ตอนที่ 349 กลับไปล้างตาซะด้วย
“ทำไมอะ พี่ป๋อ ผมยังเด็กอยู่นะ! ฉากนั้นมันสกปรกสุดๆ!”
“…”
เพียงแค่ป๋อจิ่งชวนขมวดคิ้วเข้าหากันเบาๆ อินรุ่นเจวี๋ยก็หุบปากสนิทตามสัญชาตญาณ นัยน์ตาเขากลอกกลิ้งไปมา แล้วจึงเดินปึงปังไปหยุดอยู่ข้างๆ นักข่าวคนหนึ่ง “มัวอึ้งอยู่ทำไม ข่าวฉาวแบบนี้ไม่เอารึไง!”
เป็นคำพูดที่ปลุกให้ตื่นจากภวังค์!
พวกนักข่าวพากันเบียดตัวเข้าไปในห้องนั้นปานฝูงผึ้ง ก่อนจะเข้าล้อมข้างเตียงเอาไว้แล้วรัวชัตเตอร์อย่างบ้าคลั่ง
หลังจากนั้นป๋อจิ่งชวนก็หมุนตัวมา ก่อนจะก้มลงไปหาเฉินฝานซิง นัยน์ตาสีดำขลับหลุบลงมองเธอแล้วเอ่ยถามขึ้น “เห็นแล้ว?”
เฉินฝานซิงเงยหน้าขึ้นตอบอย่างเคอะเขิน “เอ่อ…อืม…มันเลี่ยงยากน่ะ…”
“กลับไปล้างตาซะด้วย!”
“…”
–
“อ๊ายยย”
“ไสหัวออกไป!”
“ฉันบอกให้ไสหัวออกไปไง!”
ไม่นานเสียงหวีดแหลมด้วยความตื่นกลัวของหลินเฟยเฟยก็ดังขึ้นกลางห้อง!
เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องนั้น เฉินเชียนโหรวที่พิงกำแพงอยู่ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว ก่อนจะทิ้งร่างอ่อนปวกเปียกของตัวเองลงไปในอ้อมแขนของซูเหิง
“พี่เหิง ฉันเหนื่อย ฉันอยากพัก พาฉันกลับไปพักทีได้ไหม”
สองแขนของซูเหิงจับไหล่ของเธอไว้แน่น ใบหน้าหล่อตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว นิ้วทั้งสิบจิกลงไปยังเนื้อและกระดูกของเธอ
“พี่เหิง ฉันเจ็บ…”
เฉินเชียนโหรวนิ่วหน้า เสียงนุ่มร้องท้วงขึ้นอย่างเจ็บปวด
ซูเหิงก้มลงมองเธอ สายตาคมคู่นั้นแทบจะแทงทะลุร่างของเธอได้ทั้งร่าง
หัวใจเธอพลันกระตุกวูบ เธอกอดเขาไว้แน่นแล้วพูดขึ้นอย่างลนลาน “พี่เหิง พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนดีไหม ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว…”
–
บรรดานักข่าวเข้ามารายล้อมตัวเธอเอาไว้
“ขอถามหน่อยครับคุณหนูเฉิน ในเมื่อเฉินหยินเซินกับหลินเฟยเฟยอยู่ด้วยกัน แล้วทำไมคุณถึงยังจะมาเคาะห้องของเฉินฝานซิงพี่สาวคุณอีก”
เจ้าของใบหน้าซีดเซียวส่ายหน้าปฏิเสธ
“ฉันไม่รู้ค่ะ ตอนนั้นเฟยเฟยบอกฉันจริงๆ! ฉันกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่…”
“แต่ตามที่ฉีเหยาเหยาพูดเมื่อกี้ เธอเห็นเฉินหยินเซินเข้าไปในห้องเฉินฝานซิง เห็นได้ชัดว่าเธอโกหก เพราะทั้งๆ ที่เธอเห็นเขาไม่ชัดแท้ๆ! แต่ว่าสูทตัวสีเทา เสื้อสีควันบุหรี่ของเขา เธอกลับบรรยายมันออกมาได้อย่างละเอียดแม่นยำ ขอถามหน่อยครับ เรื่องนี้คุณวางแผนไว้ก่อนหน้าแล้วใช่ไหมครับ หรือจะพูดอีกอย่างว่า คุณเคยเจอกับเฉินหยินเซินมาก่อนหน้านี้แล้วถูกไหม?”
ราวกับว่าตอนนี้นักข่าวทุกคนได้สวมบทเป็นนักสืบ ช่องโหว่มีมากเกินไป ทุกๆ คำถามเป็นดังมีดที่เสียบลงมาบนร่างของเธอทีละเล่มๆ
เฉินเชียนโหรวทำได้เพียงส่ายหน้าอันซีดเซียวนั้นไปมา “ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น!”
