“พี่เฉิง!”
เฉินตันเหนียงในชุดกระโปรงยาวลายดอกไม้วิ่งลงบันไดมา
“แม่นางสิบเก้า อย่าวิ่งเร็วนักเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่หัวเราะพลางยื่นมือออกไปประคอง
เฉินตันเหนียงคว้ามือของเฉิงเจียวเหนียงไว้เป็นที่เรียบร้อย
“พี่เฉิง ท่านจะเลี้ยงข้าวพวกเราจริงหรือ” เฉินตันเหนียงเงยหน้าถามอย่างรีบร้อน
“ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นท่านปู่ต่างหาก” แม่นางเฉินสิบแปดรีบเดินตามมา พลางเข้าไปพยุงแขนเฉิงเจียวตามเคย ราวกับนางเห็นอะไรเข้าสักอย่าง จึงมองเฉิงเจียวเหนียงหัวจรดเท้า “เอ๊ะ ข้าเหมือนจำได้ว่าข้าสูงกว่าท่าน เหตุใดผ่านไปไม่กี่วัน ดูเหมือนท่านจะสูงกว่าข้าเสียแล้ว”
“พี่เฉิงสูงกว่าท่านพี่” เฉินตันเหนียงเอ่ย
ใบไม้ร่วงหล่นเต็มพื้นลานบ้านของนายใหญ่เฉิน ร่มเงาของแสงแดดยามฤดูร้อนปกคลุมร่างของหญิงสาวและเด็กน้อย รวมถึงรอยยิ้มสดใสและดวงตาเป็นประกายนั้น
นายใหญ่เฉินมองภาพที่งดงามดั่งภาพวาดเบื้องหน้า
สาวหญิงสามคนในชุดกระโปรงสีขาวถอดเกี๊ยะไม้แล้วเดินเข้ามาในห้องโถง นายใหญ่เฉินรับไหว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ตั้งแต่ข้าหายป่วย จะเชิญแม่นางเฉิงมาที่เรือนสักครั้งนั้นไม่ง่ายเลย” เขาเอ่ยพลางยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงเองก็เผยยิ้มบาง
“แม้จะมีคนไม่ให้มา แต่ข้าก็ยังอยากมา” นางเอ่ย
นายใหญ่เฉินพยักหน้า มองหญิงสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลานสาวของตนเบื้องหน้า สีหน้าของเขายากจะอธิบาย
นางทำการใดล้วนแต่มีเหตุมีผล ท่าทางไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องใด ไม่ว่านั่งอยู่ในที่ที่ครึกครื้นแค่ไหน นางก็เหมือนดั่งอยู่เดียวดายเสมอ
เป็นเพราะเคยไร้ที่พึ่งพิง บัดนี้จึงไม่คิดพึ่งพาผู้ใดอย่างนั้นสินะ
“ที่ข้ามาวันนี้ ตั้งใจมาเพื่อขอบคุณ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ก่อนจะก้มหัวคำนับอีกครั้ง
แม่นางเฉินสิบแปดและเฉินตังเหนียงมองนางอย่างงุนงง
“เพราะท่านแม่ข้าส่งเสื้อผ้าให้ท่านหรือ” เฉินตันเหนียงถาม
แม่นางเฉินสิบแปดถลึงตาใส่ตันเหนียง หากเป็นเช่นนั้นจะมาขอบคุณท่านปู่ทำไมเล่า
เพราะเหตุใดกัน
นางไม่เข้าใจ แต่บนโลกนี้มีเรื่องน่าสงสัยมากมายเหลือเกิน ใช่ว่าจะต้องถามออกไปเสียทุกเรื่อง มีแต่คนที่ไม่เคยผ่านโลกเช่นเด็กน้อยเท่านั้น ที่จะซักไซ้ไล่เรียงหาคำตอบให้ได้ทุกอย่าง
นางหันไปมองท่านปู่อีกครั้ง
นายใหญ่เฉินสีหน้าเรียบเฉยทว่าแฝงไปด้วยรอยยิ้มบาง เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าแม่นางผู้นี้พูดถึงสิ่งใด
