บทที่ 209: ความผิดของผู้หญิง ที่ผู้ชายต้องรับเคราะห์

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 209: ความผิดของผู้หญิง ที่ผู้ชายต้องรับเคราะห์

ภายในห้องน้ำเต็มไปด้วยไอน้ำอันคลุมเครือ โรเอลเอนตัวลงพิงที่มุมของอ่างน้ำขนาดใหญ่ จ้องมองไปยังที่โคมไฟอันหรูหราเหนือหัวด้วยความงุนงง ครู่ต่อมาเด็กชายก็หายใจออกยาว ๆ แล้วก้มศีรษะลง

“…”

ยังไม่ดีขึ้นสินะ เห็นทีคงต้องอาบน้ำนานกว่านี้อีกสักหน่อย

“เฮ้อ ”

เด็กชายถอนหายใจยาวพลางตักน้ำขึ้นมาสาดใส่ตัวเอง หวังว่าจะทำให้หัวที่กำลังร้อนจัดของเขาเย็นลง ทว่า มันแทบไม่ได้ผลอะไรเลย

ความรู้สึกของโรเอลในตอนนี้ยุ่งเหยิงมาก ด้วยพลังชีวิตที่มากเกินไปกำลังอาละวาดอยู่ภายในร่างกายของเขา ทำให้เด็กชายรู้สึกเหมือนเป็นคนที่ดื่มไวน์เข้าไปจนหมดถัง เขามีพลังงานเหลือเฟือเกินกว่าจะรู้ว่าตัวเองควรทำอะไร

เมื่อมองลงไปยังร่างของตัวเองที่กลายเป็นสีชมพูอ่อนราวกับปูสดที่ออกมาจากเตานึ่ง โรเอลก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน

ตอนนั้น เพื่อที่จะฟื้นตัวจากอาการป่วยรุนแรงที่เกิดจากการขาดพลังชีวิต โรเอลได้รับการรักษาแบบพิเศษจากอลิเซีย ตามคำแนะนำของแอนดรูว์ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้ว่าพวกเขาจะเลือกวิธีการถ่ายเทของเหลวในร่างกายที่ควบคุมปริมาณพลังชีวิตได้ง่าย แต่เด็กชายก็ยังลงเอยด้วยการมีพลังชีวิตเกินขนาดอย่างรุนแรง

ตอนแรกโรเอลตั้งใจที่จะเก็บน้ำตาของอลิเซียมาใช้ในการรักษา แต่เนื่องจากถูกปฏิเสธอย่างรุนแรงจากเด็กสาว พวกเขาจึงลงเอยด้วยการ ‘ป้อนไวน์’ ที่ค่อนข้างแปลก ๆ แทน วิธีนี้น่าจะง่ายกว่ามากในการควบคุมปริมาณพลังชีวิต แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ เขาก็ยังลงเอยด้วยสภาพนี้

จนถึงตอนนี้ โรเอลก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าตนเองอยู่ในสถานะปัจจุบันได้อย่างไร ท้ายที่สุดเขาจึงทำได้เพียงแค่ สรุปว่าพลังชีวิตที่ตนได้รับจากอลิเซียนั้นทำปฏิกิริยากับไวน์พาเมล่า ส่งผลให้ผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คิดไว้

โรเอลรู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังถูกความร้อนกลืนกินไปทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่นอร่าและสาว ๆ คนอื่น ๆ มาอยู่ใกล้ เด็กชายจึงต้องหลบหนีจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว และพยายามทำให้ตัวเองเย็นลงในอ่างน้ำแข็ง

ด้วยเหตุผลบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ เขารู้สึกว่าสาว ๆ ดูไม่เต็มใจเท่าไหร่ที่จะให้เขาได้สติกลับมารู้สึกตัว ด้วยสีหน้าไม่พอใจของพวกเธอเมื่อเห็นคนรับใช้ส่งถุงน้ำแข็งมาให้เขา แต่เด็กชายไม่ได้มีเวลามากมายให้คิดลึกลงไปเกี่ยวกับเรื่องนั้น เพราะมีปัญหาที่ใหญ่กว่ากำลังรอเขาอยู่

