พอคนของกองกิจการภายในเห็นว่ามีคนขวางทางอยู่ ก็ตวาด
“ใครน่ะ ยืนขวางทางทำไม หัวหน้าจะเดินผ่าน ไม่เห็นรึ!”
ฝ่ายตรงข้ามไม่มีตะเกียง อาศัยแสงดาวและแสงไฟจากกระโจมที่อยู่บริเวณนั้นสาดส่อง จึงเห็นเพียงเงาร่างสูงใหญ่ตะคุ่มๆ ของผู้มา ไม่รู้ว่าใช่ทหารรักษาพระองค์ออกลาดตระเวนหรือไม่
อวี้เฉิงกังขมวดคิ้ว หลังจากตนถูกฝ่าบาทต่อว่า กระทั่งผู้ที่ต่ำต้อยกว่าก็ยังไม่เห็นตนอยู่ในสายตา จึงบันดาลโทสะ นิ้วหัวแม่มือกดด้ามกระบี่ที่เสียบตรงหว่างเอว แต่ผู้ที่อยู่ตรงหน้ากลับเดินเข้าหา พอเดินออกจากความมืด เข้าสู่แสงสว่าง รูปร่างหน้าตาของเขาก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็น
ด้านหลังชายของหนุ่ม ยังมีชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เดินตามมา คล้ายผู้รับใช้ข้างกาย
ชายหนุ่มสวมชุดยาวขนมิงค์สีม่วงตุ่น ผ้าคาดเอวสีทองประดับจี้หยก มวยผมเรียบร้อย ครอบที่ครอบหยกประดับมุก จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูป ดวงตาลึกล้ำ ตาดำสีดำขลับ สีหน้าเย็นชาดุจมีหิมะบางๆ ปกคลุม ตอนนี้เขาหยุดฝีเท้าลง ยืนมือไพล่หลัง แล้วตอบกลับอย่างนุ่มนวล
“หนทางกลางคืนเดินลำบาก ไม่ทันสังเกตจริงๆ ว่าขวางทางหัวหน้าอยู่”
น้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ ไม่มีความขุ่นเคืองแม้แต่น้อย พอตอบเสร็จยังเบี่ยงกาย หลีกทางให้อวี้เฉิงกังกับพวกเดินผ่านอีก
อวี้เฉิงกังขยี้ตาไปมา ก่อนตกใจหน้าถอดสี รีบหันกลับไปตบหน้าลูกน้องดัง ‘เพี๊ยะ’
“ตาบอดหรือไง! ถึงจำฉินอ๋องไม่ได้”
ลูกน้องก็ตกใจเช่นกัน รีบคุกเข่าลงโขกศีรษะ
“มันมืดมาก ผู้น้อยมองไม่เห็น ขอท่านอ๋องอภัยให้ด้วย!”
อวี้เฉิงกังก็โค้งกายลงค้างไว้ พลางประสานมือ “เชิญท่านอ๋องเสด็จก่อน เชิญ”
ขณะเปลวไฟในตะเกียงเต้นไปมา ซย่าโหวซื่อถิงก็พูดขึ้นเสียงเบา
“หัวหน้าอวี้จะไปปฏิบัติหน้าที่ในป่าล้อม เชิญก่อน” ว่าแล้วก็ยกแขนเสื้อกว้างๆ ขึ้น เดินนำผู้ติดตามไปยืนด้านข้าง
ต่อให้น้ำเสียงขององค์ชายสามสงบนิ่ง เฉกเช่นคนไม่เอาเรื่อง แต่แผ่นหลังของอวี้เฉิงกังกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตั้งแต่เมื่อเช้า ที่เขาเห็นตนอยู่ในห้องกับคุณหนูอวิ๋น ตนก็รู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูกเรื่อยมา และตอนนี้ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีก
ดวงตาที่สงบนิ่งของชายหนุ่ม ดูไปแล้วเหมือนไม่มีอะไร แต่อวี้เฉิงกังกลับกังวลใจยิ่ง
จะบอกว่าโกรธ? ท่าทางเขาก็ดูสบายๆ แต่จะบอกว่าไม่โกรธ? อวี้เฉิงกังก็ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ ด้วยเห็นกับตาว่าเขาถอดเสื้อคลุม แล้วนำไปคลุมให้กับคุณหนูอวิ๋น…เป็นไปได้หรือที่ทั้งสองจะไม่รู้จักกันมาก่อน?
