เล่มที่ 8 บทที่ 237 แว่นตาคือสิ่งใด

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซียวยวี่ยกมือขึ้นก่อนวางลงอีก ราวกับว่ากลอนประตูหนักพันตำลึงทอง หนักจนเขายกไม่ขึ้น

ช่างเถอะ ช่างเถอะ ใช่ว่าจะไม่กลับมาอีก เขาจะร้อนใจไปไย รอให้กลับมาค่อยถามก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ!

เซียวจื่อเซวียนเปลี่ยนเสื้อเสร็จจึงเดินออกมา เห็นพี่ใหญ่อยู่หน้าประตูด้วยท่าทางลังเล จึงรู้สึกสงสัย “พี่ใหญ่ ท่านจะออกไปหรือขอรับ?”

เซียวยวี่หันขวับราวกับสะดุ้งตกใจ รีบกล่าว “เปล่า เปล่า ข้าเพียงแค่เดินเล่น”

กล่าวจบ จึงเดินออกห่างจากประตูอย่างรวดเร็ว ท่าทางร้อนรนนั่นทำให้เซียวจื่อเซวียนรู้สึกว่าวันนี้พี่ใหญ่ของเขาช่างดูแปลกประหลาดยิ่งนัก เขาไม่ได้คิดอะไรมากและไม่ได้ถามอะไรอีก ลงจากบันไดเดินตรงไปทางประตูใหญ่

เซียวยวี่หันกลับไปมองเขา ขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถาม “เจ้ากำลังจะไปทำอะไร? ”

เซียวจื่อเซวียนหันกลับมา “พี่ใหญ่ ข้าจะไปบ้านหัวหน้าหมู่บ้านขอรับ”

เซียวยวี่นึกเอะใจ “ไปที่นั่นทำไม? ”

เซียวจื่อเซวียนยิ้มพร้อมกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่ให้ข้าตากเสื้อเสร็จแล้วไปทางนั้น เห็นว่าวันนี้นางจะสอนพี่สะใภ้หลี่ทอดโหยวเถียว พี่สะใภ้หลี่ให้ข้าตามไปชิมว่ารสชาติดีหรือไม่”

เซียวยวี่ได้ฟังดังนั้นแววตาพลันสว่างวาบ แต่ก็กลับสู่สภาวะเรียบสงบเหมือนก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว “อ่อ อะไรคือโหยวเถียว? ”

เซียวจื่อเซวียนส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับ แต่พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าอร่อยมากทีเดียว นางบอกว่าทำเสร็จแล้ว กลับมาก็จะทำให้พวกเราด้วย ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว พี่ใหญ่ ข้าต้องไปแล้วขอรับ”

เซียวยวี่ส่งเสียงเรียกทีหนึ่ง เซียวจื่อเซวียนหันกลับไปมองด้วยความสงสัย

“ข้าอ่านตำราเสร็จพอดี ออกไปเดินกับเจ้าหน่อยแล้วกัน” เซียวยวี่ยิ้มพร้อมกล่าว

เซียวจื่อเซวียนผงะไปชั่วขณะ แต่ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว “ได้ขอรับ พี่ใหญ่ ไปด้วยกัน! ”

วันนี้พี่ใหญ่เกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา เวลานี้ เขาควรกำลังตั้งใจอ่านตำราไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงคิดจะออกไปพร้อมเขาได้?

แต่นั่งอ่านตำราอยู่ตลอดก็ไม่ดี พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าจะเสียสายตา ควรพักผ่อนบ้างเช่นกัน

พวกเขาสองคนออกจากบ้าน ใส่กุญแจประตูใหญ่เสร็จ จึงเดินไปทางบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เซียวจื่อเซวียนเดินพลางกล่าว “พี่ใหญ่ ท่านอย่าอ่านตำรานานเกินไปนะขอรับ อ่านสักสองเค่อ ก็ต้องลุกขึ้นมองออกไปไกลๆ เช่นนี้ถึงจะไม่เสียสายตาขอรับ”

