างไร!

“ขอแค่เขาปลิดชีวิตตัวเอง ข้าจะให้คนผลักความรับผิดชอบในทุกเรื่องให้เขา ข้าเองก็รับประกันได้ว่าทางการจะไม่ไล่หาความจริง” เขาเอ่ย

โต้วชีมองเหม่อ

“นับตั้งแต่ที่พวกเจ้าก่อเรื่อง จนถึงวันนี้ที่เขาตอบโต้ได้อย่างเด็ดขาดและเหี้ยมโหดนัก” ราชเลขานุการหลิวเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ยามนี้เรื่องก็เกิดมาสามชั่วยามแล้ว หากเจ้ายังลังเลอยู่ รอให้เขาไปจับจูอู่ได้ โต้วชี…”

เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

โต้วชีกลับคิดอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองราชเลขานุการหลิว

“เกรงว่าถึงตอนนั้นคนที่ลำบากจะไม่ใช่จูอู่ แต่เป็นเจ้าแล้วล่ะ” ราชเลขานุการหลิวเอ่ย

โต้วชีโค้งตัวก้มหน้า

“ขอรับ ขอบคุณท่านปู่ที่ชี้แนะอย่างรอบด้าน” เขาเอ่ย

เดิมทีอยากจะเหยียบเท้าเขาเพื่อให้สะใจเล่น คิดไม่ถึงว่าจะโดนตัดแขนขาด ครั้งนี้ขาดทุนยิ่งนัก โต้วชีก้มหน้ากัดฟันกรอด

เรือนไท่ผิง!

ยามค่ำคืน ท่านชายฉินนั่งอยู่ในห้องอย่างไม่เป็นสุขเท่าไรนัก สาวใช้ที่นั่งอยู่ด้านข้างรู้สึกแปลกใจ เพราะพวกนางไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้บ่อยนัก

“ท่านชาย พวกเรามาเล่นหมากรุกกันเถิดเจ้าค่ะ ช่วงนี้ฝีมือข้าก้าวหน้ามากขึ้นแล้วนะเจ้าคะ” สาวใช้คนหนึ่งพยายามชักชวนเขาด้วยรอยยิ้ม

ท่านชายฉินส่ายหน้าพลางยิ้ม

“ใจข้าไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย” เขาเอ่ย

“เช่นนั้นหัวใจของท่านชายฉินอยู่ที่ใด” สาวใช้สองคนเอ่ยยิ้ม “อยู่กับแม่นางคนใดหรือเปล่า”

ท่านชายฉินหัวเราะ พลางพยักหน้า

“ถูกต้อง อยู่กับแม่นางคนหนึ่ง” เขายิ้มเอ่ย

สาวใช้ทั้งสองสบตากันอย่างอดไม่ได้ จริงหรือนี่

เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากนอกห้อง ท่านชายฉินกุลีกุจอคว้าไม้เท้าเดินไปต้อนรับ

ท่านชายโจวหกดึงงอบออกพลางเดินเข้ามา

สาวใช้รีบเข้าไปรับงอบ ก่อนจะคำนับแล้วออกจากห้องไป

“เป็นอย่างไรบ้าง” ท่านชายฉินถาม สายตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น

ท่านชายโจวหกจัดเสื้อผ้าพลางนั่งลง ก่อนจะยกแก้วชาขึ้นมาจิบ

“หนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ ร่างห่อฟางของจูอู่ถูกหามออกมาจากบ้านอนุภรรยาเขาในตรอกสือโถวทางตอนใต้ของเมืองแล้ว” เขาเอ่ย

ท่านชายฉินหัวเราะอย่างมีความนัยแฝง

“ดี” เขาเอ่ย “ดี”

“ชายหนุ่มพวกนี้ก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน ลงมือเหี้ยมโหดนัก ความกล้าหาญก็มีไม่น้อยเลย” ท่านชายโจวหกเอ่ย

ท่านชายฉินมองเขาแล้วยิ้มบาง

“ชายหนุ่มพวกนี้…” เขาเอ่ยซ้ำด้วยน้ำเสียงยืดยาว

ท่านชายโจวหกเบิกตาโพลงทันใด

“เจ้าทำท่าพิลึกเช่นนี้ทำไม” เขาตะโกน

ท่านชายฉินหัวเราะ

“เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ยังจะมาถามข้าอีก” เขายิ้มเอ่ย

ท่านชายโจวหกถ่มน้ำลาย ยกซดชาจนหมดแก้ว

“แต่ว่าชายหนุ่มพวกนั้นพึ่งพาได้จริงๆ ลำพังบอกให้ทำแบบนี้ก็ทำ ใช้ได้” ท่านชายฉินพยักหน้าพลางเอ่ยชม

นั่นคือการฆ่าคน ฆ่าคนกลางวันแสกๆ ต่อหน้าฝูงชน แม้งานของพวกเขาจะได้รับประกันแล้ว ทว่าบนโลกนี้ล้วนมีสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญอยู่

บังเอิญว่าผู้ติดตามเหล่านั้นไม่ได้ถูกขู่ให้มาเป็นพยาน บังเอิญว่าคนของวัดผู่ซิวไม่ออกมาปกป้อง บังเอิญว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของอันธพาลพวกนั้นจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

ไม่ว่าความบังเอิญไหนจะกลายเป็นเรื่องจริง ต่อให้จะช่วยอย่างไร พวกเขาที่เป็นคนลงมือต่างต้องได้รับโทษสักอย่างยากที่จะหลบหนี

ไว้ใจกันถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ถึงกล้าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนี้ ขอแค่นางเอื้อนเอ่ย พวกเขาก็พร้อมจะทำ

ภายในห้องเงียบไปชั่วขณะ

ท่านชายฉินคิดอะไรบางอย่างออก เขามองท่านชายโจวหก ก่อนจะเอ่ยปากทำลายความเงียบ

“ชายหก เจ้าสงสัยมาตลอดไม่ใช่หรือว่า อะไรคือความจริงใจ นี่แหละคือความจริงใจ” เขารีบพูด

ท่านชายโจวหกหน้าตึงก่อนจะถ่มน้ำลายและลุกพรวด

“ความจริงใจอะไรเล่า! เจ้าพูดอะไรพิลึกพิลั่น! ข้าไปแล้ว!” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ สะบัดแขนเสื้อเปิดประตูก้าวฉับๆ ออกไป

ท่านชายฉินยิ้ม ใช้สายตาส่งเขาเดินจากไป ก่อนจะถอนหายใจยาว เขาหยิบพู่กันขึ้นมาจากบนโต๊ะ แตะหมึกดำเล็กน้อย แล้ววาดวงกลมสองวงบนฉากกั้น

“อีกแล้ว…” เขาเอ่ยอย่างเชื่องช้า กำพู่กันมองฉากกั้น

ในมุมหนึ่งของฉากกั้นลวดลายนก ต้นไม้ และโขดหิน มีวงกลมสีดำวาดเป็นแนวตั้งสามแถว แถวแรกสองวง แถวที่สองห้าวง แถวที่สามที่เพิ่มเข้ามาใหม่มีรอยหมึกเข้มชัดเจน แสงยามค่ำคืนสาดส่องลงมาเผยให้เห็นความสวยงามอันแปลกตา

……………………………………………………….