รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของเฟเรสที่ยังคงเหลือค้างอยู่บนหลังมือ
“อะไรเนี่ย ทำไมทำแบบนี้ล่ะ”
เธอดึงมือของตัวเองออกจากการกอบกุมของเด็กหนุ่มแล้วพูดขึ้น
ทันใดนั้นเฟเรสก็โค้งกายลงเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าบอกว่า ปกติแล้วพบกันครั้งแรกต้องทักทายแบบนี้นี่”
คำพูดนั้นทำให้เธอหันไปมองรอบๆ แล้วก็พบว่าคาวาเลียร์คนอื่นๆ เองก็กำลังทักทายคู่ของตัวเองเช่นกัน
“จริงด้วย”
อย่างที่เฟเรสบอก ทุกคนต่างก็โค้งกายให้คุณหนูที่ต้องเข้าร่วมงานเปิดตัว และกำลังกล่าวทักทายแบบเดียวกัน
“แต่ไม่มีใครจุมพิตลงบนหลังมือสักหน่อย”
“…เหรอ”
ปฏิกิริยานิ่งสงบของเฟเรสกลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกตกใจมากกว่า
หรือคาวาเลียร์คนอื่นๆ อายมาก เลยข้ามขั้นตอนการจุมพิตไป
ก็อาจจะเป็นไปได้นะ
ต่างจากเธอกับเฟเรส คนอื่นนั้นเพิ่งเคยพบหน้ากันครั้งแรกนี่นา
“เมื่อหลายวันก่อนส่งจดหมายไปไม่เห็นตอบกลับ แล้วนี่จู่ๆ โผล่มาแบบนี้เนี่ยนะ”
“ตั้งใจจะเซอร์ไพร้ส์นิดหน่อยไง ตกใจมั้ยล่ะ”
เฟเรสโค้งกายลงมาหาเธอเล็กน้อยในขณะที่ถาม
“นิดหน่อย รู้มั้ยว่าตอนที่จู่ๆ เจ้าก็โผล่มาเป็นคาวาเลียร์ ข้าน่ะ…”
ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
เหมือนกับไม่ใช่เฟเรสที่เธอรู้จัก
เฟเรสที่เธอเห็นอยู่อีกฝั่งของโถงงานเลี้ยงดูใกล้เคียงกับเฟเรสในชีวิตก่อน ที่เธอเคยเห็นเขาท่ามกลางฝูงชนมากกว่า
“เจ้าทำไม”
“ตกใจมากเลย”
“งั้นก็สำเร็จสินะ”
เฟเรสยิ้มจาง
“เขียนจดหมายเสร็จแล้ว ตั้งใจจะส่งไปหาเจ้าพอดี แต่จู่ๆ หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าก็มาหาที่วังโฟอิรัคถามว่าข้าสนใจเป็นคาวาเลียร์ของเจ้าไหม เห็นว่ามันเป็นโอกาสดีที่จะมอบความประทับใจให้พวกชนชั้นสูงน่ะ”
“อย่างนั้นนี่เอง”
หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้ากำลังมองเหล่าสมาชิกในแวดวงสังคมชั้นสูงตัวน้อยที่กำลังสนทนากันอย่างกระอักกระอ่วนด้วยความภาคภูมิใจ
ที่นางพูดนั้นถูกต้องแล้ว
จะมีงานไหนที่สามารถสร้างความประทับใจอย่างล้นหลาม ได้เท่ากับงานเลี้ยงเปิดตัวประจำราชวงศ์ที่เป็นที่สนใจของทุกคนอีกล่ะ
แต่ทำไมกัน
จุดประสงค์ของหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าคืออะไรกันแน่
ถ้าคำนึงถึงเรื่องที่นางเป็นคนเพียงคนเดียวในพระราชวังที่คิดต่อต้านจักรพรรดินีอย่างเปิดเผย แสดงว่าหัวหน้านางกำนัลคนนี้ก็ไม่น่าจะคิดร้ายต่อเฟเรส
“ไม่นึกเลยนะว่าจะได้เปิดตัวสู่สังคมด้วยกันกับเจ้า เฟเรส”
ไม่กล้าฝันเลยจริงๆ
ในชีวิตก่อน จนกระทั่งจบการศึกษาจากอะคาเดมีแล้วเดินทางกลับมายังเมืองหลวงเฟเรสไม่เคยได้ย่างกรายเข้าสู่แวดวงสังคมเลยสักครั้ง
เฟเรสเป็นคนที่ถูกลืมจากสังคมชั้นสูงอย่างสิ้นเชิง ถึงขนาดเคยเกิดเรื่องที่คนเฝ้าประตูไม่รู้จักเฟเรส จึงห้ามไม่ให้เขาเข้างานด้วยซ้ำ
“แล้วถ้าไม่ใช่ข้า เจ้าจะเข้างานกับใคร”
เฟเรสเอียงคอถามเธอด้วยความงุนงง
“กับใคร? อืม…”
จะว่าไปก็จริงอยู่
ในเมื่อพวกเรามีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนเล่น จนถึงกลายเป็นเพื่อนสนิทซึ่งใครๆ ต่างก็ทราบดี ถ้าต้องเลือกหนึ่งในสองแฝดซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องขึ้นมาแทน ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเสียศักดิ์ศรีอยู่เหมือนกัน
มันเหมือนใช้ญาติตัวเองเป็นตัวแทน เพราะไม่มีคนร่วมงานได้เลยไม่ใช่เหรอ
“นั่นสิ ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว เข้างานกับเจ้าย่อมดีที่สุด”
พอเธอพูดแบบนั้น เฟเรสก็กระตุกยิ้มจางที่มุมปากอีกครั้งในขณะที่พยักหน้าลง
ใบหน้าดูพึงพอใจมากทีเดียว
“งั้นก็ฝากตัวด้วยนะ”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ คุณหนูลอมบาร์เดีย”
เฟเรสโค้งกายอย่างสุภาพอีกครั้งพลางส่งยิ้มให้เธอ
* * *
“หนึ่ง สอง สาม… หนึ่ง สอง สาม…”
เหล่าชายหญิงแต่ละคู่ต่างก็ขยับกายไปพร้อมกัน เต้นรำตามจังหวะซึ่งอาจารย์สอนเต้นรำที่หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าจัดหามาให้ช่วยตะโกนนับเป็นจังหวะให้
สเต็ปอันเป็นเอกลักษณ์ของงานเลี้ยงเปิดตัวประจำราชวงศ์ค่อนข้างใกล้เคียงกับจังหวะวอลทซ์แต่มันแตกต่างจากการเต้นรำที่ปกติใช้เต้นทั่วไปในอาณาจักรเป็นอย่างมาก
เพราะฉะนั้นร่างกายจึงไม่คุ้นชินกับจังหวะนัก ทำให้ได้ยินเสียงร้องครวญครางดังขึ้นประปรายอยู่เรื่อย
“อ๊ะ! ขะ ขอโทษ!”