ประมาณสิบนาทีหลังจากที่เด็กสาวทั้งสามปะทะกัน คาร์เตอร์และบรูซก็มาถึงที่เกิดเหตุพร้อมกับแอนดรูว์และบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองโรซ่าอีกสองสามคน เมื่อบิดาทั้งสองเห็นประตูที่ลอยไปติดอยู่บนเพดาน เช่นเดียวกับรูขนาดใหญ่ที่เกิดจากการปรากฏตัวของกรันด้า พวกเขาก็หันไปมองหน้ากันในทันที

ดูเหมือนว่าการแทรกแซงเพื่อปกปิดหลักฐานของโรเอลจะประสบความสำเร็จ การปรากฏตัวของกรันด้า ทำให้ ‘ที่เกิดเหตุ’ ยุ่งเหยิงจนผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูง ไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ระหว่างที่ทุกคนกำลังพยายามทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โรเอลก็ก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อรับโทษ

“ท่านพ่อ ลุงบรูซ ผมได้รับพลังชีวิตมากเกินไปจากการรักษาอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ ทำให้การควบคุมพลังเวทของผมผิดเพี้ยน เกิดเป็นเหตุวุ่นวายขึ้นที่นี่ โชคดีที่อลิเซีย นอร่า และชาร์ล็อต เข้ามาหยุดผมเอาไว้ ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาอาจจะเลวร้ายกว่านี้มากครับ”

น้ำเสียงขอโทษของโรเอล ทำให้คาร์เตอร์และบรูซครุ่นคิดอย่างจริงจัง ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะเหลือบมองเด็กสาวสามคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องใช้ความพยายามมากเท่าไหร่เลยในการคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ

อา ดูเหมือนว่าลูกของเราจะโตขึ้นมาก เธอรู้จักที่จะต่อสู้เพื่อผู้ชายของตัวเองแล้ว

ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นภายในใจของบิดาทั้งสอง ทำให้พวกเขารู้สึกโหยหาเล็กน้อย บรูซมองดูโรเอลที่กำลังก้มหัวขอโทษอีกครั้ง และเข้าใจได้ในทันทีว่าเขากำลังพยายามจะทำอะไร

พูดง่าย ๆ ก็คือ โรเอลกำลังแสดงให้พวกเขาเห็นวิธีที่จะคลี่คลายสถานการณ์ ถึงขั้นยอมทำลาย ‘ที่เกิดเหตุ’ เพื่อที่ตนจะได้รับความผิดเพียงผู้เดียว เป็นเรื่องที่หาได้ยากมากที่จะเห็นเด็กอายุเท่าเขาสามารถคิดวิธีรับมือกับสถานการณ์อย่างดีเช่นนี้ได้ ทำให้บรูซเลือกที่จะไม่ทวงถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อ แต่ให้ความร่วมมือกับโรเอลอย่างเต็มที่

“เข้าใจแล้ว มันเป็นเหตุสุดวิสัยสินะ โชคดีแล้วที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ”

ด้วยคำพูดเหล่านั้น บรูซก็ได้ปรับบริบทของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กลายเป็นเพียง ‘เหตุสุดวิสัย’ เขาก้าวออกไปข้างหน้าจับมือของโรเอลที่กำลังก้มหัวขอโทษและปลอบโยนเขา

ความเจ็บป่วยเป็นข้อแก้ตัวที่สมบูรณ์แบบในเหตุที่เกิดขึ้นนี้ เพราะยังไงซะโรเอลก็ยังมีสถานะเป็นผู้ป่วย ดังนั้นความผิดพลาดใด ๆ ก็ตามที่เขาก่อ จึงไม่ถือว่าเกิดจากความตั้งใจของเขาเอง

ที่เสียหายก็แค่หลังคา! นั่นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ไม่ใช่รึไง?

