ยามฟ้าสว่าง สาวใช้เดินวนอยู่ในเรือนไปแล้วหลายรอบ

“พี่ปั้นฉิน ท่านรอออะไรอยู่” จินเกอร์ถาม

“เหตุใดปั้นฉินถึงยังไม่กลับมา” สาวใช้ถามเช่นกัน

สองคำถาม แต่ชื่อเดียวกัน ทว่าจินเกอร์ไม่งุนงงแล้ว

“พี่ปั้นฉินเพิ่งออกไป อีกครึ่งชั่วยามถึงจะกลับมา” เขาตอบทันใด

สาวใช้กุมมือพลางเดินวนไปมา

“เหตุใดไม่รีบไปให้เร็วกว่านี้หน่อย” นางพึมพำ

“พี่ปั้นฉินก็ไปเวลานี้มาตลอด” จินเกอร์กัดขนมงาชิ้นหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่จริงจัง “เหตุใดต้องไปเร็วกว่านี้”

“ก็ตอนนี้…” สาวใช้เงยหน้าเอ่ย พูดไม่ทันจบก็หยุดลงเสียก่อน

นั่นน่ะสิ ตอนนี้มีเรื่องกันอยู่ไม่ใช่หรือ เข้าไปขัดจังหวะก่อนได้อย่างไร

หลังจากที่เหล่าท่านชายแอบมาตอนกลางคืนในวันนั้น ก็ไม่ได้มาอีกเลย แล้วก็ไม่ได้ให้คนมาสั่งอะไรไว้ด้วย นายหญิงก็ไม่ได้ให้จินเกอร์ไปแอบดู ปั้นฉินยังคงออกไปจ่ายตลาดดังเดิม

คนในบ้านต่างปกติสุข ตนจะมาพะวงอะไร

ฝีมือปลายจวักของปั้นฉินผู้นั้นพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ปั้นฉินคนนี้เดินบนท้องถนนเพื่อฟังเสียงซุบซิบนินทา แล้วปั้นฉินอย่างข้าจะถอยได้อย่างไร

อย่างน้อยในตอนนั้นก็เคยถูกแวดล้อมไปด้วยฝูงหมาป่าพร้อมกับนายหญิง ไฉนเรื่องเล็กแค่นี้ถึงลนลานไปได้

หรือจะพูดได้ว่า คนน่ากลัวกว่าหมาป่า

“พี่ปั้นฉิน เป็นอะไรไปหรือ” จินเกอร์ถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ เห็นนางพูดเพียงครึ่งเดียวแล้วก็หยุดไปเสียก่อน

สาวใช้ยิ้มให้เขา

“ตอนนี้ถึงเวลาที่นายหญิงต้องฝึกธนูแล้ว เจ้าอยากไปเล่นด้วยไหม” นางเอ่ย

เนื่องจากเห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงชอบยิงธนู สวีเม่าซิวจึงทำเป้าธนูไว้ที่บ้าน ช่วงสายของทุกวันหลังจากเฉิงเจียวเหนียงเขียนหนังสือเสร็จ ก็จะใช้คันธนูเล็กที่สวีเม่าซิวทำให้นาง ยิงเล่นเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม

สำหรับชายหนุ่มแล้ว ดาบ ธนูและอาวุธเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดมาโดยตลอด จินเกอร์ก็ทำธนูง่ายๆ ของตนเองเอาไว้ไปเล่นด้วยเช่นกัน

“หากท่านชายว่าง ก็จะทำให้ข้าคันหนึ่ง” เขาเอ่ย อิจฉาเฉิงเจียวเหนียงอยู่ไม่น้อย

ท่านชายโจวหกยังไม่ได้นอนทั้งคืน หลังจากลงมาจากลานฝึกก็ยืนเปลือยกายอยู่ข้างถังน้ำนานพอสมควร จนกระทั่งสาวใช้อดกลั้นไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยเตือนถึงได้สติ

หลังจากปล่อยให้สาวใช้เช็ดตัวและสวมเสื้อผ้าสะอาดให้แล้ว ท่านชายโจวหกก็เดินไปรอบๆ ห้องครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังคงเดินออกไปข้างนอกอยู่ดี

ถนนเต็มไปด้วยผู้คน เสียงเร่ขายของและเสียงหัวเราะท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีและพวงดอกไม้สีสันสวยงาม