“อ๊าก เท้าข้า! ”
ไม่แบ่งแยกชายหญิง เสียงร้องจากการเหยียบเท้าคู่ของตัวเองดังขึ้นประปรายทั่วโถงงานเลี้ยง
“ดูคุณหนูลอมบาร์เดียกับเจ้าชายลำดับที่สองทางนั้นสิคะ…”
“ทำไมทั้งสองท่านถึงได้ชำนาญกันเหลือเกิน”
ยกเว้นพวกเรา
เฟเรสประคองเอวของเธอเอาไว้อย่างแผ่วเบา เขามีท่าทีผ่อนคลาย คอยช่วยเปลี่ยนทิศทางล่วงหน้าเป็นระยะ ทำให้เธอไม่ไปชนกับคนอื่นๆ เข้า
“มีอะไรที่เจ้าทำไม่ได้บ้างมั้ยเนี่ย จริงๆ เลย”
จะเก่งแค่ไหนก็น่าจะมีขอบเขตกันบ้างสิ
หัวก็ดี เรียนก็เก่ง ยังเด็กอยู่แท้ๆ แต่กลับใช้ออร่าได้ แถมยังหน้าตาหล่อเหลาอีก
พอมาลองสังเกตดูแล้ว เฟเรสเป็นเด็กผู้ชายที่ในอนาคตคงจะสร้างศัตรูเยอะทีเดียว
“นี่เจ้าเพิ่งเคยเรียนเต้นรำแบบนี้ครั้งแรกวันนี้จริงหรือเปล่าเนี่ย”
ไม่ได้สั่งให้หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าสอนล่วงหน้าหรอกใช่มั้ย
“เรื่องเต้นรำนี่วันนี้เป็นครั้งแรกเลย”
“แล้วทำไมถึงได้…”
มีสกิลระดับมือโปรแบบนี้ล่ะ
ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้เปิดตัวสู่สังคมอย่างเป็นทางการ แต่เฟเรสกลับเต้นรำได้คล่องกว่าพวกเด็กคนอื่นๆ ที่เคยร่วมงานเลี้ยงมาแล้วหลากหลายประเภทเสียอีก
กระทั่งตอนนี้เอง ทุกคนต่างก็ไม่อาจละสายตาไปจากเฟเรสที่ออกสเต็ปเต้นรำอย่างผ่อนคลายได้เลย
“แล้วเทียล่ะ”
สงสัยเพราะใบหน้าอยู่ห่างกันแค่ปลายจมูกละมั้ง เสียงของเฟเรสจึงดังก้องอยู่ข้างหูเธอ
“เทียนั่นแหละ เต้นรำได้เก่งมากเลยนะ”
“ข้า? ข้าน่ะเหรอ ก็แบบ…”
ถึงแม้จะไม่ได้ดูผ่อนคลายเหมือนอย่างเฟเรส แต่เธอเองก็ตามจังหวะได้ดีเหมือนกัน
“ไม่รู้สิ ข้าคงจะเป็นประเภทเข้าสังคมได้ง่ายละมั้ง ทั้งเรื่องเต้นรำ ทั้งเรื่องอื่นๆ ก็ด้วย”
แต่ก็ยังเทียบกับเฟเรสไม่ติดอยู่ดี
“ถ้าเป็นแบบนี้ คนอื่นๆ คงได้วุ่นกับการมองเจ้า แทนที่จะมองข้าที่เป็นคนเปิดตัวสู่สังคมแน่เลย”
ถ้าจะถามว่าเป็นเพราะเหตุใด ก็เพราะเฟเรสที่ขยับกายอย่างดงามจนเส้นผมสีดำเงาเป็นประกายก็ขยับไปตามจังหวะนั่น ขนาดเธอมองยังรู้สึกว่าเขาหล่อมากจริงๆ
ถ้าเขายืนอยู่ด้วยกันกับเด็กผู้ชายในรุ่นเดียวกันคนอื่นๆ ก็คงเหมือนได้เห็นนกยูงที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงไก่เลยละ