ตอนที่ 109-2 กับดักสังหาร สตรีชิงดีชิงเด่น

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ซย่าโหวซื่อถิงค่อยๆ เดินไปยังผืนป่าที่อยู่ไม่ไกล พอไปถึงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ก็เก็บกิ่งไม้ยาวๆ ขึ้นมากิ่งหนึ่งใช้ต่างไม้เท้าเดินป่า พอไปถึงที่ๆ หนึ่ง ก็ยกไม้เท้าขึ้นแหวกใบไม้ที่ขึ้นอย่างหนาแน่นออกเบาๆ เห็นรังผึ้งที่มีน้ำผึ้งอยู่เต็มแขวนไว้บนต้นไม้ และยังคงส่งกลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งออกมา

 

 

หมีดำชอบกินน้ำผึ้งเป็นที่สุด แถมยังมีประสาทรับกลิ่นดีเป็นลำดับต้นๆ ในหมู่สัตว์ใหญ่ด้วย

 

 

หมีดำที่หิวจนแทบคลุ้มคลั่ง ออกหาอาหารในยามค่ำคืน พอได้กลิ่นนี้ ไหนเลยจะไม่ตามกลิ่นมาเล่า

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงมองซือเหยาอันอย่างกังวลใจ

 

 

ไม่ต้องพูดมาก ซือเหยาอันรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร เขาพับแขนเสื้อขึ้น ยกหมวกติดเสื้อคลุมขึ้นคลุมศีรษะ ก่อนเดินเข้าไปโอบต้นไม้ แล้วค่อยๆ เขยิบขึ้นไป เก็บรังผึ้งลงมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็วิ่งไปที่ริมหน้าผา ทิ้งรังผึ้งลงไป ทำลายหลักฐานจนหมดสิ้น ไม่เหลือร่องรอยใดๆ

 

 

องค์ชายแปดสะกดรอยตามเสด็จพี่สามมาเงียบๆ เห็นเหตุการณ์ในระยะไกล ก็เข้าใจในทันทีว่า เรื่องรั้วกั้นก็น่าจะเป็นแผนของเสด็จพี่สาม

 

 

 

 

 

ในกระโจมสตรี พอพวกอวิ๋นหว่านชิ่นฟังเจิ้งหวาชิวเล่าจบ ก็สูดอากาศเย็นเข้าไปคำหนึ่ง หานเซียงเซียงหน้าซีด ตกใจจนย่นหว่างคิ้ว เกือบจะร้องไห้ออกมาอีก หรือการตามเสด็จในครั้งนี้ ต้องสังเวยชีวิตมนุษย์คนแล้วคนเล่า แต่เฉาหนิงเอ๋อร์กลับพูดเสียงเบา

 

 

“หัวหน้าอวี้นั่นไม่ใช่คนดีอะไร สมน้ำหน้าแล้ว”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นก็พูดปลอบหานเซียงเซียงเช่นกัน “เจ้าไม่ใช่กลัวว่าหลินลั่วหนานจะกลับมาหรอกหรือ ก็คิดเสียว่านางกลับมา และคนที่นางทำร้ายไม่ใช่เรา แต่เป็นอวี้เฉิงกังที่เกือบจะทำให้นางไม่ได้รับความเป็นธรรม ตอนนี้พอแก้แค้นเสร็จ ก็น่าจะจากไปแล้ว”

 

 

หานเซียงเซียงค่อยเช็ดน้ำตา ก่อนพูดเสียงเครืออย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณคุณหนูอวิ๋น ที่ช่วยข้าและปลอบโยนข้าในทุกๆ ครั้ง ข้านี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ”

 

 

ปากพูดปลอบหานเซียงเซียง แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับนึกสงสัยในใจ เมื่อคืนฉินอ๋องดอดเข้ามาในกระโจมสตรี พูดถึงอวี้เฉิงกัง แล้วอวี้เฉิงกังก็เสียชีวิตเมื่อคืนพอดี

 

 

ขณะกำลังสงสัย เริ่นกงกงก็ตะโกนเร่งจากด้านนอก อวิ๋นหว่านช่นจึงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ลุกขึ้นเดินไปเลิกผ้าม่านขึ้น เดินออกจากกระโจมไป

 

 

หลังจากได้ยินเรื่องของอวี้เฉิงกัง เริ่นกงกงก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง แต่พอเห็นสาวงามเดินออกจากกระโจมมา ค่อยวางใจลง  

 

 

