“พูดง่ายสิ!” หวางฮูหยินเครียดจนแทบพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงหันไปตวาดบ่าวไพร่ “ยังไม่รีบพาคุณหนูสามไปอีก! กลับจวนได้แล้ว!”
ทุกคนพลันรับคำผัวจื่ออุ้มเหยาเชวี่ยหวาเดินไปด้านหน้าตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว
หวางฮูหยินชำเลืองมองชุ่ยเวยเพียงพริบตาเดียวแล้วเอ่ยถาม “คุณหนูรองล่ะ”
“ตอนแรกคุณหนูรองบอกว่าจะไปเด็ดดอกแปะเจียก บ่าวเดินวนหาหนึ่งรอบแต่ก็ไม่เจอเลยกลับไปเรียกฮูหยิน…” ชุ่ยเวยตอบกลับอย่างหวาดผวา
“ยังไม่รีบสั่งให้คนไปตามหาอีก!” หวางฮูหยินโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
“ฮูหยินตามหาข้าอยู่หรือ” เหยาเยี่ยนอวี่เดินมาจากทางแยกด้านข้าง ขณะที่ในมือถือดอกแปะเจียกขาวไว้หนึ่งช่อ
หวางฮูหยินเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ปลอดภัยจึงอดถอนหายใจและก่นด่าไม่ได้ “ที่นี่ไม่ใช่จวนของตน เหตุใดถึงได้เดินเพ่นพ่าน”
“ฮูหยินสั่งสอนได้ถูกเจ้าค่ะ เหตุเพราะน้องสามบอกว่าดอกแปะเจียกกำลังผลิบานและยังมีดอกที่ยังไม่ได้เบ่นบาน ข้าเลยอยากจะเด็ดกลับไปชงเป็นชา…” เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวขึ้น สายตาจับจ้องไปยังเหล่าผัวจื่อที่อยู่ด้านหลังหวางฮูหยิน เห็นเหยาเชวี่ยหวาที่ถูกผัวจื่อคนหนึ่งอุ้มจึงแสดงทีท่ากระวนกระวายใจขึ้นมาทันที “น้องสามเป็นอะไรไป”
หวางฮูหยินแค่นเสียง ‘เหอะ’ อย่างโกรธเคืองพร้อมเอ่ยขึ้น “มีอะไรค่อยกลับไปพูดที่จวน!”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่กล้ามากความ แค่ค้อมตัวรับคำ “เจ้าค่ะ”
หวางฮูหยินพาเหยาเยี่ยนอวี่และเหล่าบ่าวไพร่ออกไปด้านนอกทันที สีหน้าบูดบึ้งอย่างไม่เคยมีมาก่อน
จิ้งหนานปั๋วฮูหยินตามอยู่ด้านหลัง สีหน้าก็ไม่ได้ดูดีเลย แค่ตอนที่ออกจากสวนก็หันหลังพลางสั่งการ “ขังเจ้าคนไม่รู้จักโตไว้เดี๋ยวนี้!”
ผัวจื่อสองคนรับคำแล้วลากตัวซ่งเหยียนชิงไปยังเรือนด้านข้าง
ตลอดทางที่ออกจากประตูจวนจนขึ้นรถม้าจากไป หวางฮูหยินไม่ได้พูดอะไรกับจิ้นหนานปั๋วฮูหยินแม้แต่คำเดียว
เหยาเยี่ยนอวี่พาชุ่ยเวยและชุ่ยผิงขึ้นรถม้าของตน เหยาเชวี่ยหวาถูกผัวจื่ออุ้มขึ้นไปบนรถม้าอีกคัน
“ฟู่…” ชุ่ยเวยสะบัดมือ เมื่อครู่ตบคนได้หนำใจยิ่งนัก เวลานี้เพิ่งจะรู้สึกเจ็บมืออย่างมาก
ชุ่ยผิงคลี่ยิ้มพลางถามด้วยเสียงค่อย “ตบได้สาสมใจเลยใช่ไหม”
“สาสมใจมากนัก!” ชุ่ยเวยเม้มปากยิ้ม
“เพล้ง” ดังขึ้นอย่างชัดเจน เหยาหย่วนจือขว้างถ้วยชาลงบนพื้นอย่างแรงจนเครื่องเคลือบหรูแตกเป็นเสี่ยงๆ และกระจายไปทั่วพื้น เศษเครื่องเคลือบเล็กๆ กระเด็นไปโดนขาโต๊ะด้านข้างจนทำให้ขาโต๊ะไม้ประดู่เป็นรอย
“ไปจับตัวเจ้าสัตว์เดรัจฉานมานี่!” เหยาหย่วนจือตบโต๊ะอย่างแรง “ข้าจะฆ่ามัน!”
