ตอนที่ 108-3 ยมบาลบอกให้เจ้าตายยามสาม

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ซย่าโหวซื่อถิงไพล่มือไว้ด้านหลัง เดินวนอยู่ในกระโจมรอบหนึ่ง เขาไม่มีกะใจพูดเล่นกับนาง จึงหันมาพูดกับนางตรงๆ 

 

 

“ทำไม ไม่ว่าอย่างไร พรุ่งนี้ก็ต้องพบเจี่ยงยิ่นให้ได้หรือ” 

 

 

เขายังจำความคิดของตนได้ และเดาเรื่องที่ตนกำลังจะทำถูก 

 

 

“ท่านไม่ช่วยข้า แล้วยังไม่อนุญาตให้ข้าคิดหาวิธีเอาเองอีก?” อวิ๋นหว่านชิ่นว่า 

 

 

บรรยากาศในกระโจมนิ่งค้างชั่วขณะ 

 

 

เขาจ้องมองนางนิ่ง นางน่ารักดี ราวกับดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้านอกกระโจม ดูดี แต่มีระยะห่างที่ทำให้ผู้คนเอื้อมไม่ถึง 

 

 

ช่างเถอะ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา  

 

 

คลุกคลีกับนางก็หลายครั้งอยู่ หรือไม่รู้ว่านางเป็นคนเช่นไร ภายนอกดูเหมือนเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาทั่วไป แต่จิตใจ แข็งยิ่งกว่าผู้ใหญ่อายุหลายสิบปีเสียอีก ไม่รู้ว่าซ่อนจิตวิญญาณเก่าแก่แบบไหนเอาไว้ เรื่องที่นางคิดว่าถูกต้อง ผู้อื่นพูดไม่กี่คำ นางจะเลิกทำหรือ ฝันไปเหอะ! 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขาเลิกเกลี้ยกล่อมตน ควรถือเป็นเรื่องดี แค่หาจังหวะพูดให้เขาไปก็ใช้ได้แล้ว แต่พอเห็นเขาทำหน้าเศร้า ก็…เฮ้อ ใครใช้ให้เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาเล่า แต่แปลก ตนก็ไม่ใช่คนที่หลงใหลใครจนลืมตัว ยิ่งไม่ใช่คนที่เห็นใครหน้าตาดีแล้วจะเกิดอาการขาอ่อน สมองมึนงง แต่ทุกครั้งที่เห็นท่าทางสลดหดหู่ของเขา ตนกลับรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง 

 

 

คิดเสียว่าตนเห็นคนหน้าตาดีกลุ้มใจ แล้วไม่เจริญหูเจริญตา เป็นความรู้สึกรักหยกถนอมบุปผาก็แล้วกัน อวิ๋นหว่านชิ่นจึงพูดขึ้น 

 

 

“ท่านสาม ที่ข้าอยากรู้เรื่องของท่านแม่ ก็คล้ายกับที่ท่านอยู่นอกวังแล้วเป็นห่วงพระสนมเอกอย่างไรอย่างนั้นล่ะ ข้ากับท่านแม่แยกจากกันเร็วเกินไป ข้าไม่มีเวลาพอที่จะตอบแทนพระคุณ และไม่ได้รับความรักจากแม่อย่างเต็มที่ ดังนั้น สามารถรู้เรื่องของท่านแม่เพิ่มขึ้นอีกนิด ข้าก็ดีใจมากแล้ว”  

 

 

พูดถึงตรงนี้ ก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนเสียงจะต่ำลง “แบบนี้ ก็เหมือนท่านแม่ยังสื่อสารกับข้าอยู่ จึงอยากให้ท่านเข้าใจ ข้าไม่ขอให้ท่านช่วย แค่ท่านไม่ขัดขวางก็พอ” 

 

 

ดวงตาของชายหนุ่มดุจแสงจันทร์หลังเที่ยงคืน มืดมนลงไปอีก ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ย 

 

 

“ถ้าดีใจ ก็ทำไปเถิด” 

 

 

นี่คือ…แล้วแต่เจ้า? อวิ๋นหว่านชิ่นกระพริบตาปริบๆ รู้เช่นนี้ ก็พูดคำพูดกินใจแบบนี้กับเขาแต่แรกแล้ว 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงทำหน้าเคร่งขรึม พลางก้าวเข้าหา พอนางเงยหน้าขึ้น เขาก็ยืนอยู่ตรงหน้า ได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้นแรง และเสียงหายใจอันหนักหน่วง 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งไป หนังสือที่เหยากวงเหย้าส่งมาให้นั้น หลายเล่มมีเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีฟังเสียงชีพจรและ 

 

 