อันที่จริง มีเพียงอันธพาลไม่กี่คนเท่านั้นที่ตายไป ทั้งยังเป็นอันธพาลปลายแถวอีกด้วย แม้พวกเขาดูเหมือนจะใช้ชีวิตอิสระมากกว่าชาวบ้านทั่วไป แต่การตายของพวกเขาไม่ต่างอะไรกับขอทานที่แข็งตายอยู่ข้างถนนเลย

คิดว่าคนทั้งเมืองจะหวาดหวั่นหรือ

ท่านชายโจวหกเผลอยิ้มอยู่ข้างถนน ตะวันคล้อยอยู่ตรงหน้า เด็กสาวคนคุ้นเคยกำลังถือตะกร้าเดินไปทางประตูบ้าน

“พี่ปั้นฉิน กลับมาแล้ว”

จินเกอร์เปิดประตู ในมือยังถือธนูคันเล็กของตน มองปั้นฉินที่ยังไม่ทันได้ยกยิ้ม ก็มีมือข้างหนึ่งข้างกายปั้นฉินพุ่งเข้ามาดันประตูให้เปิดออก

จินเกอร์และปั้นฉินร้องตกใจ ท่านชายโจวหกเบียดพวกเขาเข้ามา

ภายในห้องเล็กๆ ตกแต่งอย่างปราณีตงดงาม มีทั้งต้นไผ่เขียวขจี ดอกไม้สวยสด บวกกับเสียงน้ำไหลริน

ด้านข้างภูเขาหิน หญิงสาวคนหนึ่งหันหน้ากลับมา

เสื้อผ้าเรียบง่ายพับแขนเสื้อขึ้น ดวงตาสุกใส ฟันเรียงขาว คันธนูในมือเล็งไปที่ท่านชายโจวหก

ท่านชายโจวหกชะงักฝีเท้า มองนาง

นี่คือธนูไม้แสนเรียบง่าย เส้นไหมและป่านพันวนคันธนู ลูกศรที่ผ่านการขัดเงา ส่องประกายแวววาวภายใต้แสงแดด

ท่าทางเหมือนจะออกจากคันธนูได้ทุกเมื่อ

ต่อให้เป็นคันธนูอย่างง่ายกว่านี้อีกเท่าไร ก็สามารถปลิดชีวิตคนได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เหล่าอันธพาลพวกนั้น

สาวใช้และจินเกอร์ต่างหยุดยั้งลมหายใจ ก่อนจะมองชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนคุมเชิงกันอยู่ด้วยสายตาเหม่อลอย

คงไม่ได้ยิงจริงๆ หรอกกระมัง…

เฉิงเจียวเหนียงละสายตา หันกลับมาก่อนจะปล่อยลูกธนู เสียงอื้ออึงดังขึ้น ธนูไม้ไผ่หลุดลอยออกคันธนูปักเข้ากับใจกลางเป้าฟางที่ห่างออกไปไกล

เสียงปรบมือดังขึ้นในเรือน

“นายหญิงเก่งเหลือเกิน” สาวใช้ยิ้มพลางโห่ร้องดีใจ

เฉิงเจียวเหนียงเก็บมือ ก่อนจะก้าวออกไปสองสามก้าว

“จินเกอร์ ถึงตาเจ้าแล้ว” สาวใช้ยิ้มพลางเรียก

จินเกอร์ที่ยังคงเหม่อลอยอยู่ด้านข้างประตู ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขานรับแล้ววิ่งเข้ามาอย่างดีใจ

ภายในเรือนมีเสียงหัวเราะดังขึ้นของเด็กซนและสาวใช้ ปั้นฉินมองท่านชายโจวหกและเฉิงเจียวเหนียงที่ยืนอยู่คนละฟาก ก่อนจะก้มศีรษะลงแล้วถือตะกร้าผักไปที่ห้องครัว

คันธนูของจินเกอร์ยิงไม่โดนซ้ำไปซ้ำมา สาวใช้ขำจนแทบหงายหลัง

“เจ้าออกไปก่อน ดูนายหญิงเป็นตัวอย่าง” นางยิ้มพลางเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงจึงยกคันธนูขึ้นอีกครั้ง

ท่าทางของนางมั่นคง แขนที่เผยออกมาจากแขนเสื้อที่พับขึ้น แม้จะผอมบาง ทว่าไม่อ่อนแอ ท่านชายโจวหกที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งเห็นด้านข้างของนาง ภายใต้แสงแดดจ้า มีเม็ดเหงื่อราวไข่มุกสว่างสดใสบนจมูกโด่งของหญิงสาว

ลูกธนูยาวหลุดลอยออกจากคันธนูจนเกิดเสียง

“แม่นางยิงโดนอีกแล้ว”

