เดิมทีเฉาหนิงเอ๋อร์มีความกล้ากว่าหานเซียงเซียงอยู่มาก แต่พอได้ยินหานเซียงเซียงพูด กลับอดไม่ได้ที่จะยกผ้าห่มขึ้นครอบศีรษะ พลางพูดอย่างหวาดกลัว
“คุณหนูหานนี่จริงๆ เลย พูดแบบนี้ หมดกันพอดี ก่อนตาย หลินลั่วหนานอยู่กับพวกเรา ตอนนี้พอเป็นผี ก็ต้องจำได้แต่เรา แล้วยังมาเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำอีก คงไม่กลับมาหลอกหลอนเราหรอก…”
หานเซียงเซียงก็ยกผ้าห่มขึ้นครอบศีรษะเช่นกัน ก่อนร้องออกมาคำหนึ่ง เฉาหนิงเอ๋อร์จึงยิ่งห่อตัวไว้ใต้ผ้าห่ม ไม่กล้าขยับ
เรื่องหลินลั่วหนานเพิ่งเกิดขึ้นไม่ทันข้ามวัน เฉาหนิงเอ๋อร์และหานเซียงเซียงต่างก็อยู่ในเหตุการณ์ เฉาหนิงเอ๋อร์ยิ่งโชคร้าย นอนอิงกับศพทั้งคืน พอตกดึก ย่อมนึกถึง ไหนเลยจะไม่กลัวเล่า
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงบิดไส้ตะเกียง ให้ไฟสว่างขึ้น ก่อนลุกเดินไปข้างกระโจม เงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
พอโล่งใจลง ค่อยเดินกลับมา พร้อมนำลิ่มไม้เล็กๆ ที่ใช้เสริมขาโต๊ะตัวหนึ่ง สอดเข้าในรูๆ หนึ่งที่ประตูกระโจม จากนั้นก็หันมายิ้มให้สองสาว
“เสียงลมพัดน่ะ ลมบนภูเขาแรงมาก พี่เจิ้งกลัวว่ากลางคืนเราจะนอนกันอย่างอุดอู้ จึงเผื่อช่องลมไว้ให้ระบายอากาศ ไม่ใช่เสียงร้องไห้อะไรหรอก พวกเจ้าลองฟังดูดีๆ อีกที ตอนนี้ไม่มีเสียงแล้วใช่ไหม”
เฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงเงี่ยหูฟัง ในกระโจมก็เงียบเสียงลงจริงๆ จึงเป่าปากอย่างโล่งอก
แต่อาการตื่นตกใจเมื่อครู่ บวกกับในหัวเต็มไปด้วยภาพติดตาของหลินลั่วหนานเมื่อเช้า ทำให้ยังคงไม่กล้าล้มตัวลงนอน ได้แต่นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง พยายามทำใจให้สงบ
ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะเดินเข้าไปปลอบใจคนทั้งสอง ยังไม่ทันหันกาย ก็รู้สึกว่ามีเงาสั่นไหวอยู่บนกระโจมสีขาว จึงชะงักฝีเท้า
เฉาหนิงเอ๋อร์เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นหน้าเปลี่ยนสี คล้ายพบพิรุธอะไร ก็พูดปากสั่น
“ค…คุณหนูอวิ๋น มีอะไรหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่าน่าจะเป็นเงาของขันทีเฝ้ายามกะดึกอยู่ด้านนอก หรือไม่ก็เป็นเงาของทหารรักษาพระองค์เดินตรวจตรา มิเช่นนั้นก็เป็นเงาจันทร์ ที่ทำให้ทั้งสองตกใจ จึงพูดเสียงเรียบ
“ไม่มีอะไร”
แต่หานเซียงเซียงกลับกรีดร้องเสียงต่ำออกมาอีก คล้ายเห็นอะไรเข้าให้
“อา…ข้างนอกเหมือนมีอะไรขยับอยู่…”
เฉาหนิงเอ๋อร์กลัวจนแทบบ้า และไม่คิดทนกับความกลัวเช่นนี้อีก จึงลุกขึ้นสวมเสื้อคลุม ใส่รองเท้า คว้าตะเกียง เดินไปที่ประตู
“ไม่ได้การ ข้าไม่กล้าอยู่ที่นี่แล้ว ไปกระโจมพี่เจิ้งดีกว่า นอนกับสาวใช้ที่บ้านคืนนึง…”
“เดี๋ยวๆ รอข้าด้วย ข้าไปด้วยคน” หานเซียงเซียงไหนเลยจะกล้าอยู่ต่อ สวมเสื้อคลุมแล้วรีบเดินตามหลัง
เฉาหนิงเอ๋อร์ เกาะติดกันออกไป
พอเดินถึงหน้าประตูกระโจม เฉาหนิงเอ๋อร์ก็หน้าซีด หันมองอวิ๋นหว่านชิ่น
“คุณหนูอวิ๋น มากับเราเถอะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันทำความเข้าใจกับสองสาว บนกระโจมสีขาวราวหิมะก็มีเงาๆ หนึ่งวาบผ่าน คล้ายเงาของคนรูปร่างสูงใหญ่ แต่ผิดรูปและแปลกประหลาด คล้ายเจ้าแม่กวนอิมพันมือ เหมือนมีสามเศียรหกกร ผิดแผกแตกต่างจากมนุษย์มนายิ่ง
ตอนนี้ ทั้งสามล้วนเห็นกับตา
ราวกับถูกใครโยนประทัดใส่ เฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงเบิกตากว้าง ยังไม่ทันกรีดร้อง ก็ปัดผ้าม่านขึ้น วิ่งไปยังกระโจมข้างทันที
อวิ่นหว่านชิ่นไม่เคยเชื่อเรื่องผี หรือต่อให้มี บทใจคนจะชั่วร้ายขึ้นมา น่ากลัวยิ่งกว่าผีเสียอีก แต่พอทั้งสามคนเห็นเงารูปร่างแปลกประหลาดสั่นไหวบนกระโจมสองครั้งพร้อมๆ กัน ก็อดที่จะรู้สึกเครียดไม่ได้
กลุ่มองครักษ์พิทักษ์กระโจมฝั่งเชื้อพระวงศ์ ไม่มีทางพรางตัวเข้ามาขโมยของในฝั่งนี้แน่ ถ้าเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเป็นผู้ชาย ใครเล่าจะกล้าเล็ดลอดเข้ามาในกระโจมสตรี
ด้วยยามวิกาลที่เงียบสงัดเช่นนี้ แค่ส่งเสียงร้องออกมาเพียงแอะเดียว ทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าอยู่ในรัศมีโดยรอบก็จะรุดมาทันที! ไม่มีอะไรต้องกลัว!