ขอบคุณอย่างนั้นรึ
ผู้ให้และผู้รับต่างรู้ดี มีเพียงผู้ที่มองดูจากภายนอกเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ
ช่วงนี้แม่นางเฉิงและท่านปู่จะได้พบกันยามมาตรวจรักษาโรคเท่านั้น นางอาจจะร้องขออะไรสักอย่างจากท่านปู่ในตอนนั้น แต่ว่าช่วงนี้ก็ไม่ได้เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับเฉิงเจียวเหนียงเกิดขึ้นเลยนี่ คงจะเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้สะสางกระมัง ไม่เช่นนั้นคงไม่มาขอบคุณถึงที่นี่
“แม่นางเฉิงพูดจาห่างเหินเหลือเกิน เจ้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้านะ” นายใหญ่เฉินเอ่ยพลางยิ้ม
“ข้ามิใช่ผู้มีพระคุณหรอก เป็นเพียงแค่หมอเท่านั้น นายใหญ่เองก็จ่ายค่ารักษาแล้ว มิได้มีอะไรติดค้างกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“เช่นนั้นแล้ว คราวนี้ข้ามิได้ช่วยเหลืออะไรเจ้า เจ้าช่วยเหลือตัวเองทั้งนั้น” นายใหญ่เฉินเอ่ยพลางหัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วเผยยิ้มออกมา
“โลกนี้ช่างซับซ้อนนัก” นายเอ่ย “บางคนไม่จำเป็นต้องพูดหรือทำการใด เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็สามารถเป็นแรงช่วยเหลือได้แล้ว”
นายใหญ่เฉินส่งเสียงหัวเราะ รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความประหลาดใจ
อันที่จริงเขาก็ไม่คิดว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โตถึงเพียงนั้น เดิมทีคิดว่าคงแค่เขียนเสือให้วัวกลัว ใครจะไปรู้เล่าว่าพริบตาเดียวเรือนไท่ผิงก็ฆ่าคนเสียแล้ว
เรื่องนี้พระผู้อาวุโสจากวัดผู่ซิวที่ได้ยินข่าวมาเป็นคนบอกเขาเอง ก่อนเขาจะขอชาชั้นเลิศติดตัวกลับมา เหตุการณ์นั้นได้ผ่านพ้นมากว่าห้าวันแล้ว ตอนที่รู้ข่าวเขาตกใจจนเหงื่อเย็นซึมไปทั่วร่าง ในใจก็โห่ร้องด้วยความโล่งอก
โล่งอกที่ตนบอกกับพระอาจารย์ต่อหน้าตั้งแต่งานพิธีชงชาฌาน ไม่เช่นนั้นหากไปพบหลังเกิดเรื่อง นับเวลาไปกลับคงไม่ทันการณ์เอา
คนที่ลงมือฆ่าคือคนที่ดูแลร้าน แต่นางต่างหากที่คือเจ้าของร้านที่แท้จริง
นั่นฆ่าคนเชียวนะ มีคนตายแล้วจริงๆ ท่าทางนางก็คงตกใจไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
เขามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า สีหน้าของนางนั้นเรียบเฉย มองไม่เห็นความหวาดผวาเลยแม้แต่น้อย
หรือว่านางจะรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าจะต้องมีคนตาย หรือแท้จริงแล้วนางอาจจะเป็นคนสั่งฆ่าก็ได้ ลงมือได้อย่างเฉียบขาดทั้งยังพาให้คนหวาดผวา
นั่นมันฆ่าคนเชียวนะ!
