ใบหน้าซวนหยวนชิงอวิ๋นยังคงนิ่งมองมู่เฉียนซีที่เบาหวิวดั่งดอกหญ้าถูกสายลมพัด

มู่เฉียนซียิ้มจาง ๆ กล่าวว่า “อวิ๋นอ๋อง หากท่านยังคิดจะฆ่าข้าแล้วละก็ ร่างของท่านในตอนนี้คงจะไม่มีซากกระดูกหลงเหลืออยู่แล้วกระมัง ?”

“หากว่าเจ้าใช้ยาเพื่อทำให้ข้าลืมบางสิ่งบางอย่างได้ ข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า”

มู่เฉียนซียกแขนขึ้น เป่าผงสีขาวบนแขนออก ผงสีขาวนั้นลอยอยู่ในอากาศ นางกล่าว “วางยาต่อหน้าต่อตาข้าเยี่ยงนี้ กลยุทธ์ของอวิ๋นอ๋องนั้นพลาดท่าง่ายดายยิ่งนัก”

ดวงตาของนางนั้นลึกดั่งเหวนรก อีกทั้งจิตแห่งการสังหารก็ช่างน่าสะพรึง

นางหยิบเข็มยากลับมา เหลือบมองไปที่หลุมศพนั้นก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “อวิ๋นอ๋องท่านวางใจเถอะ ข้ามิใช่พวกปากโป้ง เรื่องวันนี้ข้าจะไม่พูดอะไรทั้งสิ้น” กล่าวจบร่างของนางกะพริบหายไปทันที

ซวนหยวนชิงอวิ๋นตะโกนถามไล่หลัง “ผู้นำตระกูลมู่ เจ้าไม่แปลกใจเกี่ยวกับว่าที่พระสวามีของเจ้าบ้างเลยรึ ? เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะเป็นปีศาจ ไม่ใช่ซวนหยวนจิ่วเยี่ยตัวจริงมีกายเนื้อหนังมนุษย์รึ ?”

มู่เฉียนซีกล่าว ท่าทีของนางเฉยเมย “ฮ่องเต้มีพระราชโองการออกมาเช่นนั้น ข้าก็ไม่ได้จริงจังอะไรกับเรื่องนี้มากนักหรอก ไม่ว่าเยี่ยอ๋องจะเป็นปีศาจหรือเป็นมนุษย์ ตราบใดที่เขาไม่คิดทำร้ายข้า ข้าก็ไม่สน”

นางเองก็สังเกตมานานแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับซวนหยวนจิ่วเยี่ย คนอย่างซวนหยวนจือนับว่าเป็นบุญแค่ไหนแล้วที่มีราชโอรสอย่างซวนหยวนชิงอวิ๋น จิ่วเยี่ยต้องมิใช่ราชโอรสที่แท้จริงของซวนหยวนจือเป็นแน่ พลังอันแข็งแกร่งของเขานั้น มิเหมือนกับพลังของมนุษย์ในใต้หล้านี้

มู่เฉียนซีมองไปที่หลุมฝังศพนั่น นางก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เกรงว่าซวนหยวนจิ่วเยี่ยจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

จิ่วเยี่ยก็แค่ยืมตัวตนของซวนหยวนจิ่วเยี่ยอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น  มิน่าล่ะ… ทุกครั้งที่เจอเขา เขามักจะสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่ตลอด แต่ถึงอย่างไรนางก็เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาแล้ว

ซวนหยวนชิงอวิ๋นในเวลานี้ เมื่อได้ยินนางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ก็ตกใจไปเล็กน้อย

มู่เฉียนซีกล่าวใบหน้าเคร่งขรึม “อวิ๋นอ๋อง ในฐานะที่ท่านไม่เคยวางตัวเป็นศัตรูกับข้า ข้าจะบอกบางอย่างกับท่าน ไม่ว่าคนในสุสานจะตายด้วยเหตุอันใด ท่านก็อย่าคิดแก้แค้นจิ่วเยี่ยคนปัจจุบันเป็นอันขาด เพราะเขานั้นไม่เคยล่วงเกินท่าน”

“เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แก่ใจ” ซวนหยวนชิงอวิ๋นกล่าวเบา ๆ จากนั้นมองดูเงาด้านหลังนาง ปากก็พึมพำ “ผู้นำตระกูลมู่ เจ้าในตอนนี้เปลี่ยนไปมากเช่นกัน”

หลังจากที่มู่เฉียนซีกลับมาถึงห้องพักที่ใหญ่โตมฬารในสำนักศึกษา ก็ได้ยินเสียงน้ำไหล เสียงลมหายใจที่คุ้นเคยอยู่ภายในห้อง

นางรู้ได้ทันทีว่าจิ่วเยี่ยกลับมาแล้ว  ไม่นานนัก นางเห็นจิ่วเยี่ยออกมาในชุดคลุมอาบน้ำเรียบ ๆ ไม่ปักลวดลาย ใบหน้าของของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว ช่างงดงามชวนหลงใหลยิ่งนัก

“จิ่วเยี่ย ร่างกายของเจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม

จิ่วเยี่ยพยักหน้าเล็กน้อย “อืม ไม่ต้องกังวล”

