ยามเมื่อคำพูดนั้นถูกเอ่ยออกมา แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ อย่างที่แม่นางเฉิงเจ็ดคาดการณ์ไว้ พี่สาวทั้งสามมองดูนางอย่างงุนงง

นี่เป็นสรรพนามที่แม่นางเฉิงเจ็ดใช้เรียกคนที่นางไม่ชอบหรือ

เป็นพี่น้องในตระกูลหรือเป็นเหล่าแม่นางที่เป็นสหายกัน

“คนบ้าที่ไหน” แม่นางเฉิงห้าถาม

“จะผู้ใดได้อีกเล่า” แม่นางเฉิงเจ็ดตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ “คนบ้าในบ้านนี้ก็มีแค่คนเดียวไม่ใช่หรือ”

นางเอ่ยพลางเบะปาก

“พวกเจ้าก็บ้าไปแล้วหรือไร แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ…”

ทั้งสามจึงนึกออกในทันใด

“อ๋อ คนนั้น… คนที่เป็นพี่สาวลูกภรรยาคนแรกของบ้านเจ้านี่เอง!” แม่นางเฉิงหกชี้นิ้วแล้วเอ่ยขึ้น

แม่นางเฉิงเจ็ดสะดุ้งในทันใด

“นาง นางเป็นพี่สาวของเจ้านะ!” นางยู่ปากตะโกน “ตอนนั้นท่านป้าบอกว่าจะเลี้ยงนางไว้! ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นญาติใกล้ชิดกับเจ้ามากที่สุด!”

เล่นเป็นเด็กกันอยู่ได้ ตอนนี้ใช่เวลาจะมาถกเถียงกันเรื่องนี้หรือ

แม่นางเฉิงหกส่งเสียงฮึดฮัดไม่สนใจ

“เหตุใดนางถึงออกเรือนได้” นางเอ่ย “เหตุใดถึงมีคนสู่ขอคนบ้าได้”

แม่นางเฉิงเจ็ดนั่งลง

“จริงๆ นะ เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านพ่อกับท่านแม่คุยกัน” นางตอบแล้วเอียงหน้านึก “บอกว่าในเมื่อตระกูลโจวโวยวายจะเอาฤกษ์เกิด จะให้เด็กบ้านั่นออกเรือนให้ได้ เช่นนั้นพวกเราก็หาคนให้นางแต่งงานเสีย”

ตระกูลโจวอย่างนั้นรึ

เมื่อได้ยินดังนั้น แม่นางเฉิงหกและคนอื่นๆ ต่างก็เข้าใจทันที

คนตระกูลโจวมาที่บ้านหลายวันแล้ว ส่วนเรื่องมาเพื่ออะไรนั้น หากจะให้เหล่าหญิงสาวอย่างพวกนางไปถามก็คงดูไม่งามนัก แต่เรือนก็ใหญ่เพียงเท่านี้ จะมีเรื่องใดเป็นความลับได้กัน ไม่นานพวกนางก็ได้รู้ข่าวจากสาวใช้ในเรือนของตน

ตระกูลโจวมาเอาฤกษ์เกิดของเด็กบ้านั่น ทั้งยังจะมาเอาสินเดิมของแม่นางกลับไปอีกด้วย

เรื่องเช่นนี้ตระกูลเฉิงจะยอมอย่างไร พวกเขาปฏิเสธไปอย่างไม่ลังเล ทั้งสองบ้านทะเลาะกันมาหลายวันแล้ว

นายรองเฉิงที่อยู่ต่างเมืองถึงกับลาราชการกลับมาเจรจาเรื่องนี้ด้วย

“ตระกูลโจวไม่ได้อยากให้เด็กบ้านั่นออกเรือนหรอก แค่อยากจะหลอกเอาสินเดิมไปก็เท่านั้น” แม่นางเฉิงหกเอ่ยท่าทางมั่นใจในสิ่งที่ตนรู้ “ตระกูลโจว มีคนดีเสียที่ไหน”