ตามที่คาด สมกับเป็นผู้นำตระกูลพ่อค้า บรูซมีทักษะอันยอดเยี่ยมในการใช้คำพูด ทั้งคาร์เตอร์และโรเอลต่างรู้สึกสบายใจกับสิ่งที่เขาพูดอธิบาย บรรยากาศในห้องเริ่มสงบกลมกลืนกัน ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงคนอื่น ๆ เองก็เลือกที่จะไหลตามน้ำอย่างชาญฉลาด

หลังจาก ‘การแลกเปลี่ยนความเห็นอกเห็นใจ’ มากมาย โรเอลที่เสร็จสิ้นภารกิจก็ได้แยกออกไปเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเย็น ในที่สุดเขาก็มีเวลาให้ตัวเองเสียที ทำให้เด็กชายได้หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา

“กรันด้า นายอยู่รึเปล่า?”

“ข้ายังอยู่ดี”

เสียงอันทุ้มหนักและแหบแห้งเล็กน้อยดังก้องอยู่ในหูของโรเอล หลังจากนั้น พลังเวทสีแดงเข้มก็พุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศ สร้างร่างของโครงกระดูกเล็ก ๆ ปรากฏออกมาข้างหน้าเขา โรเอลถอนหายใจอย่างโล่งใจ เมื่อได้เห็นโครงกระดูกนี้ จากนั้นก็เริ่มเปล่งคำถามที่เก็บกดเอาไว้ในใจออกมา

“ฉันฝันว่า…”

ขณะที่กำลังแช่ในอ่างน้ำเย็น โรเอลก็เริ่มอธิบายให้โครงกระดูกฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น กรันด้า ฟังเรื่องราวของเด็กชายอย่างสงบ โดยแทบจะไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย แต่เมื่อโรเอลบอกว่าเขาได้รับความสนใจจากดวงตาคู่หนึ่ง แสงสว่างในดวงตาของโครงกระดูกก็หรี่ลงเล็กน้อย

“… นั่นอาจจะเป็นปัญหาได้”

ทันทีที่กรันด้าแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ โรเอลอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความกลัว เขาได้รับการช่วยเหลือจากกรันด้ามาหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็มักจะอธิบาย ภัยคุกคามส่วนมากที่เขาเผชิญว่า “เล็กน้อย” และ “เล็ก” อยู่เสมอ ๆ ราวกับว่าไม่มีอะไรใหญ่เกินกว่าที่เขาจะรับมือได้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่กรันด้าบรรยายว่า ‘เป็นปัญหา’ จริงๆ

“เจ้าของดวงตาคู่นั้นทรงพลังมากงั้นเหรอ?”

“ข้าไม่รู้ การเชื่อมต่อระหว่างพวกเราถูกตัดขาดในตอนที่เจ้ามีความฝันนั้น ดังนั้นข้าจึงไม่รู้สึกอะไรเลย อย่างไรก็ตามความสามารถที่เจ้าดูดซับมาจากสัตว์ประหลาดตัวนั้นมันทรงพลังโดยแท้จริง หากสัตว์ประหลาดตัวนั้นเป็นทูตของมารดาแห่งเทพธิดาจริง ๆ ล่ะก็ เป็นไปได้ว่าพลังของเธอนั้นอาจจะทรงพลังเกินกว่าที่พวกเราจะจินตนาการได้”

“กรันด้า นายไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมารดาแห่งเทพธิดาในสมัยของนายเลยเหรอ?”

“ก็อาจจะเคยได้ยินมาบ้าง แต่เป็นเพราะความทรงจำของข้าว่างเปล่า ข้าจึงลืมหลายสิ่งหลายอย่างในอดีตไป นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดอีกมากมายในชีวิตของข้าที่ตัวข้าเองก็ลืมเลือนไปเช่นกัน”

กรันด้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ

“ดูเหมือนว่า มันถึงเวลาที่จะต้องหาผู้ใต้บังคับบัญชาให้กับเจ้าแล้ว”