อวี้เฉิงกังคิดเช่นนี้ทีไร ก็วางใจไม่ลง จึงลองหยั่งเชิงดู
“ท่านอ๋อง วันนี้ตอนสอบสวนคดี ผู้น้อยละเลยและบกพร่องในหน้าที่จริงๆ ฝ่าบาททรงต่อว่าผู้น้อยแล้ว…ตอนอยู่ในห้อง ผู้น้อยเพียงสอบถามคุณหนูอวิ๋นไม่กี่คำ…ไม่มีเรื่องอื่นใดอีก ขอท่านอ๋องวางพระทัย ถ้าท่านอ๋องมีอะไรติดอยู่ในใจ เกรงว่าคืนนี้ผู้น้อยคงนอนไม่หลับ” ว่าแล้วก็นึกเสียใจ ตนเลอะเลือนและบุ่มบ่ามเกิน พอเห็นคุณหนูอวิ๋นมีบุคลิกแปลกตาหน่อย ก็รู้สึกหื่นขึ้นมา
ซึ่งปกติแล้ว อวี้เฉิงกังถูกเอาอกเอาใจจนเคยตัว จึงกล้าไปหมดทุกอย่าง อยากทำอะไรก็ไม่คำนึงถึงสถานที่ ตอนนั้นที่เรียกอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปเพียงลำพัง ก็กะว่าจะขู่ให้ตกใจ ให้เหมือนลูกไก่ในกำมือ ต่อไปทำอะไรจะได้ง่ายหน่อย
ซือเหยาอันแค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ รู้สึกว่าอวี้เฉิงกังไม่พูดยังดีเสียกว่า พอพูดแล้ว ก็ซี๊แหงแก๋
ยมบาลบอกให้เจ้าตายตอนยามสาม แต่ฉินอ๋องจะฆ่าเจ้าให้ตายตอนยามสองก่อนนี่สิ!
ซย่าโหวซื่อถิงมองหน้าอวี้เฉิงกัง อารมณ์สงบนิ่งจนแทบรู้สึกว่าแปลก เหมือนการไหลเวียนของอากาศในตอนกลางคืนช้าผิดปกติ
อวี้เฉิงกังคิดถึงคำตอบร้อยแปดพันเก้าที่ตนจะได้รับ โดยไม่คาดคิดว่า รออยู่สักพัก ชายหนุ่มกลับละสายตาลงมองไปยังมือของเขาซึ่งพันผ้าสีขาวเอาไว้ แล้วจึงพูดอย่างอ่อนโยน
“ถูกกัดแบบนี้ คงเจ็บแย่เลย”
อวี้เฉิงกังรู้สึกเคือง แต่ไม่กล้าแสดงออก เสร็จกัน ทำไมถึงลืมมือข้างนี้ไปได้ จึงรีบหดมือข้างที่ถูกอวิ๋นหว่านชิ่นกัดกลับ ซ่อนไว้ด้านหลังตามสัญชาติญาณ ก่อนทำหน้าขมขื่น
“พ่ะย่ะค่ะ…ผู้น้อยไม่ระวังเอง ไม่ทันระวัง”
ชายหนุ่มไม่พูดมากอีก ก้าวเข้ามาตบบ่าเขาเบาๆ อย่างสนิทชิดเชื้อ “หัวหน้าอวี้ไปทำงานเถิด”
พออวี้เฉิงกังเห็นเขาใจกว้างเช่นนี้ จะดีจะร้ายค่อยวางใจลงได้หนึ่งเปราะ พอก้าวเดินไปสองก้าว หันกลับมามอง ก็เห็นฉินอ๋องยืนมือไพล่หลังในความมืด มองมาที่ตนแล้วยิ้มให้กำลังใจ ซ้ำยังโบกมือให้ด้วย
อวี้เฉิงกังจึงปาดเหงื่อ แล้วเดินจากไป
ฝั่งกระโจมสตรี
พออวิ๋นหว่านชิ่น เฉาหนิงเอ๋อร์และหานเซียงเซียงกินข้าวเย็นจนอิ่ม ก็แยกย้ายกันไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดเดินทางเป็นชุดนอน