ตระกูลโจวไม่มีคนดีเลยสักคน มิเช่นนั้นคงไม่ให้กำเนิดเด็กบ้าออกมาหรอก นี่คือสิ่งที่ตระกูลเฉิงบอกแก่ลูกหลาน เช่นเดียวกับที่ตระกูลโจวบอกว่าตระกูลเฉิงไม่มีคนดี ถึงทำให้ลูกสาวของพวกเขาให้กำเนิดเด็กบ้าออกมา

เหล่าลูกหลานถูกความคิดเหล่านี้ฝังหัวมาตั้งแต่เล็ก พวกนางจึงเชื่ออย่างไม่สงสัย

“นั่นสิ ผู้ใดจะสู่ขอคนบ้ากันเล่า” แม่นางเฉิงเจ็ดพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ารังเกียจ

“หรือจะเป็นคนบ้าเหมือนกัน” แม่นางเฉิงห้าพูดต่อ

แม่นางเฉิงเจ็ดหัวเราะ

“แม่นางห้าอย่าทำให้ข้าหัวเราะสิ” นางเอ่ยพลางหัวเราะ จนที่ต่างหูทองคำระย้าที่คล้องอยู่ใกล้เรือนผมสั่นไหว

แม่นางเฉิงห้ายกพัดขึ้นมาป้องปากแล้วยิ้มตาหยี

“จริงๆ เลย คนบ้าที่ไหนจะออกเรือนกัน ข้าว่าจะต้องเป็นเพราะตระกูลโจวไม่อยากเลี้ยงคนบ้านั่นแล้ว จึงหาข้ออ้างมาหาเรื่อง” แม่นางเฉิงหกเอ่ยพลางมองแม่นางเฉิงเจ็ด “ท่านอารองก็ด้วย เหตุใดต้องทำตามคำพูดของพวกเขาด้วย เจ้าดูสิ พอท่านอารองบอกว่าจะหาคนมาแต่งกับคนบ้านั่น ตระกูลโจวก็รีบส่งคนมาให้ทันที ท่านอาสะใภ้ก็อีกคน

ในหัวมีแต่เรื่องเงิน ไม่คิดบ้างเลยหรือว่าถ้าคนบ้านั่นกลับมาแล้วพวกเราจะทำอย่างไร”

แม่นางเฉิงสี่และแม่นางเฉิงห้าสีหน้ากระอักกระอ่วน ฮูหยินรองเฉิงเป็นแม่ใหญ่ของพวกนาง แต่ฮูหยินใหญ่เฉิงเป็นนายหญิงของบ้าน ลูกบ้านรองอย่างพวกนางไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี จึงได้แต่ก้มหน้าทำเป็นไม่ได้ยิน

แม่นางเฉิงเจ็ดแม้จะยังเด็กแต่ก็พอฟังออก ได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียงขุ่นเคืองก่อนจะนั่งเหยียดตัวตรง

“ท่านแม่ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย ท่านป้าใหญ่ต่างหากที่เห็นแก่เงิน แล้วยังเก็บเงินเข้ากระเป๋าตนเอง แต่ให้พวกเราประหยัดกันอีก” นางเอ่ยเสียงใส

“ไม่ได้เป็นคนดูแลบ้านไม่รู้หรอกว่าค่าใช้จ่ายมันมากมายเพียงใด!” แม่นางเฉิงหกก็เหยียดหลังตรงแล้วเลิกคิ้วตอบ “หากไม่เห็นแก่เงิน จะวิสัยทัศน์คับแคบเพียงนี้ได้อย่างไร”

แม่นางเฉิงเจ็ดเด็กกว่าหลายปีจึงโต้ตอบไม่ได้ นางโมโหจนร้องไห้ออกมา

“เด็กขี้แย เหตุผลสู้ไม่ได้ก็ร้องไห้” แม่นางเฉิงหกเอ่ย “อยู่บ้านร้องไห้แล้วท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่าก็ตามใจเจ้า

แต่พอออกเรือนแล้วสามี พ่อแม่สามี ไม่มีใครมาตามใจเจ้าหรอกนะ!”