พอความเครียดค่อยๆ จางหาย มือก็จัดการถอดไม้ค้ำยันประตูกระโจมออก แล้วเข้าไปยืนข้างม่าน แนบตัวกับกระโจม
ทว่าเงาปีศาจนั่นไม่ปรากฏขึ้นอีก กลับมีเสียงหายใจแทน
เป็นเสียงหายใจของคน ที่อยู่ใกล้แค่ม่านกั้น และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คล้ายสามารถพุ่งเข้ามาในกระโจมได้ทุกขณะ
นางกลั้นหายใจ เสียงความเคลื่อนไหวนอกม่านดัง ม่านพลันถูกเลิก นางยกไม้ขึ้น ขณะจะตีศีรษะผู้มาพร้อมร้องตะโกน กลับเห็นโฉมหน้าผู้มาชัดเจน จึงตะลึงงันไปชั่วขณะ
ภายใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ท่ามกลางแสงจันทร์เย็นยะเยือก ฉินอ๋องยืนอยู่ตรงหน้านาง กลางกระโจม แม้สวมเสื้อคลุมติดหมวกสีดำ ที่แทบจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด แต่ใบหน้าอันหล่อเหลาที่เผยออกให้เห็น กลับแจ่มชัดยิ่ง ดวงตาทอประกายเยือกเย็นจนแทบเป็นหนึ่งเดียวกับแสงจันทร์ ตอนนี้ยังถือกิ่งสนที่มีก้านใบแตกแขนงอย่างแน่นหนาไว้ในมือ น่าจะเป็นของที่ใช้หลอกคนเมื่อครู่
พอซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางถือไม้ค้ำยัน พร้อมท่าทางดุเดือดเอาจริงเอาจัง ก็รีบทิ้งกิ่งสน แล้วหยุดยืนนิ่ง ดีที่ตนมีปฎิกิริยาว่องไว ขณะปรบมือให้นางเบาๆ และกำลังจะเอ่ยปาก นางกลับพลิกข้อมือ ไม่ยอมวางไม้ค้ำยันลง ดวงตาเย็นชา เงื้อไม้ฟาดเข้ามา พลางเอ็ด
“ดึกๆ ดื่นๆ ปลอมเป็นผีมาหลอกคน ไม่รู้หรือไงว่าคนอาจตกใจตายได้?!”
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะลงมือกับเขา จึงรีบคว้าข้อมือนางไว้ เตะประตูกระโจมให้ปิดเข้า แล้วลาก
นางเข้าไปด้านใน
พอไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากด้านนอก ซย่าโหวซื่อถิงค่อยแย่งไม้ในมือนางมา ทิ้งลงด้านข้าง แล้วลดผ้าคลุมศีรษะลง ให้เห็นใบหน้าชัดๆ ก่อนเผยอริมฝีปากบางๆ ขึ้น
“นี่กะไม่ไว้หน้ากันจริงๆ เลยใช่ไหม”
“เมื่อเช้าเพิ่งเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น คนในกระโจมเดิมมีสาม หนีไปสอง ไม่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อก็ดีแค่ไหนแล้ว!” อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองเขาตาเขม็ง
ซย่าโหวซื่อถิงจึงว่า “คราวหน้าไม่ทำละ”
พูดไปอย่างนั้นเอง น้ำเสียงไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดสักนิด จุดประสงค์ของเขาคือ ทำให้คนหนีกันไปหมดสินะ ตอนนี้น่าจะรู้สึกได้ใจมากกว่า แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็คร้านที่จะเปิดโปงเขา
“องค์ชายสามเสด็จกระโจมสตรีในยามวิกาล คงไม่สะดวกเท่าไร มีเรื่องที่ไม่สามารถพูดกันกลางวันแสกๆ หรือ”
“กลางวันแสกๆ? คนผ่านไปมามากมาย จะสะดวกได้อย่างไรกัน” น้ำเสียงค่อนไปทางผู้บริสุทธิ์
ไม่สะดวก? แล้วดึกดื่นค่ำคืนแบบนี้สะดวกหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เชื่อว่ากลางวันแสกๆ เขาจะหาทางสะดวกไม่ได้ จึงยิ้มเยาะ
“อีกสักพัก ถ้ามีคนเข้ามาล่ะ ท่านจะลงไปแอบใต้เตียง หรือให้ข้าลงไปแอบดี?”