นายใหญ่เฉินคิ้วกระตุก
เฉินตันเหนียงที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเฉิงเจียวเหนียงดี จึงเอนกายพิงแขนของเฉินเจียวเหนียงก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา เฉิงเจียวเหนียงเองก็เผยยิ้มบาง ก่อนจะหันไปฟังแม่นางเฉินสิบแปดที่เอ่ยกระซิบ
เมื่อปีใหม่ผ่านพ้นไป สาวน้อยผู้นี้ก็ดูสดใสขึ้นไม่น้อย แม้ร่างกายจะยังซูบผอมดังเดิม แต่ใบหน้าขาวราวกับหยกนั้นก็เริ่มมีสีสันขึ้นมาบ้าง รอยยิ้มบางนั้นช่างเปล่งประกาย แววตาก็เริ่มมีความสุกใสที่เหล่าหญิงสาวควรจะมี
นายใหญ่เฉินส่ายหน้า นางเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น เด็กที่ต้องจากบ้านมาอย่างไร้ที่พึ่ง
“พี่สาว ท่านจะเลี้ยงข้าวเราที่ร้านใด” เฉินตันเหนียงถาม แต่กลับตอบเองโดยไม่รอคำตอบ
“ข้าอยากกินเต้าหู้ไท่ผิง”
“บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าไม่ได้เลี้ยงเจ้า” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยพลางหัวเราะ
“นายใหญ่ต้องรักษาตัว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยก่อนจะเผยยิ้มบาง นางค่อยๆ เอื้อมมือถลกแขนเสื้อขึ้นช้าๆ “ข้าจะเลี้ยงข้าวทั้งที ต้องแสดงความจริงใจ เช่นนั้นแล้วข้าจะขอลงมือเคี่ยวน้ำแกงให้นายใหญ่เอง”
เมื่อคำนั้นเอ่ยออกไป คนภายในห้องก็พลันตกตะลึง
“พี่สาวจะลงมือทำเองหรือ” เฉินตันเหนียงถาม “ไม่ให้ปั้นฉินทำหรือ”
ขนมที่นางกินแต่ก่อน ล้วนแต่เป็นฝีมือของเฉิงเจียวเหนียงทั้ง เพียงแต่สาวใช้นั้นคือสมบัติของเจ้านาย หากพวกนางทำก็เท่ากับทำแทนนายของตน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเฉิงเจียวเหนียงจะลงมือทำด้วยตนเอง
ไม่ใช่ว่าเป็นบ้า… ป่วยมาตลอดไม่ใช่หรือ
ไม่ใช่ว่าต้องมีคนคอยปรนนิบัติป้อนข้าวป้อนน้ำหรือ
ปั้นฉินที่นั่งคุกเข่าเงียบอยู่หน้าห้องก็เข้ามาคำนับ
“นายหญิงเป็นคนสอนข้าทั้งนั้น” นางเอ่ยพลางยิ้ม
นายใหญ่เฉินได้ยินคำนั้นก็เหม่อลอยไปชั่วขณะ
‘พี่สาว อร่อยจัง นี่เรียกว่าอะไรหรือ’
‘นี่คือขนมถั่วแดง’
‘แม่นางฝีมือดีนัก’
‘นายหญิงเป็นคนสอนข้าเจ้าค่ะ’
อ่อ เช่นนี้นี่เอง…
นายใหญ่เฉินยิ้มแล้วพยักหน้า
“อืม” เขาเอ่ย “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจ”
ยามเฉินเส้าเดินเข้ามา ก็เห็นเหล่าสาวใช้คำนับให้ก่อนจะยิ้มแล้ววิ่งไป เขาขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ผู้ติดตามข้างกายจึงรีบเอ่ยรั้งไว้
“ทำอะไรกัน” ผู้ติดตามเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ไร้มารยาท”
เหล่าสาวใช้รีบคำนับ
“นายท่านเจ้าคะ” คนหนึ่งรีบเอ่ยขึ้นมา “แม่นางเฉิงเข้าครัวทำอาหาร พวกข้า… พวกข้าอยากไปดูเจ้าค่ะ”
แม่นางเฉิงหรือ
เฉินเส้านิ่งไปชั่วขณะ ความขุ่นเคืองจางหายไป
“วันนี้แม่นางเฉิงมาหรือ” เขาถาม
พอเอ่ยถึงแม่นางเฉิง นายท่านก็ไม่เคยโมโห ตระกูลเฉิงละเว้นทุกกฎเกณฑ์เพื่อหญิงผู้นี้ แม่นางเฉิงได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากตระกูลเฉิงราวกับลูกหลาน แต่กลับไม่ต้องปฏิบัติตัวตามกฎระเบียบเหมือนดั่งพวกนาง