สาวใช้และแม่นมห้องด้านนอกรีบกรูเข้ามา ทั้งปลอบทั้งประคองตัวนางไว้

“พวกเราไม่ต้องไปเล่นกับนาง ไม่เล่นกับนาง” แม่นางเฉิงเจ็ดร่ำไห้ เหล่าสาวใช้และแม่นมก็ไปนำตัวแม่นางเฉิงสี่และแม่นางเฉิงห้ามา

ภายในห้องโกลาหลวุ่นวาย

แม่นมที่เดินผ่านอดหันมามองไม่ได้

“เหตุใดจู่ๆ เหล่าแม่นางถึงได้ทะเลาะกันเล่า”

“ก็เพราะคนตระกูลโจวมาน่ะสิ”

“เรื่องนั้นเกี่ยวอะไรด้วยเล่า”

“เพราะพูดถึงคนบ้านั่นอย่างไรเล่า”

“อ๋อ จริงสิ เรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวกับเด็กบ้านั่น ย่อมไม่เคยเป็นเรื่องดี”

ในห้องโถงของฮูหยินรองเฉิงมีแขกนั่งอยู่ ฮูหยินอายุราวสามสิบ รูปร่างขาวอวบ นางยิ้มอย่างถ่อมตนให้กับฮูหยินรองเฉิง เมื่อเห็นฮูหยินรองเฉิงปลอบแม่นางเฉิงเจ็ด ฮูหยินผู้นั้นก็พูดปลอบด้วย

“มา หญิงเจ็ดไม่ร้อง” นางเอ่ย “ป้าแปดให้เจ้า เอาไปเล่นสิ”

ขณะที่นางพูดก็ถอดแหวนทองสวมให้แม่นางเฉิงเจ็ด

แหวนวงนี้สวมไว้นานหลายปีแล้ว เป็นแผ่นทองเนื้อบาง ไม่มีอะไรที่พิเศษ จะต้องตาแม่นางเฉิงเจ็ดได้อย่างไร นางไม่พูดอะไร จงใจยกมือขึ้นมาจับหน้า เผยให้เห็นกำไลทองลายดอกสีแดงทองที่ตนใส่ ก่อนจะวิ่งออกไป

ฮูหยินยิ้มเจื่อนแล้วเก็บแหวนลง ก่อนจะจัดท่าแล้วนั่งบนเบาะรองนั่ง

“แม่นางเจ็ดช่างเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายเสียจริง พอปลอบแล้วก็ไม่ร้องไห้แล้ว” นางพูดหาทางหนีทีไล่ให้ตนเอง

ฮูหยินรองเฉิงท่าทางรำคาญไม่น้อย

“เจ้ามีธุระอะไรก็ว่ามาตรงๆ” นางเอ่ยแล้วยกมือมากดหว่างคิ้ว “เจ้าดูบ้านข้าสิ ไม่เคยได้สงบกันเลยสักวัน”

เมื่อถูกเร่งเร้า ฮูหยินก็ยิ่งหน้าเสีย

“เดิมทีพี่รองเข้าเรียนพร้อมกับท่านลุง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าปีก่อนเขาจะล้มป่วยลง ท่านพ่อของเขาก็ไม่มีรายได้

ทำไร่ทำนาก็ไม่ได้ผลผลิต กว่าจะทนจนผ่านฤดูใบไม้ผลิมาได้นั้นไม่ง่ายเลย เขาคิดอยากจะประคองบ่อปลาที่อยู่ทางตะวันออกของเมือง…” นางพูดถึงตรงนี้น้ำเสียงก็ยิ่งตะกุกตะกัก ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบาลงเรื่อยๆ

“หากจะพูดถึงชีวิตลำบาก ผู้ใดก็ลำบากกันทั้งนั้น ข้าดูเหมือนว่าจะสบาย แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ได้สบายนัก แม้จะไม่ได้เป็นนายหญิงของบ้าน แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนหิวทนหนาวก็เท่านั้น” ฮูหยินรองเฉิงไม่รอให้นางพูดจบก็แทรกขึ้นมา

ฮูหยินขานรับด้วยรอยยิ้มเจื่อน

“แม่นางเจ็ดกับพี่ชายเขายังเล็ก แต่ก็ต้องเตรียมการล่วงหน้าให้พวกเขา ในบ้านยังมีลูกสาวอีกสองคนถึงวัยแล้ว อ้อ ยังมีคนโตอีกคนที่กำลังจะออกเรือน ถึงข้าจะเป็นแม่เลี้ยง แต่จะให้ผู้อื่นดูแคลนเอาไม่ได้ คงต้องกัดฟันจัดงาน…” ฮูหยินรองเฉิงพูดต่อ