ความเกลียดชังที่บุตรีถูกเหยียดหยามไม่ได้เป็นเรื่องเล็ก เหยาหย่วนจือดำรงอยู่ในตระกูลปัญญาชนที่มากการศึกษาจึงยิ่งเคียดแค้นและปวดใจอย่างมากกับเรื่องเช่นนี้
หวางฮูหยินนั่งอยู่ด้านข้างพลางก้มหน้าร่ำไห้ เหยาเหยียนเอินและเหยาเหยียนอี้ต่างโมโหจนหน้าแดงยิ่งกว่าก้นหม้อ
กลับเกิดเรื่องเช่นนี้! เกียรติและศักดิ์ศรีของตระกูลถูกคนเหยียดหยามจนจมดินแล้ว
“ไป!” เหยาหย่วนจือสั่งการบุตรชายสองคนอย่างเด็ดขาด
“ท่านพ่อใจเย็นเสียก่อน” เหยาเหยียนเอินเกิดเป็นบุตรชายคนโต ตอนที่บิดาโมโหจนขาดสติ เขาก็ยิ่งรู้ว่าตนต้องยั้งคิด เขาแทบอยากจะบีบคอซ่งเหยียนชิงให้ตายคามือ ทว่าหากลอบทำร้ายคนๆ หนึ่งให้ตายก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หากทำให้เรื่องมันบานปลายขึ้นมา ผู้ที่จะอับอายที่สุดก็คือตระกูลเหยา คงไม่คุ้มค่าที่จะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเหยาต้องป่นปี้เพราะสัตว์เดรัจฉานคนหนึ่ง
“เจ้าคนสารเลว!” เหยาหย่วนจือกัดฟันกรอด
ผัวจื่อคนหนึ่งจึงมาส่งสารตรงประตู “นายท่านเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ”
เกิดเรื่องเช่นนี้ ภายในใจของเหยาหย่วนจืออยากจุดไฟเผาจวนตระกูลซ่งเจียนใจจะขาด ทว่าต่อให้เหยาหย่วนจือจะเกลียดชังมากเพียงใดนั่นก็คือตระกูลผู้ให้กำเนิดฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ดี
หลังจากแค่นเสียงหนัก ใต้เท้าเหยาก็เหยียดกายลุกขึ้นเดินออกไป
หวางฮูหยินถอนหายใจยาวๆ แล้วสั่งการสองพี่น้องเหยาเหยียนเอิน “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
เหยาเหยียนเอินพลันเกลี้ยกล่อมขึ้น “ท่านแม่อย่าคิดมาก เรื่องนี้ต้องมีทางออกขอรับ”
“ข้ารู้!” หวางฮูหยินถอนหายใจอีกครั้งพร้อมส่ายหัวพลางลุกขึ้นและเดินจากไป
เหยาเหยียนอี้พูดขึ้นอย่างโมโห “ข้าว่าแล้ว ไอ้สารเลวนี่ต้องสร้างเรื่องแน่นอน บอกแล้วว่าอย่าให้คนในจวนไปสุงสิงกับเขาบ่อยๆ! วันนี้ทำอย่างไรดีล่ะ”
เหยาเหยียนเอินหันไปตวาดใส่ “เจ้าพูดน้อยๆ หน่อยได้ไหม”
“พอเถอะ!” หวางฮูหยินผายมือ “พวกเจ้ากลับไปเถอะ เรื่องที่สำคัญในตอนนี้คือให้บ่าวไพร่ปิดปากเงียบ! ใครกล้าแพร่างพรายออกมาโบยให้ตายสถานเดียว”
“ท่านแม่วางใจเถอะขอรับ ลูกได้ออกคำสั่งไปแล้ว” เหยาเหยียนเอินพยุงหวางฮูหยินพลางส่งนางเข้าไปในเรือน
ผัวจื่อคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ พอเห็นในเรือนมีเพียงสองพี่น้องเหยาเหยียนเอินจึงค้อมตัวขานเรียก “คุณชายใหญ่เจ้าคะ คุณชายรองเจ้าคะ”
เหยาเหยียนเอินเอ่ยถามอย่างไม่เป็นมิตร “ทำท่าทางลุกลี้ลุกลนอยู่นั่นแหละ?!”
