ตอนที่ 109-1 กับดักสังหาร สตรีชิงดีชิงเด่น

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ศพของอวี้เฉิงกังอยู่ในสภาพกึ่งอ้าปาก แหงนหน้าขึ้นฟ้า สีหน้าเขียวคล้ำ ตายตาไม่หลับ ร่างเหมือนกองโคลนเละเทะกองหนึ่ง 

 

 

ขาทั้งสองข้างถูกกัดแทะเกือบหมด จนบางส่วนเห็นกระดูกสีขาวๆ  มีเพียงแขนข้างเดียวที่ยังสมบูรณ์ แต่ก็ถูกกัดจนเกือบหลุดออกจากตัว เสื้อผ้าทั้งชุดเว้าแหว่งขาดวิ่น จนแทบจะเปลือยเปล่า ชิ้นส่วนตรงหว่างขาหายไป แม้แต่ส่วนสงวนของชายชาตรีก็ไม่มี เหลือเพียงรูโบ๋ที่มีโลหิตหยด… 

 

 

นอกกระโจมที่ประทับ นางในอายุน้อยเห็นแล้วต่างหวาดกลัวและอับอาย แต่ละคนเบือนหน้าหนี 

 

 

ส่วนพวกผู้ชาย พอเห็นสภาพช่วงล่างของอวี้เฉิงกัง ก็อดที่จะเจ็บแทนไม่ได้ 

 

 

แค่เห็นหน้าตาและปากที่บิดเบี้ยวของอวี้เฉิงกัง ก็รู้ว่าเขาเจ็บปวดแค่ไหน ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้น ต้องสยดสยองจนดูไม่ได้อย่างแน่นอน 

 

 

“นี่…นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว!” กระบี่ในมือหนิงซีฮ่องเต้ตกลงพื้นดังแคร๊ง ทรงก้าวถอยหลังสองก้าว เหยาฝูโซ่วรีบเข้าไปประคอง 

 

 

เยี่ยนอ๋องกลั้นหัวเราะ ก่อนตะเบ็งเสียง  

 

 

“จริงด้วย สัตว์ป่าตัวนี้ท่าจะชอบเปิบพิสดาร ฉีกเนื้อคนกินไม่ว่า ยังกินส่วนนั้นของชายชาตรีอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าใช่สัตว์ร้ายเพศเมียที่กำลังตกมันหรือเปล่า ฮาๆ…” 

 

 

ว่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แล้วจึงครุ่นคิด เหลือบมองเสด็จพี่สามที่ยืนนิ่งเหมือนป้อมปราการอยู่ด้านตรงข้าม 

 

 

ใบหน้าซย่าโหวซื่อถิงไร้ความรู้สึก ขณะเหล่ตามองน้องแปด ก่อนพูดเสียงเบา 

 

 

“ขุนนางเสียชีวิตขณะตามเสด็จล่าสัตว์ ตอนนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ น้องแปดอย่าได้พูดจาสะเปะสะปะ” 

 

 

เยี่ยนอ๋องแลบลิ้น 

 

 

พอได้ยินคำพูดของฉินอ๋อง หนิงซีฮ่องเต้ก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ จึงรีบว่า “จริงสิ ตรวจสอบออกมารึยัง ถูกสัตว์อะไรกัด” 

 

 

เจ้าหน้าที่กองกิจการภายในที่นำศพกลับมาคุกเข่าลง รายงานพลางน้ำตาไหลพราก 

 

 

“ตอนพวกกระหม่อมไปถึงนั้น หัวหน้าอวี้ก็มีสภาพเช่นนี้แล้ว ที่เกิดเหตุเจิ่งนองไปด้วยเลือด ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย บนพื้นมีรอยเท้าสัตว์ ทหารรักษาพระองค์ตรวจสอบแล้ว และได้สอบถามทหารยามประจำป่าล้อม เกี่ยวกับรอยฟันตามร่างหัวหน้าอวี้ รอยเท้าบนพื้น และขนสัตว์ที่ร่วงหล่นส่วนหนึ่ง ตามประสบการณ์ เป็นไปได้สูงที่จะเป็นหมีดำหิวโซหลายวันบุกรุกเข้ามา และล่าสุดพอดีในป่ามีหมีดำตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มอยู่ตัวหนึ่ง สูงราวหนึ่งจั้ง (1.33 เมตร) หนักราวสีร้อยกิโลกรัม จากคำให้การของเจ้าหน้าที่ป่าล้อม หมีดำตัวนี้กัดกระต่ายป่าและไก่ป่าตายเป็นพักๆ เสียงคำรามของมัน ได้ยินไปถึงพระราชนิเวศน์ ซึ่งคาดว่า สัตว์ร้ายที่กัดหัวหน้าอวี้เสียชีวิต ก็คือหมีดำตัวนี้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้สูดอากาศเย็นเข้าปอด ทรงมีประสบการณ์ในการล่าสัตว์มามาก สัตว์ที่ดุร้ายสุดในป่า ไม่ใช่เสือหรือสุนัขป่า แต่เป็นเม่นกับหมีดำ สัตว์สองชนิดนี้ ถ้าคลุ้มคลั่งขึ้นมา ก็ทำร้ายคนจนถึงแก่ชีวิตได้” 