พอได้ฟังเด็กคนนี้กล่าวกำชับตนเองราวกับเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย เซียวยวี่ก็รู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก “เจ้าไปฟังมาจากไหน? ”

เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “พี่ใหญ่ นี่เป็นสิ่งที่พี่สะใภ้ใหญ่สอนข้าขอรับ นางบอกว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ หากดวงตาเหนื่อยล้า มองอะไรก็จะพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถรักษาให้หายได้”

พี่สะใภ้ใหญ่เคยบอกกล่าวกับพวกเขาด้วยท่าทีขึงขัง ว่าหากใช้สายตามองในระยะใกล้นานเกินไป หรือใช้สายตามากเกินไป ดวงตาจะบาดเจ็บ หากดวงตาบาดเจ็บ จะไม่เหมือนกับตำแหน่งอื่นที่สามารถรักษาได้ หากสายตาสั้นแล้วก็จะรักษาไม่หาย!

เซียวยวี่รู้สึกตกใจเล็กน้อย “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าบอกเช่นนั้นหรือ? ”

“ขอรับ ตอนพี่สะใภ้ใหญ่ให้พวกเราฝึกเขียนหนังสือ ฝึกครู่หนึ่งนางก็ให้พวกเราออกไปเล่น เล่นครู่หนึ่งแล้วจึงกลับมาฝึกต่อ เห็นว่าดวงตาของพวกเรายังบอบบางมาก จะให้เสียสายตาไม่ได้ ทั้งยังบอกว่าในตอนนี้ไม่มีแว่นตา ถึงเวลามองอะไรไม่ชัดเจนจะนึกเสียใจขอรับ! ”

“แว่นตา? ” เซียวยวี่ย้อนถาม “นั่นคือของสิ่งใด? ”

เซียวจื่อเซวียนส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่า หากสวมสิ่งนั้นไว้บนใบหน้าจะสามารถมองเห็นชัดเจนได้”

“สวมไว้บนใบหน้า? ” เซียวยวี่ลูบใบหน้าตนเอง ก่อนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “จะสวมอย่างไร? ”

เซียวจื่อเซวียนกล่าวพลางใช้มือสาธิต “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าขาสองข้างคาดไว้บนใบหู ตรงกึ่งกลางแว่นตาจะวางไว้บนสันจมูก อย่างนี้ขอรับ”

ขาสองข้างคาดไว้บนใบหู? กึ่งกลางแว่นตาวางไว้บนสันจมูก?

นี่เป็นสิ่งของวิเศษอะไรกัน!

ไปถึงบ้านหัวหน้าหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว เซียวยวี่คิดมาตลอดทางก็ยังไม่เข้าใจว่าแว่นตาเป็นของวิเศษเช่นไร เมื่อคิดไม่ออก ก็ได้แต่ปล่อยไป เข้าไปในบ้านหัวหน้าหมู่บ้านพร้อมเซียวจื่อเซวียน

เซียวจิ้งยี่ก็อยู่บ้าน กำลังเล่นสนุกกับเด็กสามคนอยู่ภายในลานบ้าน ย่อมต้องเล่นนกอินทรีจับลูกไก่น้อย

เซียวจิ้งยี่เป็นแม่ไก่ ปกป้องเซียวฉงหวู่และเซียวจื่อเมิ่งสองคนไว้ด้านหลัง เซียวฉงเหวินเป็นนกอินทรี เด็กสามคนกับเฒ่าทารกหนึ่งคน เล่นกันอย่างสนุกสนาน

ระหว่างที่กำลังปกป้องลูกไก่สองตัวอยู่ เซียวยวี่และเซียวจื่อเซวียนก็มาแล้ว

เซียวจิ้งยี่หัวเราะอย่างมีความสุขเสียยิ่งกว่าอะไร “อายวี่มาแล้วหรือ? เร็วเร็วเร็ว รีบเข้ามาดื่มน้ำชา! ”

เซียวจื่อเซวียนเอ่ยเรียกท่านปู่ ก่อนไปเล่นกับเด็กสามคน

เซียวยวี่เอ่ยเรียกหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความเคารพ ก่อนตามเซียวจิ้งยี่เข้าไปในบ้าน

