ตอนที่ 107-4 ท่านสามชิงตัดหน้า

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่านหญิงหย่งจยาหลังจากออกเดินทางตามเสด็จ วันนี้นางสวมชุดผ้าไหมสีบานเย็น เสื้อตัวสั้นลายสร้อยมุกและทองร้อยเรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมสมปรารถนา กับกระโปรงอัดจีบธรรมดา ดูไร้เดียงสาและอ่อนหวานกว่าวันที่เจอกันในสนามม้ามาก พอนางเห็นลวี่สุ่ยร้องไห้อย่างน่าเวทนา ก็มิได้หลีกหนี กลับบอกให้ผู้คุมผู้ต้องสงสัยอะลุ่มอล่วยให้สักพัก ปลดตรวนที่เท้าของลวี่สุ่ยออกชั่วคราว

 

 

ผู้คุมรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของท่านหญิงหย่งจยาดี จึงรีบเอาอกเอาใจนาง

 

 

ลวี่สุ่ยเข้ากอดขาท่านหญิงหย่งจยา พลางร้องไห้ไปพูดไป

 

 

“ท่านหญิง คุณหนูของบ่าวหัวแตกเลือดอาบ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น ระหว่างเดินทาง นอกจากกินอยู่ไม่สะดวกแล้ว หมอสักคนก็ไม่มี ไม่รู้ว่าจะรอดชีวิตหรือไม่ นางถูกให้ร้าย ท่านต้องช่วยนางนะเจ้าคะ…”

 

 

พอท่านหญิงหย่งจยาได้ยินคำตัดพ้อของลวี่สุ่ย ก็ทอดถอนใจ บอกให้เฉี่ยวเย่ว์ล้วงใบไม้ทองที่อยู่ในกระเป๋าแขนเสื้อออกมาสองสามใบ มอบให้ผู้คุม แล้วว่า

 

 

“ระหว่างทาง เจ้าดูแลนางให้ดีๆ”

 

 

เมื่อเกิดเรื่องขึ้น คุณหนูท่านอื่นๆ ที่เคยประจบสอพลอคุณหนูตนรวมทั้งญาติผู้พี่ ต่างก็หลบลี้หนีหาย ลวี่สุ่ยจึงคิดว่าท่านหญิงหย่งจยาก็คงเป็นไปกับเขาด้วยเช่นกัน คิดไม่ถึงว่านางจะมีความเป็นธรรมเช่นนี้ จึงโขกศีรษะ แล้วว่า

 

 

“ขอบคุณท่านหญิงที่เมตตาปรานี คุณหนูของบ่าวคบคนไม่ผิด ท่านหญิงเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ!”

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาประคองนางขึ้น ก่อนพูดอย่างอ่อนโยน

 

 

“เจ้าวางใจเถิด ข้าให้คนไปกำชับแล้วว่า ขณะเดินทางให้พยายามดูแลแผลบนศีรษะของคุณหนูเจ้าให้ดี ไม่ว่าอย่างไร ถ้ายังไม่มีคำตัดสินอย่างเป็นทางการออกมา นางก็ยังไม่ใช่ฆาตกร ข้าต้องบอกให้พวกเขาดูแลนางให้ดีอยู่แล้ว”

 

 

ลวี่สุ่ยจึงยิ่งซาบซึ้งใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ขณะถูกใส่ตรวนคืนกลับ ก็หันไปเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ข้างรถม้าห่างออกไปไม่ไกล ความรู้สึกโกรธแค้นจึงปะทุ แม้เรื่องที่เกิดกับคุณหนูตนไม่เกี่ยวกับนาง แต่ก็เป็นเพราะนางนี่ล่ะที่ทำให้เกิดข้อสงสัย

 

 

หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก ลวี่สุ่ยมีความผิดติดตัว จึงไม่กลัวอะไรอีก อ้าปากร้องตะโกน

 

 

“ใครที่ให้ร้ายคุณหนูข้า กรรมต้องสนองแน่!”