 

 

ช่วงออกล่าสัตว์ตอนเยาว์วัย ทรงเจอหมีดำในระยะใกล้ครั้งหนึ่ง มันเป็นสัตว์ที่มีพละกำลังมหาศาล ประมาณว่าถ้าใช้เท้ากระทืบพื้น ก็สะเทือนไปทั้งป่า และหนังหนาจนยากที่จะฆ่าให้ตาย แม้ถูกธนูยิงเป็นสิบดอกก็ยังสู้ตายกับคนได้ อย่าว่าแต่หมีดำที่หิวโซมาหลายวันเลย ขนาดสุนัขล่าเนื้อตัวใหญ่ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ก็ยังไม่สามารถเอาชนะมันได้ 

 

 

ซึ่งถ้าอวี้เฉิงกังเผชิญหน้ากับหมีดำที่หิวโซจริง ต่อให้มีแปดกร ก็ไม่มีหวังที่จะรอดชีวิต 

 

 

หนิงซีฮ่องเต้โบกมือ ทหารรักษาพระองค์จึงรีบนำศพของอวี้เฉิงกังออกไป  

 

 

ทรงไพล่มือไว้ด้านหลัง ขมวดคิ้ว พลางว่า “รั้วของป่าล้อมซ่อมเสร็จหรือยัง ไม่น่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกนะ! เหตุใดรั้วที่แข็งแรงถึงได้มีช่องโหว่ ที่ทำให้สัตว์ร้ายลอดเข้ามาได้ ตามหลักแล้ว หมีดำใช้ชีวิตอยู่ในป่าลึก ทำไมถึงมาหาอาหารที่ป่าล้อมของราชสำนักได้เล่า” 

 

 

“เรียนฝ่าบาท” คนของกองกิจการภายในยังคงร้องไห้ไปพูดไป “ป่าล้อมฮู่หลงกว้างใหญ่ไพศาล รั้วกั้นในบางจุดไม่ได้ซ่อมแซมมานานหลายปีจริงๆ และไม่สามารถตรวจสอบได้หมดในระยะเวลาอันสั้น ไม่กี่วันก่อนเกิดฝนตกหนัก อาจทำให้เนื้อไม้ผุ และพังลงมา ตอนนี้กำลังซ่อมแซมและเสริมให้แข็งแรงขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีก! เจ้าหน้าที่ป่าล้อมว่า หมีดำหิวโซจะออกหากินไปทุกที่ ป่าล้อมตรงนั้นน่าจะมีความเคลื่อนไหวหรือมีใครหุงหาอะไรกิน จึงมีกลิ่นอาหารโชยออกไป กระตุ้นให้มันคลำทางตามกลิ่นมา สุดท้ายก็ลอดเข้าตรงรั้วที่ผุพัง แล้วเจอกับหัวหน้าอวี้เข้า…” 

 

 

“เฮ้อ…” หนิงซีฮ่องเต้ถอนหายใจ ก่อนโบกมือ “เอาล่ะๆ เป็นคราวเคราะห์ที่ยากรับมือจริงๆ ถือว่าปีนี้คนสกุลอวี้โชคร้าย เกิดเรื่องขึ้นไม่หยุดหย่อน ลูกสาวอวี้เหวินผิงก่อน ตอนนี้ก็เป็นหลานของเขาอีก”  

 

 

แต่กลับได้ยินฉินอ๋องว่า  

 

 

“เสด็จพ่อ มิสู้ให้ลูกไปดูป่าล้อมที่เกิดเหตุก่อน ดูว่ารั้วที่พังไปนั้น ซ่อมแซมเสร็จหรือยัง” 

 

 