มาเพิ่มอีกสองคน จึงครึกครื้นยิ่งขึ้น เด็กสี่คนเล่นอยู่ภายในลานบ้าน เซียวยวี่และเซียวจิ้งยี่ดื่มน้ำชาอยู่ในห้องโถง ยังมีคนกำลังง่วนกับงานอยู่ในห้องครัว

เซี่ยยวี่หลัวกำลังนวดแป้ง

แป้งที่ใช้ทำโหยวเถียวนวดไม่ง่ายเลย!

ยุคโบราณไม่มียีสต์ ยังดีที่กวั่นซื่อนวดและพักแป้งก้อนใหญ่ไว้ก่อน เซี่ยยวี่หลัวดูแล้วท่าทางเหมือนจะพักไว้นานพอแล้ว จึงเริ่มลงมือ นางเทน้ำมันจำนวนหนึ่งไว้บนเขียง จากนั้นนำแป้งก้อนเล็กออกมาจากถาดใหญ่ นวดด้วยน้ำมัน ปั้นเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความหนาประมาณครึ่งหลีหมี่* จากนั้นจึงหั่นให้มีความกว้างประมาณสามถึงสี่หลีหมี่ จากนั้นจึงกดทับทั้งสองชิ้นไว้แนบติดกัน ใช้ตะเกียบกดตรงกึ่งกลางทีหนึ่ง

เซี่ยยวี่หลัวกดทับไปหลายชิ้น น้ำมันในกระทะก็ร้อนแล้ว เซี่ยยวี่หลัวหยิบแผ่นแป้งที่ตัวเองกดเสร็จแล้วไปใส่ในกระทะน้ำมัน เพียงเห็นแผ่นแป้งสีขาวผ่องดุจหิมะขยายพองขึ้นด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แผ่นแป้งที่เมื่อครู่นี้ยังแบนอยู่ฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว แผ่นแป้งสีขาวผ่องดุจหิมะแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองอย่างช้าๆ

เซี่ยยวี่หลัวใช้มือจับตะเกียบ คอยพลิกกลับด้านโหยวเถียวที่ทอดเสร็จแล้วเป็นระยะ โหยวเถียวหนึ่งตัวพลิกกลับด้านประมาณสองครั้ง ทอดจนทั้งสองด้านกลายเป็นสีเหลืองทอง เซี่ยยวี่หลัวจึงตักโหยวเถียวขึ้นมา วางไว้ในกระชอนตาถี่เพื่อกรองน้ำมัน

กลิ่นหอมของโหยวเถียวลอยออกไปเช่นนี้เอง คนในห้องครัวมองดูภาพที่แผ่นแป้งกลายเป็นสีเหลืองทองฟูกรอบด้วยความตกตะลึง ยังไม่ทันเรียกเด็กที่อยู่ข้างนอกมากิน เด็กที่อยู่ข้างนอกได้กลิ่นหอมจึงกรูกันเข้ามาราวกับผึ้งแตกรัง

“ท่านแม่ ท่านแม่ ของอะไรหอมถึงเพียงนี้ขอรับ? ” เซียวฉงเหวินยังไม่เข้าประตูก็ส่งเสียงเอะอะแล้ว

เซี่ยยวี่หลัวมองคนตัวเล็กที่วิ่งพรวดมาข้างกายตนเอง ยิ้มพร้อมกล่าว “มาแล้วหรือ? ”

เซียวจื่อเซวียนพยักหน้า “พี่สะใภ้ใหญ่ โหยวเถียวนี่หอมเหลือเกินขอรับ! ”

ในสายตาของเขามีแต่โหยวเถียว ลืมไปว่าต้องบอกพี่สะใภ้ใหญ่เรื่องที่พี่ใหญ่ก็ตามมาด้วย

ลืมพี่ใหญ่ไปเสียสนิท

———————

เชิงอรรถ

*หลีหมี่ หรือ เซนติเมตร