ตรวจดูอาการของผู้ป่วย แต่ลำพังเพียงฟังจังหวะการเต้นของหัวใจที่แข็งแรงตรงหน้า ก็ไม่มีทางคิดไปได้จริงๆ ว่าในร่างของเขามีพิษไหลเวียนอยู่ 

 

 

หัวใจเป็นหนึ่งในอวัยวะตัน ดุจโกดังเก็บอาหารแล้วส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ไม่มีหน้าที่กำจัดออก หมอปัจจุบันส่วนใหญ่วินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรงหรือไม่ จากชีพจรที่ข้อมือ ส่วนน้อยที่จะฟังเสียงเต้นของหัวใจ ว่ามีเสียงรบกวนอื่นๆ หรือไม่ ความถี่เป็นเช่นไร 

 

 

พอนางอ่านมากเข้า ก็อยากจะฝึกฝนดูบ้าง และตรงหน้าก็มีผู้ป่วยเรื้อรังอยู่พอดี…อวิ๋นหว่านชิ่นจึงอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่ให้เขารู้ตัว แล้วเอียงหูเข้าหาเพื่อตั้งใจฟัง  

 

 

แต่เขากำลังใจจดใจจ่ออยู่กับอากัปกิริยาของนาง ไหนเลยจะมองไม่เห็น จึงจับข้อมือขาวๆ ของนางไว้ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น สบตากับเขาพอดี 

 

 

สักพัก ชายหนุ่มค่อยพูดเสียงเบา “เช้าวันนี้ เขาทำอะไรกับเจ้าในห้อง” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ทันทีว่าเขาหมายถึงอวี้เฉิงกัง จึงสลัดข้อมือเบาๆ แต่สลัดไม่หลุด ได้แต่ปล่อยให้เขาจับไว้ พลางว่า “ท่านไม่เห็นหรือว่า หลังมือของเขามีชิ้นเนื้อแหว่งไปชิ้นหนึ่ง” 

 

 

ชิ้นเนื้อแหว่งไปแล้วไง ถูกเอาเปรียบนี่สิ ชดใช้คืนไม่ได้  

 

 

ใบหน้าเขาเริ่มแดง “หมายความว่า แล้วจะทำอย่างไรได้ ใช่ไหม” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสั่นศีรษะ “กลางวันแสกๆ จะทำอย่างไรได้ กับคนตัวเล็กๆ คนเดียว ไม่มีอะไรมากไปกว่า เอาเปรียบด้วยคำพูด วางกับดักไว้ ถ้าเจอคนที่ข่มเหงได้ ค่อยหาโอกาสลงมือในภายหลัง ที่ผ่านมาเกรงว่านางในจำนวนไม่น้อยล้วนถูกเขาข่มเหงด้วยวิธีนี้ พอท่านเข้ามา เขาจึงทำอะไรไม่ได้” 

 

 

เอาเปรียบด้วยคำพูด วางกับดัก แบบนี้ยังบอกว่าไม่มีอะไรอีก? 

 

 

ชายหนุ่มกระชับมือ จับข้อมือนางให้แน่นขึ้น “เหมือนแบบนี้?” คลายมือออก แล้วเอื้อมมือไปรวบเอวนางให้เข้ามาในอ้อมอกตน พลางทำหน้าขุ่นเคือง “หรือแบบนี้?” ย่นจมูก แล้วยื่นหน้าหล่อๆ ไปที่แก้มนาง จนแทบจะไม่เหลือระยะห่าง “ไม่ก็แบบนี้…” 

 

 

การเอาเปรียบของท่านนั้น สุภาพและตรงไปตรงมาจนเกินไป! อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้ จึงผลักเขาออก แล้วว่า “ไม่ถูกสักแบบ!” 

 

 

เขาส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง จะอย่างไรก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก สีหน้าสงบนิ่ง เหมือนไม่เคยเกิดเรื่องอะไรมาก่อน  

 

 

“นี่ก็ดึกมากแล้ว ไปล่ะ พรุ่งนี้ข้ายังต้องออกไปล่าสัตว์อีก” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้อง จู่ๆ เขาก็ถามขึ้นว่า อวี้เฉิงกังทำอะไร ตอนนั้นเห็นเขาไม่ได้ทำอะไรอวี้เฉิงกัง จึงคิดว่าเขาไม่ติดใจในเรื่องนี้ และพอได้ยินเขาบอกว่าพรุ่งนี้ต้องออกไปล่าสัตว์ หัวสมองก็วาบขึ้น รีบเรียกเขาไว้ 

 

 

“ท่านสาม พรุ่งนี้เช้าท่านจะตามเสด็จไปล่าสัตว์หรือ” 

 

 

พี่เจิ้งบอกว่า ฉินอ๋องกับพระมาตุลาเจี่ยงเหมือนกันอยู่อย่าง ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ฝ่าบาทจึงน่าจะเห็น 