 

 

เหล่าคุณหนูที่กำลังเตรียมขึ้นรถม้าและท่านหญิงหย่งจยาต่างหันมามอง ก่อนพุ่งเป้าสายตาไปที่อวิ๋นหว่านชิ่น บรรยากาศจึงอิหลักอิเหลื่อสุดจะเปรียบ

 

 

ลวี่สุ่ยพูดทิ้งท้าย แล้วหันเดินจาก แต่กลับรู้สึกว่าร่างตึงๆ ที่แท้ตนถูกคนดึงเสื้อจากด้านหลัง

 

 

เป็นมือของอวิ๋นหว่านชิ่นที่จับตรงริบบิ้นบนปกเสื้อของลวี่สุ่ย กระชากไปด้านข้าง แล้วดึงให้หมุนมาอยู่ตรงหน้า ก่อนจ้องมองสาวใช้ผู้นี้เขม็ง

 

 

ดวงตาใสกระจ่างฉายแววเย็นชา ดุจน้ำพุหวาน คล้ายสุราเย็น ลวี่สุ่ยถูกนางจ้องจนสะดุ้งเฮือก

 

 

ได้ยินอวิ๋นหว่านชิ่นพูดเสียงเบา “พูดใหม่อีกทีซิ”

 

 

“…..” ลวี่สุ่ยยืนอึ้ง กลับเปล่งเสียงไม่ออก สักพักค่อยกัดฟันพูด

 

 

“ข้าบอกว่า คนที่ให้ร้ายผู้อื่น กรรมต้องตามทัน!”

 

 

“เจ้าพูดไม่ผิด” ริมฝีปากอวิ๋นหว่านชิ่นขยับ “คุณหนูเจ้าทำให้นางโลมและเด็กรับใช้บนเรือสำราญต้องเดือดร้อน ตอนให้ร้ายผู้อื่น ก็น่าจะรู้ว่า สักวันกรรมต้องตามทัน”

 

 

คุณหนูที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ต่างหันไปกระซิบกระซาบกัน

 

 

ท่านหญิงหย่งจยายิ้มน้อยๆ แต่รอยยิ้มกลับค้างอยู่ที่มุมปาก

 

 

ลวี่สุ่ยถูกตอกกลับทันควัน อวิ๋นหว่านชิ่นคลายมือออก ใช้แรงผลักนางไปทีหนึ่ง ก่อนเก็บรอยยิ้มขึ้น

 

 

เจิ้งหวาชิวจึงรีบเอ็ดผู้คุม “ทำอะไรกันน่ะ ชอบดูนักหรือไง ยังไม่รีบนำตัวสาวใช้นางนี้ขึ้นไปอีก!”

 

 

ผู้คุมจึงได้สติ รีบก้าวยาวๆ เข้าไปสั่ง “ขึ้นรถซะ!”

 

 

ขณะเจิ้งหวาชิวกำลังจะเชิญให้พวกอวิ๋นหว่านชิ่นขึ้นรถม้านั้น อีกด้านหนึ่งก็มีเสียงดังมา

 

 

“คุณหนูอวิ๋น”

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาเดินมากับเฉี่ยวเย่ว์ ประดุจลอยมากับดอกบัวบนปุยเมฆ

 

 

“ลวี่สุ่ยสามหาวกับคุณหนูอวิ๋น ต้องขอโทษด้วย”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “ลวี่สุ่ยสามหาวกับลูกสาวขุนนาง เกี่ยวอะไรกับท่านหญิง”

 

 

“คุณหนูอวิ๋นควรจะรู้ว่า ข้ากับโหรวจวงมีสัมพันธอันดีต่อกันมาโดยตลอด นางเข้าออกในวังแต่เด็ก กับข้าก็เหมือนพี่เหมือนน้อง สาวใช้ของนาง ข้าก็เห็นว่าเป็นคนกันเอง อีกอย่างข้าเพิ่งปลอบสาวใช้นางไปหยกๆ อาจมีส่วนทำให้รู้สึกหยิ่งทะนงขึ้นมา ถึงได้กล้าถากถางคุณหนูอวิ๋นตรงๆ ขอคุณหนูอวิ๋นอย่าได้ถือสาหาความ และอย่าได้โกรธแค้นหย่งจยาเพราะเหตุนี้เลย”

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาว่าแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดต่อ “คุณหนูอวิ๋นอย่าลืมสิว่า เรานัดกันที่สนามม้าแล้ว ข้ายังหวังว่า เมื่อมาถึงป่าล้อม จะได้ออกล่าสัตว์พร้อมกับคุณหนูอวิ๋น อย่างน้อยจะได้พูดคุยกันตามประสาคุณหนู ต่อไปเรา…”