หญิงสาวหนีบที่หนีบผมรูปนกกางเขนปากดำฝังมรกตฝีมือปราณีต และปักปิ่นประดับลูกปัดเพื่อยึดมวย

 

 

ผมสีดำคลับ ซึ่งมวยเป็นทรงเมฆาอันอ่อนช้อย สวยสง่าและมีอิสรเสรี เผยให้เห็นใบหน้ารูปไข่อันอ่อนเยาว์เต็มๆ

 

 

 ชนิดไร้เครื่องสำอางใดๆ แต่กลับแวววาวสดใสตามธรรมชาติ

 

 

นางสวมชุดขี่ม้าสตรีแบบดั้งเดิมสีน้ำเงินสด คู่กับเสื้อกั๊กติดกระดุมลายก้ามปู กระชับเอวและหน้าอก กางเกงขายาวทรงสอบ ทำให้ท่อนขาดูเรียวยาว สวมรองเท้าบูทหนังแกะสีมรกตทับขากางเกง

 

 

การแต่งกายลักษณะนี้ เผยให้เห็นทรวดทรงองเอว ซึ่งชุดกระโปรงบานที่สวมใส่ตามปกติจะมองไม่เห็น ยิ่งถ้าเป็นหญิงสาวหน้าอกใหญ่ เอวคอด สะโพกผาย เหมือนลูกพีชแบน ก็จะทำให้พวกผู้ชายจ้องตาเป็นมัน

 

 

ซึ่งขนาดเริ่นกงกงที่ไม่ได้เป็นผู้ชายมาหลายสิบปี ตอนนี้ก็ยังจ้องจนหูร้อนผะผ่าวไปบ้าง

 

 

“การแต่งตัวแบบนี้เข้ากับคุณหนูอวิ๋นมาก ฟาดที่สุดในกลุ่ม เหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งชายและหญิงต้องชมไม่ขาดปากแน่”

 

 

วันนี้สตรีในป่าล้อม นอกจากฮองเฮาและพระมเหสีรองแล้ว ก็คือเหล่าองค์หญิงกับท่านหญิง ต่อให้อยากเป็นคนสวยที่สุดในกลุ่ม ก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัว แค่นอบน้อมยังไม่พอ สาวในวังเขม่นกันแรงกว่าสาวนอกวัง อวิ๋นหว่านชิ่นไม่อยากโดดเด่น จึงยิ้มพลางย่อตัวลง

 

 

“กงกงชมเกินไปแล้ว อย่างไรก็เทียบกับสตรีสูงศักดิ์ไม่ได้แน่ ถึงตอนนั้นกงกงอย่าได้ชมข้าเช่นนี้เป็นอันขาด คนเขาจะหัวเราะเยาะข้าเอา”

 

 

เริ่นกงกงเห็นนางรู้จักแยกแยะ ก็รู้สึกว่านางไม่เหมือนลูกสาวขุนนางส่วนใหญ่ที่ตนเคยพบเห็นมา สถานการณ์แบบนี้ สตรีนางใดไม่คิดชิงดีชิงเด่นเพื่อถีบตัวขึ้นมาบ้าง กลัวก็แต่จะไม่ได้รับการแยแสสนใจจากเหล่าผู้สูงศักดิ์มากกว่า

 

 

ทั้งสองก้าวเดินพร้อมทหารรักษาพระองค์สองนาย คนหนึ่งนำหน้า คนหนึ่งตามหลัง ลัดเลาะผ่านกระโจมที่พัก จนถึงป่าล้อมฮู่หลงที่อยู่ไม่ไกลจากกัน

 

 

พอก้าวเข้าไปในป่าล้อม อวิ๋นหว่านชิ่นก็เงยหน้าขึ้น เห็นกระโจมที่ประทับสีทองตกแต่งอย่างหรูหราตั้งอยู่ตรงกลางห่างออกไปไม่ไกล ซึ่งน่าจะเป็นกระโจมของหนิงซีฮ่องเต้ ข้างป่าล้อม ทหารรักษาพระองค์จูงม้าที่ดูกำยำแข็งแรงออกมา ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน พร้อมซองใส่ลูกธนู คันธนู หน้าไม้ มีดดาบ…ล้วนเตรียมไว้พร้อมสรรพ

 

 

“คุณหนูอวิ๋นใช่ไหมเจ้าคะ องค์หญิงฉางเล่อประทับอยู่บนปรัมพิธีด้านนั้น เชิญทางนี้เจ้าค่ะ” สาวใช้ในวังชุดเขียวเข้ามานำทาง