“ในเมื่อเมื่อกี้คุณบอกว่าหลินเฟยเฟยเป็นคนวางแผนทั้งหมด แล้วทำไมเธอถึงจัดฉากให้เธอกับเฉินหยินเซินอยู่ด้วยกันล่ะคะ”
“ฉันไม่รู้…เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ฉันเองก็สับสนไปหมด…ฉันไม่รู้ว่าเฟยเฟยทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่ เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน แต่กลับหลอกให้ฉันทำร้ายพี่สาวตัวเอง…”
เฉินฝานซิงยืนอยู่ข้างๆ มองเฉินเชียนโหรวที่กำลังเผชิญศึกหนัก ก่อนจะยกยิ้มเย็นขึ้น
“เฉินเชียนโหรว!” เสียงแหลมแสบแก้วหูดังขึ้น ตามมาด้วยร่างบางที่กระโจนออกมาจากห้อง!
เฉินเชียนโหรวมีสีหน้าตกใจ “เฟยเฟย…”
หลินเฟยเฟยคว้าหมับเข้าที่ชุดของเฉินเชียนโหรว แผดเสียงแหลมถามเธอด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“บอกฉันมานะว่าทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้! ทำไมเฉินหยินเซินถึงมาอยู่ในห้องฉันล่ะ! เขาควรจะไปอยู่ในห้องฝานซิงไม่ใช่เหรอ! ทำไมเขาถึงมาอยู่ในห้องฉันได้!”
ตอนที่ 350 ขัดขา
“บอกฉันมานะ ว่าทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้! ทำไมเฉินหยินเซินถึงมาอยู่ในห้องฉัน! เขาควรจะไปอยู่ในห้องฝานซิงไม่ใช่เหรอ! ทำไมเขาถึงมาอยู่ในห้องของฉันได้!”
“เฟยเฟย…เธอกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ…” เฉินเชียนโหรวถามกลับอย่างหัวเสีย!
แค่ได้ยินเพียงเท่านั้น ก็ดูเหมือนว่าในตอนนี้ทุกคนตรงนั้นจะปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างขึ้นมาได้
แม้ว่าจะมีช่องโหว่อยู่มาก แต่เพียงแค่โยงทั้งหมดเข้าหาเฉินเชียนโหรว ทุกอย่างมันก็มีคำตอบ!
และทุกท่าทางของหลินเฟยเฟยในตอนนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี ว่าเรื่องนี้เฉินเชียนโหรวมีเอี่ยวตั้งแต่แรกแล้ว!
เรื่องในคืนนี้ พวกเขารู้แล้วว่าพรุ่งนี้จะต้องเขียนข่าวว่าอย่างไร
แต่ยังมีเรื่องหนึ่งที่ยังคาใจอยู่…
“ขอถามหน่อยค่ะคุณหลินเฟยเฟย เรื่องที่เฉินหยินเซินใส่ร้ายคุณหนูใหญ่ว่าไปยั่วยวนเขาเมื่อหกปีก่อนคุณมีส่วนรู้เห็นมากน้อยแค่ไหนคะ”
หลินเฟยเฟยขยุ้มเสื้อที่คลุมร่างของเธอเอาไว้แน่นพร้อมตอบกลับเสียงเขียว “ใส่ร้ายอะไร! ก็เฉินฝานซิงให้ท่าเฉินหยินเซินจริงๆ นี่!”
“งั้นขอถามหน่อยค่ะว่าอะไรทำให้คุณมั่นใจแบบนั้น”
“ก็เมื่อหกปีก่อนเขาก็ลงข่าวกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ จะไม่ให้ฉันแน่ใจได้ยังไง เพราะเธออยากได้รางวัลชนะเลิศเลยไปให้ท่ากรรมการ มันก็ดูสมเหตุสมผลดีอยู่แล้วนี่ พวกเธอจะสงสัยอะไรนักหนา!”
ทว่าในตอนนั้นเอง คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชนแออัด พวกเขาก็คือเจียงหรงหรงและพวกเฉินเต๋อฝาน
“คุณย่า…” เมื่อเห็นเจียงหรงหรง เฉินเชียนโหรวก็ไม่ได้ดีใจอย่างที่คิดเอาไว้ ทั้งยังทำให้เธอเครียดหนักกว่าเก่า
เฉินเชียนโหรวร้องเรียกเจียงหรงหรงออกไปแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากผู้เป็นย่าแม้แต่น้อย เธอปรี่ไปหยุดลงตรงหน้าเฉินฝานซิงก่อนจะง้างมือตบลงไปบนหน้าของหลานสาวคนโตไปหนึ่งฉาด!