มีโอรสไปกำกับดูแลด้วยตัวเอง ย่อมวางใจลง หนิงซีฮ่องเต้เพียงเกรงว่าการล่าสัตว์ที่น่าสนุกอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก จึงส่งเสียงอืมออกมา “เช่นนั้นก็ให้ซื่อถิงไปดูแทนเราก็แล้วกัน” 

 

 

เหยาฝูโซ่วจึงส่งเสียงกำชับขึ้น “เอาล่ะ ดูแลศพของอวี้เฉิงกังให้ดี แล้วหารถส่งกลับเมืองหลวงไป เตรียมม้าและอุปกรณ์ล่าสัตว์พร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วก็บอกให้ผู้ตามเสด็จไปที่ป่าล้อมได้” 

 

 

กลุ่มคนรีบรับคำ “พร้อมแล้วขอรับ! ฝ่าบาทเสด็จได้ทุกเมื่อ” 

 

 

พอซย่าโหวซื่อถิงเห็นหนิงซีฮ่องเต้เข้าไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายในกระโจมที่ประทับ ก็หันกายเดินจาก เยี่ยนอ๋องซื่อหนิงเห็น ก็รีบก้าวเข้าดักหน้า พลางยิ้มตาหยี 

 

 

“พี่สามจะไปไหนหรือ เหมือนจะไปทางป่าล้อมนะ”  

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงหันมองผู้ที่อยู่ตรงหน้า แต่ไม่หยุดฝีเท้า “ตูดหมึก อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้าน” 

 

 

“เรื่องของพี่สามก็คือเรื่องของข้า จะเรียกว่ายุ่งเรื่องชาวบ้านได้อย่างไรกัน” เยี่ยนอ๋องทำตาปริบๆ  

 

 

แต่เล็กจนโต มีกี่เรื่องบ้างที่น้องแปดไม่ยุ่งด้วย พอเห็นเขาเดินตามมาติดๆ ซย่าโหวซื่อถิงก็ไม่ได้ขวาง 

 

 

พอสองพี่น้องไปถึงป่าล้อม ตรงที่รั้วพังเสียหาย ก็เห็นช่างไม้หลายคนกำลังเร่งมือกันทำงานเสียงดังโป้งป้าง ซึ่งก็ได้ยกรั้วที่เอียงกระเท่เร่ ให้ตั้งตรงขึ้นมาได้มากกว่าครึ่งแล้ว ตอนนี้กำลังเพิ่มความแข็งแรงเข้าไปอยู่ 

 

 

บนพื้นก็ได้สาดน้ำล้างไปบ้างแล้ว แต่ยังแห้งไม่สนิท จึงมีรอยเลือดให้เห็นอยู่ น่าตกใจยิ่ง 

 

 

พอเห็นองค์ชายสามกับองค์ชายแปดเสด็จ กลุ่มคนก็ทยอยกันหยุดทำงานในมือ หันมาโค้งกายถวายบังคม “องค์ชายสาม องค์ชายแปด” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงพูด “ไม่ต้องมากพิธี รีบทำงานต่อเถิด ฝ่าบาทกำลังจะเสด็จ” 

 

 

กลุ่มคนจึงไม่รอช้า รีบก้มหน้าก้มตาทำงานกันต่อ 

 

 

“เจ้า ยืนคุมงานอยู่ตรงนี้ล่ะ” ซย่าโหวซื่อถิงหันมองเยี่ยนอ๋อง 

 

 

เยี่ยนอ๋องทำปากยื่นปากยาว แต่กลับเห็นพี่สามไพล่มือไว้ด้านหลัง แล้วเดินสบายๆ ไปยังช่องโหว่เล็กๆ ที่ยังซ่อมไม่เสร็จ ขณะกำลังจะลอดออกไป 

 

 

“องค์ชายสาม อันตรายพ่ะย่ะค่ะ ทางที่ดีอย่าออกไปเลย เพิ่งเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นด้วย” มีเจ้าหน้าที่ป่าล้อมคนหนึ่งเห็น ก็ตกอกตกใจ รีบก้าวเข้ามาปราม 

 

 

“ไม่เป็นไร เดินไปใกล้ๆ นี้เอง” ชายหนุ่มโบกมือ “กลางวันแสกๆ ไม่มีเรื่องหรอก เหยาอันอยู่ด้วยทั้งคน” 

 

 

กลุ่มคนจึงไม่พูดอะไรอีก  

 

 

เยี่ยนอ๋องมองตามอย่างแปลกใจ แต่พี่สามกับซือเหยาอันก็เดินกันไปไกลแล้ว