“หัวหน้าสำนักศึกษาถูกแทงที่คอ พวกเจ้าได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วหรือไม่ ถึงแม้ว่ารอยมีดที่คอของหัวหน้าสำนักศึกษาจะคล้ายกัน แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าข้างขวาลึกกว่าข้างซ้าย นั่นก็หมายความว่า เขาถูกนักฆ่าที่ถนัดมือซ้ายฆ่า รอยมีดที่คอของอาจารย์หรงก็เช่นกัน”

อาจารย์สวีพูดกับอาจารย์ฉางและผู้อาวุโสท่านอื่นด้วยเสียงกระซิบกระซาบ “หลังจากที่ใช้เวลาในการทดสอบรอยมีดอยู่นาน จึงพบว่ารอยมีดที่คอของหัวหน้าสำนักศึกษาและอาจารย์หรงนั้นมีรอยลึกทางด้านขวาและตื้นทางด้านซ้าย ซึ่งคาดว่าจะถูกฆ่าโดยคนที่ถนัดซ้าย”

คำพูดของเขาไม่ดังนัก แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ได้ยิน

กู้ชูหน่วนค่อยๆ พูดออกมา “หากเยี่ยเฟิงจงใจปิดบังว่าตัวเองเป็นคนถนัดซ้ายล่ะ?”

นักเรียนที่สำนักศึกษาต่างพากันเห็นด้วย

“ที่แท้เยี่ยเฟิงมาที่สำนักศึกษาก็เพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง ถ้าเช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกอะไรที่เขาเริ่มปกปิดว่าตัวเองเป็นคนถนัดซ้ายตั้งแต่ตอนที่เริ่มเข้ามา”

กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างเย็นชา “หากเขาต้องการปิดบัง หากเขาเป็นฆาตกรตัวจริง ทำไมตอนที่เขาฆ่าคนเขากลับไม่ปิดบังใบหน้า แต่กลับทำให้พวกเจ้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาล่ะ”

“อาจเป็นเพราะเขานึกถึงสิ่งนี้ได้ก่อนแล้ว จึงจงใจเปิดเผยใบหน้า เพื่อพิสูจน์ความเข้าใจของตัวเอง”

กู้ชูหน่วนแทบอยากโยนถ้วยชาเขียวนั้นออกไป มือทั้งสองของนางประสานกันและบีบกระดูกข้อมือจนเกิดเสียงดัง จากนั้นมองไปที่กู้ชูอวิ๋นด้วยสายตาที่แปลกประหลาด

“กู้ชูอวิ๋น ข้ากลับไม่รู้เลยว่าปากของเจ้าช่างเก่งกาจเพียงนี้ พูดใส่ร้ายคนอื่นได้ง่ายราวกับกระดิกนิ้ว”

เมื่อเห็นความเยือกเย็นบนใบหน้าของนางและนึกถึงสิ่งที่นางได้ทำกับหลี่เหิงและคนอื่นไปเมื่อสักครู่ หัวใจของทุกคนต่างก็ฟูขึ้นมาเล็กน้อย

กู้ชูหน่วนต้องการทำอะไร?

หรือว่าจะมีเรื่องกับกู้ชูอวิ๋นหรือ?

อาจารย์ฉางบ่นออกมา “กู้ชูหน่วน เจ้าคิดอยากจะทำอะไรอีก?”

“อาจารย์คิดว่าข้าจะทำอะไรหรือ?”

จู่ๆ กู้ชูอวิ๋นก็ร้องไห้ขึ้นมาและเช็ดน้ำตาที่หางตาอย่างน่าสงสาร จากนั้นพูดเสียงสะอื้นออกมา “ข้าเพียงแค่พูดความคิดของข้าออกมา ไม่ได้ต้องการที่จะกล่าวหาใครเลย ทำไมน้องสามถึงใส่ร้ายข้าเช่นนี้”

เดิมทีกู้ชูอวิ๋นก็หน้าตาดีและตอนนี้ก็ยังมาร้องไห้ จึงทำให้ยิ่งเป็นที่น่าสงสารของผู้คน