ดูเหมือนจะเป็นตบที่หนักหน่วง แต่ในความเป็นจริง ปฏิกิริยาของเฉินฝานซิงนั้นเร็วมาก เธอหันหน้าหลบไปก่อนที่ฝ่ามือนั้นจะฟาดลงมา ทำให้ผ่อนน้ำหนักจากฝ่ามือนั้นไปได้ไม่น้อย
ไม่มีใครคิดว่าหญิงชราจะกล้าถึงขนาดนี้ เธอไม่พูดอะไรสักคำก็เดินไปตบแล้ว!
“สารเลว! แกกะจะไม่เหลือหน้าไว้ให้สกุลเฉินไปสู้หน้าใครเลยใช่ไหม! ตั้งหกปีแล้ว ยังจะไม่เลิกมั่วกับผู้ชายคนนั้นอีก! ถ้าขาดผู้ชายแกจะตายขึ้นมารึไง!”
สิ้นคำนั้น ทุกคนต่างชะงักกันไปตามๆ กัน
นี่นะหรือคำที่ผู้อาวุโสใช้พูดกับลูกกับหลาน?
อีกอย่าง ดูเหมือนหญิงแก่คนนี้ยังไม่เข้าใจสถานการณ์เลยด้วยซ้ำ!
เฉินฝานซิงหรี่ตามองเธออย่างเยือกเย็น ความหนาวเหน็บโหมกระหน่ำขึ้นในดวงตาคู่นั้น
“เฉินเชียนโหรวโทรฟ้องคุณ?”
เจียงหรงหรงเค้นขำเสียงเย็น “ถ้าใช่แล้วจะทำไม หรือทำเรื่องขายหน้าไว้แล้วไม่อยากให้ใครรู้!”
เฉินฝานซิงหัวเราะตอบเสียงเย็นไม่แพ้กัน “ฉันก็รู้ตัวอยู่ว่าฉันไปขัดขาเธอ”
“ขัดขาหมายความว่าไง แกก่อเรื่องคาวๆ นี่ เอาไว้เองแท้ๆ หรือจะบอกว่าเชียนโหรวไปบังคับให้แกทำรึไง!” เฉินเต๋อฝานเองก็ตวาดใส่เธออย่างแค้นเคือง!
หยางลี่เวยเองก็ไม่น้อยหน้า เธอเอ่ยขึ้นอย่างตักเตือนด้วยความหวังดี “ฝานซิง เธอนี่จริงๆ เลยนะ รู้ๆ อยู่ว่าเรื่องวันนั้นมันมีผลกระทบมากแค่ไหน ทำไมยังจะไปมาหาสู่กับเขา…”
“แล้วไงล่ะ วันนี้พวกคุณมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไร เพราะว่าฉันทำพวกคุณขายหน้า คุณก็เลยรีบมาเพื่อสั่งสอนฉัน?”
เจียงหรงหรงจ้องเธอเขม็ง ก่อนจะกระชากเสียงตอบ “ฉันบอกให้แกไปต่างประเทศตั้งนานแล้ว แกก็ยังจะขัดใจฉัน ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นมาขนาดนี้ แกยังมีหน้าจะอยู่ที่นี่อีกเหรอ รีบไสหัวแกไปอยู่ต่างประเทศซะ! สกุลเฉินยอมรับความอัปยศนี้ไว้ไม่ได้!”
“เจียงหรงหรง ปัญหาที่ฉันไม่ได้เป็นคนก่อ ฉันไม่อายหรอกนะ ว่าแต่คุณเถอะ คุณไม่รู้สึกเหมือนว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเล่นตลกอยู่รึไง”
เจียงหรงหรงตีหน้าขรึม หันมองไปรอบๆ ก็พบว่าตอนนี้ในสายตาทุกคู่ที่มองมายังพวกเธอนั้นมีเพียงความเหยียดหยาม
เธอตีคิ้วขมวด ก่อนจะหันมองเฉินเชียนโหรว “โหรวเอ๋อร์[1] นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ลูก”
เฉินเชียนโหรวใบหน้าซีดจัด เธอหนีเข้าไปหลบอยู่ในอ้อมแขนของซูเหิง
[1]เอ๋อร์ หรือเขียนเป็นอักษรจีนว่า“儿”จะถูกนำไปวางไว้ท้ายชื่อของคู่สนทนาเพื่อแสดงถึงความรักใคร่เอ็นดู