“ลูกสาวคนโตผู้นั่นหรือ” ฮูหยินถามต่ออย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตกตะลึง “จะออกเรือนด้วยหรือ”

ยามที่แม่นางสิบเก้าของตระกูลออกเรือนเป็นภรรยาใหม่ของนายรองเฉิงนั้น ทั้งบ้านต่างก็รู้กันว่าภรรยาคนก่อนหน้าได้ทิ้งลูกสติไม่สมประกอบเอาไว้คนหนึ่ง

“ไม่ออกเรือน แล้วจะเก็บไว้ในบ้านตลอดไปหรือ” ฮูหยินรองเฉิงตอบอย่างมาสบอารมณ์ พอพูดถึงเรื่องนี้ก็โมโห พาลไม่มีอารมณ์พูดคุยกับฮูหยินจากบ้านฝั่งแม่ที่มาขอยืมเงินอีก “พี่สะใภ้แปดกลับไปก่อนเถิด ไว้วันหลังค่อยมาใหม่

ในบ้านยังมีแขกอีก”

เมื่อถูกออกปากไล่ ฮูหยินผู้นั้นจึงเดินออกไปอย่างอับอาย เพราะไม่ใช่แขกคนสำคัญ แม่นมที่มาส่งแขกจึงทำท่าทางเกียจคร้านไม่แยแส

เมื่อเดินมาถึงเรือนนอก ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของชายหนุ่มอยู่รำไร แม่นมสองคนหันมาสบตากันแล้วยิ้ม

“นายใหญ่กับนายรองทะเลาะกับคนตระกูลโจวอีกแล้ว… ทะเลาะกันมาหลายวันแล้ว ไม่จบไม่สิ้นเสียที”

“เด็กบ้านั่นมีสินเดิมมากมาย จะจบเรื่องง่ายๆ ได้อย่างไร หากตระกูลโจวเอาไปหมด ตระกูลเฉิงเราก็เหมือนหายไปครึ่งบ้าน นายท่านกับฮูหยินจะยอมได้อย่างไร ไม่ทะเลาะก็บ้าแล้ว”

ฮูหยินที่เงี่ยหูฟังแม่นมสองคนคุยกันก็สะดุ้งขึ้นมาทันใด

สินเดิมอย่างนั้นหรือ ครึ่งบ้านตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ

“ตระกูลโจวที่แม่นมทั้งสองพูดถึง คือบ้านใดหรือ” นางถามออกมาอย่างอดไม่ได้

แม่นมทั้งสองมองนางอย่างไม่ใยดี เพราะรู้ว่านางเป็นญาติยากจนจากบ้านแม่ของฮูหยินรองที่มาขอยืมเงิน

“บ้านแม่ของฮูหยินรองคนก่อน เป็นญาติบ้านรองของเรา” พวกนางจงใจพูดเน้นเสียง

ภรรยาใหญ่แม้จะตายแล้วก็ยังเป็นภรรยาใหญ่ แม้ฮูหยินสกุลเผิงที่มาแต่งงานเป็นภรรยาใหม่ยังมีชีวิตอยู่ ไปมาหาสู่กับตระกูลเผิงเป็นหลัก แต่หากว่ากันตามหลักแล้วญาติสายตรงของบ้านรองตระกูลเฉิงอย่างไรเสียก็ยังคงเป็นตระกูลโจว

ฮูหยินไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด ตระกูลเฉิงจะให้ความสำคัญกับผู้ใด คนที่ได้ประโยชน์นั้นก็ไม่ใช่นางอยู่ดี

นางใจเต้นตึกตัก คิดวนแต่คำว่า ‘สินเดิม’ และ ‘ครึ่งบ้านตระกูลเฉิง’

“เด็กบ้านั่น ก็คือแม่นางใหญ่ใช่หรือไม่ เหตุใดตระกูลโจวถึงจะเอาสินเดิมของนางไปเล่า” นางยิ้มแล้วเอ่ยถามขึ้น