 

 

ประโยคแรกๆ ยังพูดอยู่เลยว่าเป็นพี่น้องกับอวี้โหรวจวง แต่ประโยคหลังกลับอาศัยโอกาสที่เพื่อนตกยาก สานสัมพันธ์กับศัตรูเก่าของเพื่อนเสียนี่

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองท่านหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าซึ่งตัวเล็กกว่าตนอยู่บ้าง เด็กสาวที่มีใบหน้าเนียนใสดุจหยก นุ่มนิ่มชุ่มชื่นมีน้ำมีนวล กำลังใช้แววตากระตือรือร้นจ้องมองตน อาศัยระดับคนโปรดในวัง ที่สามารถเรียกลมเรียกฝนอยู่นานหลายปี สามารถลดระดับถึงขั้นลงมาคุยกับตนได้ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

 

 

แต่…อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นคนชอบจัดดอกไม้ จึงรู้ว่า ดอกไม้ที่บอบบางและบริสุทธิ์มากเท่าใด ก็จะยิ่งซ่อนไส้กลางที่ไม่มีใครรู้ไว้ เช่นดอกฝิ่น ที่สวยจนทำให้ผู้คนเผลอไผล แต่ก็สามารถใช้เป็นยาพิษที่ทำให้คนท้องไส้ปั่นป่วนได้

 

 

ท่านหญิงหย่งจยายังไม่ทันพูดจบ อวิ๋นหว่านชิ่นก็พยักหน้า แล้วย่อตัวลง

 

 

“ท่านหญิงกล่าวหนักไปแล้ว เรื่องในวันข้างหน้า ค่อยว่ากันในวันข้างหน้าดีกว่า”

 

 

คำพูดสบายๆ คำหนึ่ง กลับทำให้ท่านหญิงหย่งจยายิ้มค้าง

 

 

เจิ้งหวาชิวเห็นสีหน้าเย็นชาของอวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

 

 

“เอาล่ะ จะขึ้นรถแล้ว รถม้าสองบังเ**ยนก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน ท่านหญิงเชิญเสด็จ”

 

 

กลุ่มคนแยกย้ายกันขึ้นรถม้า ขบวนตามเสด็จล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง

 

 

ขบวนเคลื่อนตัวออกนอกประตูเมืองอย่างยิ่งใหญ่ ครั้งนี้พอออกจากเขตเมืองยงโจว กลับใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ขบวนตามเสด็จก็มาถึงที่หมาย

 

 

ตอนมาถึงป่าล้อมฮู่หลง เป็นช่วงอาทิตย์อัศดงพอดี เขตป่าเขาในฤดูใบไม้ร่วง พอพลบค่ำ ฟ้าจะมืดค่อนข้างเร็ว เหล่าคนในวังและองครักษ์จึงทำการส่งหนิงซีฮ่องเต้เข้าประทับและเสวยพระกระยาหารในพระราชนิเวศน์ข้างป่าล้อมก่อน แล้วค่อยส่งเจี่ยงฮองเฮากับมเหสีรองเหวย และพระบรมวงศานุวงศ์เข้าประทับตามกระโจมที่กำหนดไว้

 

 

ภายใต้การนำของเจิ้งหวาชิว อวิ๋นหว่านชิ่น เฉาหนิงเอ๋อร์ และหานเซียงเซียง ก็ได้เข้าพักในกระโจมฝั่งสตรี ซึ่งเป็นกระโจมหลังคาโดมทรงสูง ภายในกว้างขวาง มีเตียงนอนปูผ้าลายปักที่ทั้งนิ่มและสูงอยู่สามเตียง ผ้าห่มก็ทั้งหนาและอุ่น ตรงกลางยังมีฉากกั้นที่ประณีตงดงาม สิ่งที่ควรมีล้วนมีอย่างครบครัน

 

 

เฉาหนิงเอ๋อร์หัวเราะ “แบบนี้ก็ไม่ต้องขนผ้าห่มของคุณหนูอวิ๋นลงมาแล้ว”

 

 