คุณชายทั้งหลายต่างก็ยืนอยู่ฝั่งนาง

“กู้ชูหน่วน คุณหนูรองก็แค่พูดความจริงเท่านั้น เดิมทีความน่าสงสัยของเยี่ยเฟิงก็มากอยู่แล้ว หรือว่านางพูดผิดอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่ หลังจากที่เยี่ยเฟิงหนีไปแล้วสามวัน ถึงตอนนี้แม้แต่เงาก็ยังไม่พบ หากเขาไม่ผิดจริง ทำไมเขาถึงไม่กล้าออกมาปรากฏตัวล่ะ”

“ก่อนหน้านี้เจ้าก็พูดเช่นกันว่าให้เวลาเจ้าสามวัน แต่เมื่อผ่านไปแล้วสามวัน เจ้าก็ยังหาคนร้ายไม่ได้และยอมให้พวกข้าจัดการกับเยี่ยเฟิง คำพูดเหล่านี้ หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”

“ความจำของกู้ชูหน่วนดีออกจะตายไป นางจะลืมได้อย่างไร นางเป็นคนไร้ยางอาย”

ในเสี้ยววินาที กู้ชูหน่วนกลายเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์สาธารณะ

แม้แต่อาจารย์สวีก็ไม่เข้าข้างนาง

ผู้เฒ่าเฉินพูดออกมา “เพิ่มกำลังคนออกไปและต้องหาตัวเยี่ยเฟิงให้เจอ”

กู้ชูอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่งที่จะพูดออกมา ผู้เฒ่าเฉินจึงถามว่า “เจ้าต้องการพูดอะไร พูดออกมาได้เลย”

กู้ชูอวิ๋นจ้องมองไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความกังวลและพูดตะกุกตะกัก

กู้ชูหน่วนก็อยากรู้ว่านางยังสามารถพูดอะไรออกมาได้อีก

“น้องสามพูดแทนเยี่ยเฟิงมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเยี่ยเฟิงให้นางกินยาเชื่อฟังอะไรเข้าไป หรือเพราะตกหลุมพรางอะไรของเยี่ยเฟิงทำให้เข้าข้างเยี่ยเฟิงเช่นนี้ ข้ารู้สึกเป็นห่วงน้องสามเหลือเกิน”

อาจารย์สวีครุ่นคิด

“คุณหนูสามคงไม่ได้ตกหลุมพรางของเยี่ยเฟิงหรอกใช่หรือไม่ ท่านผู้เฒ่าอู๋ ท่านมีความเชี่ยวชาญฝีมือการรักษาด้านฉีหวงไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นลองตรวจอาการให้คุณหนูสามเสียหน่อย อย่าทำให้คุณหนูสามเป็นอันตรายอะไรไปล่ะ”

“ส่งคนมาที่นี่ ล้อมคุณหนูสามเอาไว้”

กู้ชูหน่วนกลอกตาขาวใส่

นางยอมให้กับกู้ชูอวิ๋นเสียจริง

ตอนที่นางยกแขนเสื้อขึ้นและเตรียมเริ่มจะต่อสู้กับกู้ชูอวิ๋น แต่ภายนอกกลับมีคนตะโกนออกมาด้วยความตื่นตะหนก “เยี่ยเฟิงมาแล้ว คนร้ายที่ฆ่าคนมาแล้ว”

เมื่อหรี่ตาลงก็มองเห็นเยี่ยเฟิงในชุดสีขาวบริสุทธิ์เดินเข้ามาช้าๆ จากไม่ไกลนัก

ร่างของเขาดูสง่างาม ไร้ฝุ่นละออง ผมสีดำปลิวไสวตามสายลม ประกอบกับใบหน้าที่หล่อเหลายิ่งของเขานั้น เมื่อมองแวบแรกราวกับการเกิดใหม่ของเทพเจ้า ความงามนั้นช่างน่าทึ่ง

ทันทีที่เขาปรากฏตัว ผู้มีวิทยายุทธสูงส่งในสำนักศึกษาต่างพากันมาปิดล้อมเขาและจ้องมองมาที่เขาอย่างระมัดระวังราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

ท่านผู้เฒ่าฉางโมโหมาก “เจ้าคือเยี่ยเฟิงหรือ เจ้าฆ่าหัวหน้าสำนักศึกษาและอาจารย์หรงไปแล้วยังกล้ากลับมาอีกหรือ วันนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าจะต้องเอาชีวิตของเจ้ามาสังเวยให้กับหัวหน้าสำนักศึกษา ส่งคนมาที่นี่ จัดการเยี่ยเฟิงเดี๋ยวนี้”