“แม่นางใหญ่จะออกเรือน ก็ย่อมต้องเอาสินเดิมกลับไป” แม่นมเบะปากพูด “สินเดิมของแม่นางใหญ่เราน่ะ…”

แม่นมด้านข้างกระแอมขัดจังหวะแม่นมผู้นั้น

“นี่ก็สายมากแล้ว ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย พวกข้าต้องไปทำงานต่อแล้ว” แม่นมนางนั้นเอ่ย ก่อนจะลากอีกคนหนึ่งเดินออกไป

ฮูหยินมองดูทั้งสองเดินไปอย่างเสียดาย นางยืนนิ่งอยู่หน้าประตูอยู่สักพัก

ลูกที่เป็นบ้าของภรรยาคนก่อนนั้น มีสินเดิมมากมายเพียงนั้นเชียวหรือ

ณ เรือนนอกอีกฝั่งหนึ่ง ท่านชายเฉิงสี่ที่อยู่ในห้องวางหนังสือลง

สาวใช้ชุนหลานที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ ก็รีบเข้าไปถามไถ่

“ทะเลาะกันอีกแล้วหรือ” ท่านชายเฉิงสี่เงี่ยหูฟัง

“เสียงดังรบกวนท่านชายอ่านหนังสือหรือเจ้าคะ” ชุนหลานถามอย่างเป็นกังวล

ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มพลางส่ายหน้า

“หากมีใจจะอ่านหนังสือจริง สิ่งภายนอกก็รบกวนไม่ได้หรอก” เขาเอ่ย “ข้าอ่านหนังสือจนเหนื่อย อยากพักสักครู่”

ชุนหลานโล่งใจแล้วยิ้มขึ้นมา

“เช่นนั้นข้าไปยกน้ำชามาให้นะเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างดีใจ “ในที่สุดก็ซื้อขนมแกล้มน้ำชาจากวัดเสวียนเมี่ยวมาได้แล้ว ท่านชายลองชิมดูนะเจ้าคะ”

ท่านชายเฉิงสี่ลุกขึ้นเดินไปอีกฟากของโต๊ะเตี้ย มองดูกระดาษที่ถูกผ้าขาววางปิดทับอยู่บนโต๊ะ

“ขนมของวัดเสวียนเมี่ยวช่างขายดีจริงๆ” เขาเอ่ยถอนใจ

“จะขายดีอย่างไรก็หาซื้อได้เจ้าค่ะ เพียงแต่บังเอิญว่า ทุกครั้งที่บ้านเราไปซื้อมักจะหมดเจ้าค่ะ” ชุนหลานเอ่ยพร้อมยกถาดรองมา นางมองท่านชายเฉิงสี่ที่จ้องมองโต๊ะเตี้ยอยู่ “ท่านชายจะวาดรูปหรือเจ้าคะ”

“อีกนิดก็วาดเสร็จแล้ว” ท่านชายเฉิงสี่เอ่ยแล้วยิ้มอย่างดีใจ

“ท่านชายวาดภาพนี้มาตั้งนาน ในที่สุดก็เสร็จเสียที ให้บ่าวดูหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ” ชุนหลานยิ้มแล้วเอ่ยถามพลางเดินเข้ามา

“ไม่ได้ ภาพวาดดูเพียงครึ่งเดียวดูไม่ออกหรอก รอให้เสร็จแล้วดูทีเดียวจึงจะงดงาม” ท่านชายเฉิงสี่ยิ้ม

ขณะที่นายบ่าวกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็มีสาวใช้เข้ามาคำนับ

“ท่านชายสี่ ฮูหยินใหญ่เชิญท่านไปหาเจ้าค่ะ” นางเอ่ย

ท่านชายเฉิงสี่เดินออกไป จังหวะที่ชุนหลานกำลังเก็บขนมอยู่ ก็มีคนเปิดม่านเดินเข้ามา

“เอ๊ะ ชายสี่ไม่อยู่หรือ”

ชุนหลานหันหลังกลับ เห็นเป็นชายหนุ่มในชุดแขนกว้างสีน้ำเงิน อายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่านชายเฉิงสี่ หน้าตาคมเข้ม เพียงแต่คิ้วตกตาชี้ แก้มตอบหูกาง ดูเจ้าชู้ยิ่งนัก