เสียงโห่ร้องดีใจของสาวใช้ดังขึ้น

“จินเกอร์ เจินเกอร์  เจ้ามาลองอีกทีสิ”

ท่านชายโจวหกหันตัวเดินออกไป ตั้งแต่เข้ามาจนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้พูดสักคำ แล้วก็ไม่มีใครพูดกับเขาด้วย ราวกับตัวเขาไม่ได้เดินเข้ามาในบ้านมิปาน

“นายหญิง เขาเป็นอะไรไปอีก” สาวใช้กระซิบถาม พร้อมกับใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้เฉิงเจียวเหนียง

เฉิงเจียวเหนียงมองไปยังทิศที่ท่านชายโจวหกเดินออกไป ประตูบานใหญ่บดบังวิสัยทัศน์ จากนั้นจินเกอร์จึงเดินไปปิดอย่างสุขใจ

“ข้าไม่ใช่เขาเสียหน่อย จะรู้ได้อย่างไร” นางเอ่ย ส่งคันธนูในมือให้สาวใช้ ยื่นมือไปกระตุกแขนเสื้อให้ร่วงลงมา ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง “ปั้นฉิน เล่าเรื่องใหม่ที่ได้ยินมาจากตลาดที”

สาวใช้ดันถ้วยใส่น้ำและจานขนมข้าวเหนียวเนื้อละเอียดให้อย่างเบามือ

เฉิงเจียวเหนียงที่อาบน้ำเสร็จและเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแล้วยื่นมือไปหยิบขนมเข้าปาก

“คนบนบนท้องถนนพูดกันว่าที่ถนนทิศใต้มีอันธพาลกลุ่มหนึ่งก่อเรื่อง คล้ายว่าจะไปขโมยสูตรลับคนอื่น สุดท้ายถูกตีตาย ทางการกำลังตามหาคนที่อยู่พวกเดียวกันอยู่…”

ปั้นฉินคุกเข่านั่งลงอยู่ในห้อง ดวงตาเป็นประกาย

“วันนี้เฝ้าระวังที่ประตูเมืองอย่างเข้มงวด คนที่จะเข้าออกแน่นขนัด พากันบ่นไม่หยุด บอกว่าทางการนั้นไร้ประโยชน์”

สีหน้าเฉิงเจียวเหนียงไร้อารมณ์ ทว่าสาวใช้ข้างกายกลับตื่นตระหนกอย่างปิดไม่อยู่

จริงหรือ ฆ่าแล้วหรือ

เช่นนั้น เรือนไท่ผิง…

“วันนี้มีปลาสดๆ ที่ตลาด แต่น่าเสียดายที่ข้าไปสายเลยซื้อไม่ทัน” ปั้นฉินเอ่ยอย่างเสียใจ “เรือนไท่ผิงที่นอกเมืองซื้อไปหมดแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดอีกครั้ง เพราะคิดอะไรบางอย่างได้

“จริงด้วย แล้วก็วันนี้วัดผู่ซิวขนเต้าหู้ไท่ผิงมาจากนอกเมืองด้วยรถคันใหญ่ อาหารเจวันนี้จะต้องมีหลายคนที่ได้กินเต้าหู้ทรงเครื่องแน่นอน”

สาวใช้กลับไปนั่ง สีหน้าเลื่อนลอยโดยพลัน

“อ๋อ นายหญิงเจ้าคะ” นางกระซิบ “ที่แท้นี่ก็คือความจริงใจที่ท่านอยากให้พระเห็นหรอกหรือ”

การถวายอาหารเจ แรกเริ่มนางคิดถึงชื่อเสียง แต่ไม่ได้คิดว่าจะความร่ำรวยด้วย พอรู้ว่าร่ำรวยแล้วแต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีอำนาจ แล้วต่อไปจะมีสิ่งใดอีก

อันธพาลเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ต้องถึงมือนายใหญ่หรอก

นั่นสินะ ก็แค่อันธพาลไม่กี่คนเอง พอติดกับดักแล้ว เดิมทีที่คิดว่าเข้ามาหาเรื่องอย่างเกรี้ยวกราด กลายเป็นเพียงรนหาที่ตายเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงและคิดมากกับมัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเมืองหลวงผ่านมาแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน  ผู้คนที่รู้เรื่องนี้ไม่มากนัก และพอพวกเขารู้ก็เป็นเวลาเจ็ดแปดวันให้หลังแล้ว และความจริงของเรื่องก็คือพ่อค้าคนกลางจากถนนทางใต้อย่างจูอู่อยากรู้สูตรลับของเต้าหู้ไท่ผิง และจ้างให้พวกอันธพาลมาปล้น ผลก็คือถูกคนอื่นตีจนตาย