สาวใช้ทั้งสามโล่งใจไม่น้อยก่อนจะก้มหน้าไม่พูดไม่จา
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ตั้งใจมาหานายใหญ่ ตอนนี้กำลังทำอาหารให้นายใหญ่อยู่ในครัว” พวกนางเอ่ยพึมพำ
เข้าครัวเองเลยหรือ
แม่นางผู้นี้…
เฉินเส้าส่ายหน้า แววตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม เหล่าสาวใช้สบตากันก่อนก้มหน้าหัวเราะคิกคัก แล้วจะวิ่งจากไป
“ข้ารู้แล้ว”
ภายในห้องโถง ฮูหยินเฉินรับเสื้อคลุมที่ใช้สวมใส่ยามอยู่ในเรือนที่นางตั้งใจเตรียมให้สามีมาจัดวาง ก่อนจะเอ่ยพลางยิ้มออกมา
“ข้าล่ะเกรงใจนัก” นางเอ่ย “นางทำเช่นนี้ ก็ยังดีกว่ามาขอขอบคุณอย่างเป็นทางการเช่นแต่ก่อน”
“เจ้าไม่คิดว่านางแปลกหรือ” เฉินเส้าถามด้วยรอยยิ้ม
ฮูหยินเฉินยิ้มก่อนจะแลตามองสามี
“เห็นบ่อยเข้าก็ชินเสียแล้ว” นางเอ่ย
เฉินเส้ายิ้มแล้วนั่งลง ก่อนจะรับชาที่สาวใช้ยื่นให้ขึ้นมาดื่มช้าๆ
“ทีแรกที่เห็นก็ว่าแปลก ทั้งยังพิลึกไม่น้อย แต่นานเข้าจนวันนี้ ข้ากลับรู้สึกชอบมากเสียด้วยซ้ำ”
ฮูหยินเฉินนั่งลง น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยแฝงไปด้วยความเบาใจ “ทั้งนิ่งเงียบ ทั้งยังไม่เรื่องมาก แถมยังรู้มารยาท เข้าใจโลก ได้รู้จักกันคนเช่นนี้ช่างสบายกาย สบายใจนัก ถึงว่าล่ะแม่นางสิบเก้าถึงได้ชอบเล่นกับนางนัก เด็กนั้นรู้ดีที่สุดว่าผู้ใดคือคนดี”
“ใช่แล้ว เมื่อเห็นข้อดีของนาง ก็จะยิ่งรู้สึกดีกับนาง” เฉินเส้าพูด
ขณะเดียวกัน ณ เรือนตระกูลเฉิงเมืองเจียงโจว บรรยายฤดูร้อนอวบอวล สายฝนโปรปราย
สระบัวที่ปิดซ่อมบำรุงตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิ เริ่มเบ่งบานเย้ายวนสายตา
เหล่าหญิงสาวในบ้านย้ายกลับไปอยู่ที่เรือนริมสระบัว เหล่าพี่สาวน้องสาวรวมตัวกันเล่นหมากกระดานอย่างผ่อนคลายในวันฝนพรำ
เสียงกระบอกไม้ไผ่กระทบกันจากด้านนอกลอยเข้ามา แม่นางเฉิงเจ็ดในชุดฟางกันฝนวิ่งเข้าประตูมา นางก้าวขึ้นบันไดมายังบนระเบียงทางเดินก่อนจะล้มกระบอกไม้ไผ่ลง เหล่าสาวใช้ที่นั่งอยู่ตรงระเบียงทางเดินรีบร้อนลุกขึ้นมา ช่วยนางปลดเสื้อฟางพลางพาแม่นางเฉิงเจ็ดเดินเข้าไปในห้อง
“แม่นางเจ็ด เจ้าทำพรมข้าเปียกหมดแล้ว!” แม่นางหกตะโกนร้อง “นั่นมันพรมชั้นดีที่ท่านพ่อข้าซื้อมาจากหนานหยางนะ!”
แม่นางเฉิงเจ็ดส่งเสียงเฮอะ นอกจากจะไม่ถอยแล้วจะออกแรงกระทืบสองเท้าลงบนพื้นอีก
ท่าทางสองพี่น้องคงจะทะเลาะกันอีกแล้ว สาวใช้และแม่นมรีบเข้าไปห้าม
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ ข้ามีข่าวใหญ่” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ย ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าบรรดาพี่น้อง ดวงตาเป็นประกาย
“อย่างเจ้าจะมีข่าวใหญ่อะไรได้” แม่นางเฉิงหกพูด เชิดคางขึ้นท่าทีไม่แยแส
แม่นางเฉิงห้าและแม่นางเฉิงสี่หัวเราะให้บรรยากาศผ่อนคลาย
“ถึงว่าล่ะ เจ้าถึงไม่มาเล่นกับพวกข้า ที่แท้ไปฟังข่าวใหญ่นี่เอง” พวกนางหัวเราะคิกคักพลางเอ่ย
แม่นางเฉิงเจ็ดโบกมือไปมา
“ข้าพูดจริงนะ” นางเขยิบไปข้างหน้า จ้องมองพี่สาวทั้งสาม “คนบ้านั่น จะออกเรือนแล้ว”
…………………………………………..