ผัวจื่อคนนั้นพลันเอาผ้าเช็ดหน้าสีไม้ไผ่แล้วพูดขึ้น “เรียนคุณชาย ผ้าผืนนี้ได้ค้นบนเรือนร่างของจื่อหลิง นี่ไม่ใช่สิ่งของของตระกูลเหยา ผ้าผืนนี้มาจากด้านนอก เหล่าคุณหนูและสะใภ้ในจวนต่างก็ไม่มีเจ้าค่ะ อีกทั้ง…ทางบ่าวก็ได้เรียกคนมาตรวจดูแล้ว ผ้าผืนนี้ยังมียาปลุกกำหนัดปะปนอยู่ แม้จะถูกน้ำล้างไปแล้วทว่าก็ยังมีฤทธิ์ของยาอยู่เจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!” เหยาเหยียนเอินเดือดเลือดพล่าน “ไปลากตัวจื่อหลิงมาไต่สวน!”
เหยาเหยียนอี้ตวาดอย่างโมโห “เป็นเช่นนี้นี่เอง! เจ้าคนสารเลวนี่คงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!”
ตอนเหยาเชวี่ยหวาฟื้นขึ้นมา ในเรือนเงียบสงัดไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว หลังจากที่เห็นมุ้งที่ปกคลุมเตียงของตนอย่างชัดเจน นางจึงเหยียดกายนั่งพร้อมตะโกนอย่างใจร้อน “จื่อหลิง?!”
หมัวมัวคนหนึ่งได้ยินจึงเข้ามาพร้อมพูดด้วยเสียงเรียบ “คุณหนูฟื้นแล้ว? ฮูหยินมีเรื่องจะเอ่ยถามจื่อหลิง คุณหนูสลบไปครึ่งวัน รู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้างเจ้าคะ ให้เชิญหมอมาจับชีพจรให้คุณหนูหน่อยไหมเจ้าคะ”
เหยาเชวี่ยหวาพลันกระวนกระวายใจที่ไม่เจอหน้าจื่อหลิงจึงเบิกตาพลางเอ่ยถาม “ฮูหยินมีเรื่องอะไรกับนาง ข้ามา…อยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“คุณหนูดื่มสุราจนมึนเมาในจวนจิ้นหนานปั๋วจึงหลับไปเจ้าค่ะ” หมัวมัวคนนี้เป็นคนสนิทของหวางฮูหยิน แน่นอนว่าต้องรู้ดีในความรุนแรงของเรื่องนี้ แค่ปลอบโยนเหยาเชวี่ยหวา “ตอนนี้ไม่เป็นเช่นแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูอย่ากลัวเลยเจ้าค่ะ”
“เมาสุรา?” เหยาเชวี่ยหวาเอ่ยถามอย่างแปลกใจพลันพูดอย่างโมโห “เมาสุราอะไร! ชุ่ยผิงเป็นคน…”
“น้องสาวฟื้นแล้วหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่เลิกม่านเข้ามา นางยังคงอยู่ในชุดที่ออกจวนเมื่อเช้านี้ เดินมาตรงหน้าเหยาเชวี่ยหวาพร้อมมองนางอย่างสงบนิ่ง “น้องสามเจ้าเป็นไรบ้างแล้ว ยังเวียนหัวอยู่หรือไม่”
ผัวจื่อเห็นเหยาเยี่ยนอวี่พลันค้อมตัวพูดขึ้น “เชิญคุณหนูรองอยู่กับคุณหนูสามสักครู่ บ่าวจะไปดูยาต้มของคุณหนูสามว่าเป็นอย่างไรแล้วเจ้าค่ะ”
“หมัวมัวไปเถอะ ข้าจะดูแลน้องสามเอง” เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มพร้อมนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเตียง
เหยาเชวี่ยหวามองรอยยิ้มบนดวงหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่จึงถอยไปด้านหลังพลางเอ่ยถาม “พี่รองเกิดเรื่อง…อะไรขึ้นกันแน่”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงอะไร อ้อ…ใช่แล้ว ข้าอาจมีเรื่องต้องแสดงความยินดีกับเจ้า”