นี่เป็นความจริงเพียงอย่างเดียวที่แพร่กระจายโดยไม่มีข้อผิดพลาด

“ช่างเถอะ นับวันยิ่งไม่อร่อย มีรายการอาหารแค่ไม่กี่อย่าง ไม่น่าสนใจ ไปดีกว่า…”

แขกสองสามคนที่นั่งกระจัดกระจายอยู่ในร้านเอ่ยขึ้น เมื่อมองนางฟ้าผ่านทางที่วางตรงหน้า ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว ไม่รู้สึกถึงบรรยากาศเทพเซียนในฤดูหนาวอีกต่อไป ตรงกันข้ามกลับรู้สึกถึงแต่ความร้อนระอุ

“ร้อนจะตายอยู่แล้ว” คนหนึ่งเอ่ย พลางโบกมือ “เราไปเรือนไท่ผิงกันดีกว่า ได้ยินว่าขนมและน้ำชาที่นั่นอร่อยมาก”

“เรือนไท่ผิงหรือ เรือนไท่ผิงที่ฆ่าคนไปก่อนหน้านี้น่ะหรือ” อีกสามสี่คนพูดขึ้นทันที สีหน้าลังเล

ถึงอย่างไรการกินข้าวในสถานที่ที่มีคนถูกฆ่า ก็เป็นเรื่องที่น่าอึดอัด

“ฆ่าคนแล้วอย่างไร กล้ามาก่อเรื่องที่เรือนไท่ผิง ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรือ นั่นเป็นถึงสถานที่ที่พระคุ้มครองเชียวนะ”

“นั่นน่ะสิ ตอนนั้นมีตั้งหลายคนที่เห็น อันธพาลคนนั้นถูกยิงตายด้วยลูกศรส่องแสงธรรมเลยนะ…”

“จริงหรือ เช่นนั้นก็ไปเถิด ไปดูกัน…”

โต้วชีมองไปที่โต๊ะของแขกที่กำลังจ่ายเงินแล้วเหลียวมองมองร้านที่ไร้ผู้คน โต้วชียืนหน้าเขียวอยู่หลังม่านประตู มือที่จับพัดอยู่สั่นเทา

จูอู่ตายแล้ว

เพื่อไม่ให้ผู้ติดตามเขารู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว และยังสามารถเรียกใช้ลูกน้องได้ต่อในอนาคต เขาจึงต้องพยายามโศกเศร้าอย่างเต็มที่ และใช้เงินก้อนโตเพื่อให้ชีวิตพ่อแม่และภรรยาของจูอู่มีชีวิตสุขสบายหลังจากนี้ตามคำสัญญา

ปิดคดีไปแล้ว

เพื่อปิดคดีนี้ เขายังต้องแอบยัดเงินมหาศาลอีกก้อน

ทั้งๆ ที่ตอนแรกนั้นทำเพื่อให้ก่อคดี สุดท้ายแล้วตัวเองกลับจำต้องทำให้คดีนี้ปิดตัวลงอย่างรีบร้อน

คิดไปคิดมา เขาจ่ายเงินไปกว่าหมื่นก้วนภายในไม่กี่วัน กระทั่งไม่มีเงินสดมาหมุนเวียนในร้านแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าขายบ้านหรือที่ดิน เพราะกลัวคนจะจับผิดได้ เขาจำต้องใช้เส้นสายของราชเลขานุการหลิวยืมเงินดอกราคาแพง นี่ก็เป็นเงินที่เข้าเนื้อตัวเองอีกก้อน

เงินหมด สมบัติของตระกูลหายไปครึ่งหนึ่ง เป็นเพราะผู้ใดกัน

เรือนไท่ผิง!

จิตใจไม่สงบ ไม่สบายใจทั้งวันทั้งคืน กิจการของร้านอาหารแย่ลงไปทุกวัน เป็นเพราะผู้ใดกัน

เรือนไท่ผิง!

ตนต้องกระอักเลือดและเสียเงิน แต่แลกกับชื่อเสียงที่มีพระคุ้มครองของเรือนไท่ผิง!

เรือนไท่ผิง!

โต้วชีหุบพัดลงก่อนจะขว้างใส่ผนังอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาแดงก่ำ

จะไม่ยอมเลิกรา หากแค้นนี้ยังไม่ได้ชำระ

………………………………………………………