ส่วนเจิ้งหวาชิว เมื่อเห็นว่ามืดค่ำแล้ว ก็บอกสาวๆ ว่า พรุ่งนี้ตนจะมาหาก่อนฟ้าสาง จากนั้นจึงเลิกผ้าม่านขึ้น พาสาวใช้ของทุกคนไปยังกระโจมข้างที่อยู่ติดกัน
สามสาวพูดคุยกันต่ออีกสักพัก พอพูดถึงเรื่องล่าสัตว์ในวันรุ่งขึ้น ต่างก็กระตือรือร้นกันยกใหญ่ แต่ยังไม่ทันพูดจบ กลับรู้สึกง่วงกันแล้ว จึงแยกย้ายกลับเตียงของตน เตรียมเข้านอน
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสองสาวปีนขึ้นเตียง ก็แก้ห่อผ้าสัมภาระออก หยิบกล่องใบเล็กขึ้นมา ในนั้นใส่ผงเกลือไม้ไผ่ไว้ จึงนำมาถูฟัน ก่อนปีนขึ้นเตียง แต่กลับไม่รู้สึกง่วงแล้ว ประการแรก เพิ่งพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น ประการที่สอง นางมีเรื่องในใจที่สองสาวไม่มี เกี่ยวกับพระมาตุลาเจี่ยง คิดพลางเปิดกระเป๋าสะพายติดตัว หยิบผ้าเช็ดหน้าสีทองอ่อนออกมา แล้วใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อชั้นใน กันลืมในเช้าวันรุ่งขึ้น
แต่พอล้มตัวลงนอน และพลิกตัวไปมาอยู่สักพัก ก็ยังนอนไม่หลับ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงนำหนังสือ ‘บันทึกเครื่องหอมเพื่อสุขภาพ’ ขึ้นมาอ่านโดยอาศัยแสงจากตะเกียงถ่านบนโต๊ะวางของ นี่เป็นหนึ่งในหนังสือที่เหยากวงเหย้าวานให้คนส่งไปที่ร้านเซียงหยิงซิ่ว ครั้งนี้นางพกมาเพื่ออ่านฆ่าเวลาขณะเดินทาง
แต่อ่านไปได้ไม่กี่หน้า อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้ยินเสียงพลิกตัวของเฉาหนิงเอ๋อร์ดังมาจากอีกด้านของฉากกั้น ที่แท้นางก็ยังไม่นอนเหมือนกัน จึงใช้ที่คั่นหนังสือคั่นหน้าไว้ ปิดหนังสือลง แล้วว่า
“คุณหนูเฉานอนไม่หลับหรือ”
พอเฉาหนิงเอ๋อร์รู้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่นอนเช่นกัน ก็กลิ้งตัวลุกขึ้นนั่ง กระชับชุดนอนที่หลวมโพรก ถอนหายใจออกมา แล้วกดเสียงลงต่ำ
“ไม่รู้ทำไม ช่วงหัววันพูดคุยยิ้มหัวกับพวกเจ้า ยังไม่รู้สึก แต่พอเข้าสู่ค่ำคืนที่เงียบงัน ข้ากลับนึกถึง…นึกถึงสภาพของหลินลั่วหนาน ไหนเลยจะนอนหลับได้อีก”
พอคำพูดของเฉาหนิงเอ๋อร์หลุดจากปาก หานเซียงเซียงที่อยู่เตียงริมสุดและยังไม่นอนเช่นกัน ก็ลุกขึ้นนั่ง ‘สวบ’ ก่อนพูดเสียงสั่น
“คุณหนูอวิ๋น คุณหนูเฉา ได้ยินเสียงงิ้งๆๆ กันหรือเปล่า…เหมือนเสียงร้องไห้ไหม…”