“กู้ชูหน่วน พวกเราไม่ได้ว่าร้ายเจ้าและไม่ได้ลงมือกับเจ้า เป็นเจ้าต่างหากที่ลงมือกับพวกเราก่อน เหตุใดพวกเราต้องขอโทษเจ้าด้วย”

“เจ้าไม่ได้ว่าร้ายข้า แต่พวกเจ้าใส่ร้ายเยี่ยเฟิงอย่างโจ่งแจ้ง และทำลายชื่อเสียงของเยี่ยเฟิง หรือว่าไม่สมควรจะขอโทษ?”

“เดิมทีเยี่ยเฟิงเคยเป็นนักดีดฉินที่หอไร้กังวล พวกเราเพียงแค่พูดความจริง……”

“เพียะ……”

อีกหนึ่งฝ่ามือ

ฟันของหลี่เหิงหักไปสามซี่แล้ว เขาเจ็บปวดจนแทบจะสลบ

“บังอาจ กู้ชูหน่วน เจ้าช่างกล้ายิ่งนัก เจ้ากล้าที่จะกำเริบเสิบสานต่อหน้าอาจารย์ เจ้าคิดว่าพวกเราไม่กล้าไล่เจ้าออกงั้นหรือ?”

“เช่นนั้นท่านก็ไล่ข้าออกเดี๋ยวนี้เลย เชิญข้ามาสถานที่ที่ทรุดโทรมเช่นนี้ ข้าก็ไม่อยากมา”

“เจ้า……ท่านผู้อาวุโส หากคนเช่นนี้ไม่ถูกไล่ออกไป จะเอาชื่อเสียงของสำนักศึกษาไปไว้ที่ไหน?”

เหล่าผู้อาวุโสแววตาเปล่งประกาย

ไล่กู้ชูหน่วนออกไปโดยตรง พวกเขายังไม่มีอำนาจเช่นนี้

แม้แต่หัวหน้าสำนักศึกษายังต้องเกรงกลัวฝ่าบาทและเทพแห่งสงคราม นับประสาอะไรกับพวกเขา

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตอนที่กู้ชูหน่วนมาเรียนที่สำนักศึกษา ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าไม่ว่านางจะก่อเรื่องอย่างไร ห้ามให้นางออกจากสำนักศึกษา

เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังรอให้พวกเขาตอบ ผู้อาวุโสเฉินก็กล่าวอย่างสุขุม

“หลี่เหิงและคนอื่น ๆ พูดถึงเยี่ยเฟิงอย่างไม่ทันได้ยั้งคิด ทำลายชื่อเสียงของเยี่ยเฟิง ฝ่าฝืนกฎระเบียบของสำนักศึกษา และควรได้รับโทษ คุณหนูสามตระกูลกู้ทำร้ายเพื่อนร่วมชั้น และไม่เคารพอาจารย์ก็มีความผิดด้วยเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองจะต้องถูกลงโทษให้คัดลอกกฎระเบียบของสำนักศึกษาหนึ่งร้อยจบ”

หลี่เหิงไม่พอใจ เพราะใบหน้าของเขาบวมมากและฟันหัก ดังนั้นจึงพูดจาเหลวไหล

“ท่านอาจารย์ พวกเราพูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ แต่กู้ชูหน่วนทำร้ายพวกเราจนกลายเป็นเช่นนี้ นี่มัน……ทำไม……”

สีหน้าของผู้อาวุโสเฉินทรุดลง “หากเจ้าไม่เห็นด้วยกับการลงโทษของสำนักศึกษา เช่นนั้นเจ้าก็ลาออกไป”

คำว่าลาออกไป ทำให้หลี่เหิงตกตะลึง

สำนักศึกษาหลวงเป็นสถานที่ใด เขาจะยอมลาออกจากได้อย่างไร

หากลาออกไป อนาคตของเขาก็คงจะพังพินาศ

กู้ชูอวิ๋นอึดอัดใจเป็นอย่างมาก

กู้ชูหน่วนกำเริบเสิบสานและใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่คิดเลยว่าสำนักศึกษาจะละเว้นนาง

เรื่องตลกจบลง กู้ชูอวิ๋นไม่พอใจและพูดอึก ๆ อัก ๆ

“คุณหนูรองตระกูลกู้มีเรื่องอะไรจะพูด ก็พูดมาเถอะ”

อาจารย์ฉางความประทับใจกู้ชูอวิ๋นมาก เพราะกู้ชูอวิ๋นไม่เพียงแต่จะหน้าตาดี แต่ยังอ่อนโยนและมีความสามารถ และเป็นแบบอย่างของสำนักศึกษามาโดยตลอด

“ก่อนหน้านี้น้องสามบอกว่าให้เวลานางสามวัน นางจะหาตัวคนร้ายที่ฆ่าหัวหน้าสำนักศึกษาออกมาให้ได้ และวันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้ว หัวหน้าสำนักศึกษามีบุญคุณท่วมหัวข้า แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงสตรีที่อ่อนแอผู้หนึ่ง และไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ข้าก็หวังว่าจะพบตัวคนร้ายโดยเร็วที่สุด”

ระยะเวลาสามวัน อันที่จริงยังมีเวลาอีกหลายชั่วยาม

แต่ทุกคนต่างจ้องมองไปที่กู้ชูหน่วน และรอคอยคำตอบด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก

เมื่ออาจารย์สวีเห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถาม “คุณหนูสาม ไม่ทราบว่าการสืบหาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

กู้ชูหน่วนเหลือบไปที่กู้ชูอวิ๋นและยิ้มเยาะ “ยังหาคนร้ายไม่พบ แต่สืบพบว่าเยี่ยเฟิงไม่ใช่คนร้าย”

“เจ้าบอกว่าเยี่ยเฟิงไม่ใช่คนร้าย เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”

“เยี่ยเฟิงถนัดมือซ้ายไม่ใช่หรือ?”

หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว อาจารย์สวีและคนอื่น ๆ ก็ส่ายหัว

ไม่เคยเห็นเยี่ยเฟิงทำอะไรด้วยมือซ้ายเลย