 

 

ใจ ให้พวกเขาพักผ่อนอยู่ที่เดิม เมื่อเขาออกล่าสัตว์ได้ เจี่ยงยิ่นก็ไม่แน่ว่าจะไปป่าล้อมได้เหมือนกัน 

 

 

“อืม” 

 

 

“ข้าได้ยินพี่เจิ้งบอกว่า พรุ่งนี้เช้าคุณหนูลูกขุนนางอย่างพวกเราต้องรอพระบัญชาก่อน ผู้ที่ถูกเรียกตัวเท่านั้นจึงจะสามารถไปป่าล้อมได้ ท่านสามพอจะมีวิธีให้ข้าไปเป็นเพื่อนพระสนมท่านใด หรือองค์หญิงท่านใดบ้างหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นคิดวางแผน 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับ 

 

 

“วางใจ ไม่ต้องให้ข้าช่วยหรอก ต้องมีพระบัญชาให้เจ้าไปเป็นเพื่อนด้วยแน่” 

 

 

 

 

 

วันที่สอง แสงแรกแห่งรุ่งอรุณปรากฏได้ไม่นาน พระอาทิตย์ก็ขึ้นที่ป่าล้อมฮู่หลงแล้ว 

 

 

แสงอาทิตย์ส่องสว่างทั่วป่าล้อมและบริเวณโดยรอบ เกิดเป็นแสงสีทองเคลือบอยู่ชั้นบน ดูดซับความชื้นให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นกว้างไกลและแจ่มชัดขึ้น เป็นวันที่ไม่มีหมอก แดดจ้า มีลมพัดมาเบาๆ เหมาะกับการขี่ม้า ยิงธนู และล่าสัตว์เป็นอย่างยิ่ง 

 

 

เมื่อคืน พอฉินอ๋องจากไป เจิ้งหวาชิวก็พาสองสาวกลับมาคืนให้ 

 

 

ที่แท้พอเจิ้งหวาชิวเห็นเฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงหอบผ้าห่มวิ่งเข้ามาหาหน้าตาตื่น ก็ขำ แล้วค่อยถอนหายใจ ปลอบพวกนางไปพักหนึ่ง ไม่ง่ายกว่าจะบอกให้พวกนางกลับกระโจมตัวเอง 

 

 

สามสาวเผชิญเหตุการณ์ตื่นเต้นอยู่ครึ่งค่อนคืน จึงอ่อนล้ามาก เฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงเพลียจนหนังตาหย่อน ไม่มีแรงจะกลัวอีก พอหัวถึงหมอนก็นอนหลับปุ๋ย 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นดับตะเกียงก่อนเข้านอน และนอนจนอิ่ม 

 

 

หลังฟ้าสาง พวกอวิ๋นหว่านชิ่นก็ทยอยกันตื่น พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ กินอาหารเช้านิดหน่อย ก็มีขันทีแซ่เริ่นคนหนึ่ง นำพระราชโองการมาแจ้ง 

 

 

และแล้ว ในพระราชโองการ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้รับเลือกให้ตามเสด็จไปป่าล้อมจริง โดยให้ไปเป็นเพื่อนข้างกายหนึ่งในองค์หญิงที่ตามเสด็จออกล่าสัตว์ในครั้งนี้…องค์หญิงฉางเล่อ ซย่าโหวถิง 

 

 

ส่วนเฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงก็พักผ่อนตามอัธยาศัยอยู่ภายในบริเวณกระโจม 

 

 

พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะออกสนาม พวกนางกับเจิ้งหวาชิวก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย และมวยผมทรงใหม่ที่สดใสทะมัดทะแมงให้ 

 

 

เริ่นกงกงรออยู่ด้านนอก รอให้คุณหนูอวิ๋นแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ค่อยพานางไปส่งที่ป่าล้อม 

 

 

ทว่าอวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่เสร็จ นอกกระโจมก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังมา แทรกด้วยเสียงอุทานอย่างตื่นตระหนกของเริ่นกงกง คล้ายตกใจไม่น้อย 

 

 

“รบกวนพี่เจิ้งช่วยออกไปดูให้หน่อย” อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัย จึงพูดขึ้นอย่างอ่อนน้อม 

 

 

เจิ้งหวาชิวก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว พอเลิกผ้าม่านขึ้น ก็เห็นนายกองที่วิ่งมาจากป่าล้อมยืนคุยอะไรอยู่กับเริ่นกงกง ซึ่งเริ่นกงกงที่หน้าขาวอยู่เป็นทุนเดิม ก็ยิ่งขาวซีดไร้เลือดฝาดเข้าไปอีก 

 

 