 

 

พอมาถึงปรัมพิธี อวิ๋นหว่านชิ่นก็เห็นสตรีสูงศักดิ์หลายท่านนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของผ้าที่ขึงไว้อย่างวิจิตรตระการตา

 

 

ผู้ซึ่งนั่งอยู่กึ่งกลางด้านหน้าสุดคือเจี่ยงฮองเฮา ข่าวว่าเมื่อวานพระองค์ตกใจกับการพุ่งชนเสาของอวี้โหรวจวง จนขวัญเสียอยู่บ้าง ตอนนี้พอมองไป ก็เห็นว่ายังทรงมีท่าทางสลดหดหูอยู่ วันนี้ทรงสวมชุดแดงดิ้นทอง ลายหงส์มงคล นั่งพิงพนักเก้าอี้ เหมือนพยายามฝืนให้ทุกคนเห็นว่าทรงสบายดี

 

 

ต่างกับมเหสีรองเหวยที่หน้าตาแจ่มใส นั่งยิ้มหน้าบานอยู่อีกด้านหนึ่ง กำลังทำหน้าที่แทนฮองเฮา สั่งให้พวกบ่าวปฎิบัติงานเป็นระยะ

 

 

เยื้องมาทางด้านหลังมเหสีรองเหวย ท่านหญิงหย่งจยาสวมชุดขี่ม้าแบบสตรีสีชมพูกุหลาบนั่งอยู่

 

 

ซึ่งชุดขี่ม้านี้ ดูๆ ไปก็คล้ายกับชุดขี่ม้าของสตรีวัยรุ่นคนอื่นๆ แต่ถ้าดูให้ดีๆ กลับพบว่าใช้เวลาในการตัดเย็บอยู่ไม่น้อย ชายเสื้อกุ๊นขอบแบบใบบัว คล้ายกระโปรงก็มิปาน ส่วนกางเกงนั้น สตรีท่านอื่นๆ อย่างมากก็ตัดเป็นทรงตรงๆ ลงไป แต่นางบอกให้คนตัดเป็นแบบพลิ้วลม ไว้สวมทับรองเท้าบูท คล้ายแตรอย่างไรอย่างนั้น ไม่เหมือนใครจริงๆ

 

 

ผิวขาวๆ ของท่านหญิงหย่งจยา เดิมทีแต่งหน้าบางๆ ก็ขับผิวให้ดูเปล่งปลั่งสดใสแล้ว แต่การแต่งตัวในลักษณะนี้ แม้พูดว่าเข้ากับการขี่ม้าล่าสัตว์ ทว่าถ้าพิจารณาดูดีๆ กลับเป็นการแต่งตัวบนพื้นฐานของการมาประกวดนางงามมากกว่า

 

 

พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่น ท่านหญิงหย่งจยาก็ยิ้มพลางยกแขนที่เรียวยาวโบกไปมา

 

 

แต่อวิ๋นหว่านชิ่นละสายตาไปด้านข้าง ก่อนตรงไปถวายบังคมฮองเฮาและมเหสีรอง จากนั้นค่อยเดินตามสาวใช้ขึ้นบันไดอีกสองขั้น ไปยังเก้าอี้ที่ประทับขององค์หญิงฉางเล่อ

 

 

ทว่ายังไม่ทันเข้าไปถวายบังคม กลับได้ยินองค์หญิงเท้าคางพลางบ่นพึมพำกับสาวใช้ข้างกาย

 

 

“ดูท่าทางนางสิ เฮอะ เสด็จพ่อก็จริงๆ เลย…ให้นางเป็นสุดที่รักในวังก็แล้ว ยังต้องพาออกนอกวังมาให้ขายหน้าอีก เจ้าดูสิว่านั่นเรียกชุดอะไร ตอนเสด็จพ่อเห็น ยังพูดว่าไม่เหมือนใครอะไร ข้าว่านะ เป็นชุดลิเกที่แปลกประหลาดมากกว่า! ความคิดพิสดารกับวิธีที่ไม่เข้ากับกระแสหลักแบบนี้ กลับทำให้เสด็จพ่อชอบใจไปได้ ส่วนองค์หญิงไม่กี่คนที่อยู่ในกรอบอย่างเรากลับกลายเป็นคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรไป!” ว่าแล้วก็กำมือแน่น

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอึ้ง มองตามสายตาของซย่าโหวถิงไป