เมื่อเห็นเขาเข้ามา ชุนหลานก็ถอยหลบไปโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ยังถูกชายหนุ่มผู้นั้นใช้พัดเคาะใบหน้า

“เหตุใดจึงมีแต่คนงามอยู่ในห้องเล่า” เขาหัวเราะคิกคัก

ชุนหลานหน้าแดงด้วยความโมโหที่ถูกเย้ยหยัน

“ท่านชายสิบเจ็ด” นางใช้โอกาสตอนก้มคำนับหลีกไปอีกทาง “ท่านชายไปหาฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ”

ชายผู้นี้เป็นหลานฝั่งแม่ของฮูหยินใหญ่เฉิง ช่วงนี้มาเรียนหนังสือที่บ้านตระกูลเฉิงเป็นการชั่วคราว ถึงแม้จะอ้างอย่างนั้น แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะก่อเรื่องไว้ที่บ้านแล้วหลบมาอยู่ที่นี่ต่างหาก

“อ้อ เช่นนั้นข้ารอเขากลับมาแล้วกัน” ท่านชายสิบเจ็ดเอ่ยแล้วเดินเข้ามายักคิ้วมองชุนหลาน “ชุนหลาน รินชาให้ข้าสักถ้วยสิ”

ชุนหลานสีหน้ากังวล แต่ก็จนปัญญา ทำได้เพียงรินน้ำชาให้ หางตาเหลือบไปเห็นว่าท่านชายสิบเจ็ดรื้อค้นของในห้อง

“ท่านชายสิบเจ็ด เชิญเจ้าค่ะ” นางเอ่ย

ท่านชายสิบเจ็ดรับมา ถึงแม้ชุนหลานจะหลบอย่างรวดเร็วก็ยังถูกบีบมืออย่างแรง นางโมโหจนน้ำตาคลอเบ้า

ท่านชายสิบเจ็ดถือถ้วยน้ำชาพลางเดินไปรอบห้อง ทันใดนั้นก็หยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะเตี้ยที่มีผ้าคลุมอยู่

“นี่อะไรหรือ” เขาถามพลางยื่นมือออกไป

“ท่านชายสิบเจ็ดอย่าจับนะเจ้าคะ ท่านชายของข้ายังวาดไม่เสร็จ ห้ามแตะต้องนะเจ้าคะ” ชุนหลานรีบตะโกน แล้วเข้าไปขวางโดยไม่สนใจว่าจะถูกลวนลาม

แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ท่านชายสิบเจ็ดยื่นมือมาเปิดผ้าคลุมออก

“ของดีอะไรกันถึงกับแตะต้องไม่ได้” เขาเอ่ยเสียงเย้ยหยัน

เมื่อผ้าคลุมเปิดออก ภาพวาดบนโต๊ะเตี้ยนั้นก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า

ท่านชายสิบเจ็ดและชุนหลานที่เข้ามาอย่างร้อนรนนั้นต่างชะงักไป ภาพหญิงงามกำลังเปิดม่านมองออกมาจากในรถม้าคันหนึ่งปรากฏขึ้น

คิ้วเรียวยาว ผมดกดำสยาย ใบหน้ากระจ่างใจ แต่สีหน้าเหม่อลอยไร้อารมณ์ ทว่ากลับตราตรึงใจยิ่งนัก

“ช่าง…เป็นหญิงที่งามนัก…” ท่านชายสิบเจ็ดพึมพำอย่างเหม่อลอย “นี่คือ ผู้ใดกัน”

ชุนหลานยื่นมือมากำคอเสื้อ ไม่ทันสังเกตว่าตนยืนอยู่ใกล้ท่านชายสิบเจ็ดถึงเพียงนี้ นางมองดูภาพวาดตรงหน้า เหมือนกับคนผู้หนึ่งที่นางเคยพบ

วัดเต๋าเล็กๆ บนเขา ประตูห้องโถงที่เปิดแง้มอยู่ หญิงสาวผู้หนึ่งถือหนังสือแล้วมองมา

ที่แท้ภายใต้ผ้าคลุมนั้น มีสิ่งที่งดงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“แม่นางสติไม่สมประกอบของนายรอง…” นางตอบพึมพำเช่นกัน

……………………………………………………………….