“เริ่นกงกง ทำไมอีกล่ะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า” เจิ้งหวาชิวก้าวเข้าไปถามเสียงต่ำ 

 

 

เริ่นกงกงกลืนน้ำลายลงไปคำหนึ่ง ก่อนสบตานายกอง หายใจให้ช้าลง แล้วค่อยป้องปากพูดเสียงเบา 

 

 

“พี่เจิ้ง เมื่อคืน หัวหน้ากองกิจการภายในไปตรวจดูสภาพเรียบร้อยของป่าล้อม แล้วตลอดทั้งคืนก็ไม่ได้กลับเข้ามาอีก วันนี้ก่อนอรุณรุ่ง กองกิจการภายในส่งคนไปตามหา…” 

 

 

“ทำไมอีก” เจิ้งหวาชิวมีลางสังหรณ์ไม่สู้จะดี 

 

 

“พบรั้วล้อมส่วนหนึ่งพังเสียหาย ศพของอวี้เฉิงกังอยู่นอกรั้ว ห่างออกไปราวครึ่งลี้ สภาพศพดูไม่ได้ ท้อง 

 

 

ไส้แตกทะลัก ตายอย่างน่าอนาถ! ประมาณว่าอวี้เฉิงกังกำลังเดินเลาะรั้วตรวจดูว่ามีส่วนใดของรั้วหักพังหรือไม่ กลับมีสัตว์ร้ายเล็ดลอดเข้ามา จู่โจมใส่” 

 

 

“อา?” เจิ้งหวาชิวหน้าเปลี่ยนสี  

 

 

สัตว์ป่าในป่าล้อม แม้เป็นสัตว์ที่ราชสำนักเลี้ยงในระบบเปิด ทว่าสัตว์แต่ละตัวก็ยังมีสัญชาติญาณของสัตว์ป่าอยู่ ถ้าพบเจอสัตว์ดุร้ายขณะล่า ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนบาดเจ็บ ตามประวัติการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงของแต่ละรัชสมัย ไม่เคยไม่มีคนตาย แต่ปีนี้ ผู้ที่ถูกสัตว์ป่าขย้ำตาย คือหัวหน้ากองกิจการภายใน ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กๆ 

 

 

ปีนี้เป็นปีที่โชคไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่ การล่าสัตว์ในครั้งนี้ เกิดเหตุเภทภัยขึ้นมากมาย น้องสาวของหัวหน้าทหารรักษาพระองค์เพิ่งเสียชีวิต ตอนนี้ขุนนางใหญ่ก็มาเสียชีวิตไปอีกคน 

 

 

เจิ้งหวาชิวถาม “ฝ่าบาททรงทราบหรือยัง” 

 

 

นายกองตอบ “ศพของหัวหน้าอวี้ถูกนำกลับมาแล้ว แต่ด้วยสภาพศพสยดสยองเกินไป เดิมทีพวกบ่าวไม่คิดจะให้ฝ่าบาทดู แต่ฝ่าบาทตรัสว่าหัวหน้าอวี้เป็นขุนนางใหญ่ ทรงต้องดู ตอนนี้ จึงนำศพไปยังกระโจมที่ประทับแล้ว” 

 

 

เจิ้งหวาชิวได้ยินดังนี้ ก็รีบนำเรื่องทั้งหมดเข้าไปเล่าให้อวิ๋นหว่านชิ่นฟัง 

 

 

…….. 

 

 

นอกกระโจมที่ประทับ  

 

 

ศพของหัวหน้ากองกิจการภายในซึ่งถูกสัตว์ป่าขย้ำตายเป็นรายแรกแห่งรัชสมัย ถูกผ้าขาวคลุมไว้ วางอยู่บนพื้น 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ก้าวยาวๆ ออกจากกระโจมที่ประทับด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย แต่ขณะจะก้าวเข้าไปดู เยี่ยนอ๋อง ซย่าโหวซื่อหนิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อ้าปากเตือน 

 

 

“เสด็จพ่อ ลูกดูมาแล้วรอบหนึ่ง น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ เกรงว่าจะทำให้เสด็จพ่อหลอนติดตา จึงอย่า…” 

 

 

พอซย่าโหวซื่อถิงที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งได้ยิน ก็เหลือบตาดูศพที่ตั้งอยู่กับพื้น 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้ขมวดคิ้ว โบกมือบอกใบ้ว่า ไม่เป็นไร แล้วจึงชักกระบี่ขององครักษ์คนหนึ่งขึ้น ใช้ปลายกระบี่เขี่ยผ้าขาวออก  

 

 

พอเห็นสภาพศพ ก็เบิกตาโพลง ท้องไส้ปั่นป่วน แทบจะอาเจียนข้าวต้มมื้อเช้าที่เสวยเข้าไปออกมาอยู่รอมร่อ