บ่าวในวังยกอาหารเย็นเข้ามา มีทั้งผักทั้งเนื้อ รวมทั้งผักสดกับเนื้อแดง จากนั้นก็มีบ่าวยกกะละมังไฟและกระถางกำยานเข้ามา บอกว่าใช้ป้องกันความชื้นและความเย็นในช่วงค่ำคืน ถ้าผ้าห่มอุ่นไม่พอ ก็ไปขอเพิ่มจากคนของกองกิจการภายในได้ทุกเมื่อ

 

 

เพิ่งผ่านเหตุการณ์เมื่อวานมา กองกิจการภายในไหนเลยจะกล้ากลั่นแกล้งสามสาวอีก ทั้งสามจึงนั่งผ่อนคลายจิตใจอยู่สักพัก ค่อยนั่งล้อมวงกันกินข้าวกัน ฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว ตอนเจิ้งหวาชิวเข้ามาเก็บจานนั้น ก็เห็นว่าทั้งสามกินกันอย่างเต็มที่ จึงยิ้มแล้วว่า

 

 

“รอจนวันพรุ่งนี้ พอเหล่าเชื้อพระวงศ์ล่าสัตว์กลับมา แล้วฝ่าบาททรงแบ่งให้เรา เราก็จะได้ลาภปากกันอีก!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ลืมจุดประสงค์หลักที่ตนมาในครั้งนี้ จึงวางตะเกียบลง แล้วร่างก็ลื่นไหลดุจมัจฉา พริบตาเดียวก็ไปอยู่ข้างกายเจิ้งหวาชิวที่กำลังจุดตะเกียงน้ำมันอยู่

 

 

“พี่เจิ้ง พรุ่งนี้ผู้หญิงอย่างเราๆ ต้องไปป่าล้อมกับเขาด้วยหรือเปล่า” โอกาสที่จะได้พบหน้าเจี่ยงยิ่น ก็มีแต่ต้องไปป่าล้อมเท่านั้น

 

 

เจิ้งหวาชิวหันมอง “ตามกฎเมื่อปีก่อน พรุ่งนี้มีลูกสาวขุนนางส่วนหนึ่งอยู่ในกระโจม อีกส่วนหนึ่งเหล่าเชื้อพระวงศ์จะเลือกให้ไปเป็นเพื่อนด้วย ส่วนใครจะอยู่หรือใครจะไปนั้น ต้องรอแจ้งพรุ่งนี้เช้า”

 

 

พอฟ้ามืด กระโจมของผู้ตามเสด็จรอบๆ พระราชนิเวศน์ก็พากันมีแสงสว่าง ลมในตอนกลางคืนเย็น

 

 

เล็กน้อย ท่ามกลางม่านราตรี มองเห็นภูเขาอยู่ไกลลิบ ผืนป่าอันกว้างใหญ่ ทิ้งร่องรอยเงาร่างภูติผีตะคุ่มๆ ได้ยินเสียงสุนัขป่าหอนจากหุบเขาลึก แทรกด้วยเสียงร้องของสัตว์ป่าที่ไม่รู้จักจำนวนหนึ่ง

 

 

กองกิจการภายในต้องจัดการกิจกรรมต่างๆ ของวันพรุ่งนี้ให้ดี ตามหลักแล้ว ในฐานะหัวหน้าอวี้เฉิงกังต้องทำการตรวจตราบริเวณโดยรอบของป่าล้อมด้วยตัวเองก่อนล่วงหน้า เช่นดูว่ารั้วที่ล้อมรอบยังมีสภาพดีอยู่หรือไม่ ม้าตามคอกในป่าล้อมถูกเลี้ยงดูอย่างไร และเนื่องจากเพิ่งถูกต่อว่าเรื่องหย่อนยานในหน้าที่ เขาจึงไม่กล้าชักช้า พอกินข้าวเสร็จก็พาลูกน้องออกจากกระโจม หยิบตะเกียง เดินไปที่ป่าล้อมทันที

 

 

“ปีนี้ซวยจริงๆ พับผ่า” อวี้เฉิงกังคิดแล้วก็โมโห เดินพลางก่นด่าพลาง ระบายความในใจให้ลูกน้องคนสนิทฟัง แต่ยังเดินออกจากกระโจมได้ไม่ทันไร ด้านหน้าก็ปรากฏเงาร่างคน ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่