“ข้าไม่สน เจ้าตรวจร่างกายสักหน่อยเถอะเพื่อความแน่ใจ ช่วงนี้ข้าเพิ่งคิดค้นยาขึ้นมาใหม่ หวังว่าพอจะช่วยรักษาเจ้าได้บ้าง” มู่เฉียนซีกล่าวพร้อมส่งยิ้มให้เขา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจิ่วเยี่ยคราก่อนแปลกประหลาดนัก  อีกทั้งครานั้นเหตุการณ์มันสับสนอลหม่าน ทำให้นางมิอาจตรวจร่างกายของเขาได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

จิ่วเยี่ยช่วยเหลือนางมามาก  นางกลับไม่มีอะไรจะตอบแทนเขาเลย หากเป็นไปได้ นางอยากจะทำให้ร่างกายของเขากลับมาแข็งแรงเช่นเดิม

“เข้ามาในห้องข้า” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงกระด้าง

เมื่อนึกถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนั้น มู่เฉียนซีมีความรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเนื้อที่ป้อนเข้าปากเสือ ทว่านางกล่าวออกไปแล้ว เช่นนั้นมิอาจผิดสัจจะวาจาได้

นางชี้จิ่วเยี่ย “เจ้านอนลงเถอะ”

นางได้ให้ขอให้ท่านผู้อาวุโสฮั่วอวิ๋นทำเครื่องมือวิเศษออกมาชนิดหนึ่ง  และนางก็ใช้เครื่องมือนั้นโดยที่ใช้วิธีการผสมผสานแบบจีนและตะวันตกเพื่อตรวจร่างกายซวนหยวนจิ่วเยี่ย  ผลที่ออกมาปรากฏว่าร่างกายจิ่วเยี่ยแข็งแรงดี ไม่มีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย

สุดท้าย นางเก็บตัวอย่างผิวหนังและตัวอย่างเลือดของเขาเอาไว้ จากนั้นกล่าวขึ้นว่า… “รอผลก่อนนะ”

ทว่านี่ก็เป็นผลที่ทำให้จิ่วเยี่ยจับมือนางเอาไว้อย่างแน่นหนา จ้องมองนางตาเขม็ง “คราก่อนเจ้ายังไม่เข็ดรึ ?”

ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ กล่าวตอบโต้ “จิ่วเยี่ย นี่เจ้ายังกล้าพูดถึงคราก่อนอีกรึ ? หากเจ้ากล้าคิดทำเช่นนั้นกับข้าอีกละก็ ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นตัวเม่นเลยคอยดู!”

“ข้าเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น”

มือของมู่เฉียนซีในตอนนี้ถูกเยี่ยอ๋องกุมไว้แน่น  นางกล่าวอย่างกรุ่นโกรธ “หากข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่ ต่อให้เจ้าจะเก่งกล้าเพียงใด  หากข้าบ้าคลั่งขึ้นมา ข้าก็ไม่เกรงใจเจ้าเช่นกัน”

ดวงตาสีดำเข้มและดวงตาสีฟ้าเย็นชาคู่หนึ่งสบตากัน แววตาของทั้งสองแข็งกร้าวไม่มีใครยอมใคร ทันใดนั้น ใบหน้าเย็นชาอย่างยิ่งปรากฏขึ้นต่อหน้ามู่เฉียนซี

จิ่วเยี่ย “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องชดใช้ให้ข้า”

ในตอนนั้นเอง มู่เฉียนซีรู้สึกว่าอำนาจของจิ่วเยี่ยเข้าเขมือบกลืนกินนางไปทีละนิด ริมฝีปากของเขาประกบติดกับริมฝีปากนุ่มของนาง  ขณะที่นางกำลังจะลงมือแทงเข็มยาลงบนร่างของเขานั้น กลับโดนเขาคว้ามือเอาไว้ได้

จากนั้น ริมฝีปากของทั้งคู่แยกออกจากกัน สายตาก็สบกัน

มู่เฉียนซีคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเห็นร่องรอยความปรารถนาอันเลวร้ายออกมาจากดวงฟ้า ๆ เย็นชาคู่นี้ นี่ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกแบบที่บุรุษอย่างจิ่วเยี่ยควรมี

จิ่วเยี่ยกล่าวด้วยเสียงอันเบา “มู่เฉียนซี ร่างกายข้าผิดปกติ อาการรุนแรงมาก”

มู่เฉียนซีพยักหน้า กล่าวไปว่า “อืม ข้าก็รู้สึกได้ อาการของเจ้ารุนแรงอย่างแท้จริง”

อาการผิดปกติของเขารุนแรงจริง ๆ มิเช่นนั้นแล้วเขาคงไม่ทำเรื่องเช่นนี้กับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นแน่

ภายในร่างกายของเขานั้น มีอันตรายใหญ่หลวงแฝงเร้น ส่งผลกระทบต่อบุคลิกของเขาทั้งหมด ครั้นแล้วสองมือของจิ่วเยี่ยจับมือนางเอาไว้

“เจ้า… เจ้าต้องช่วยรักษาให้ข้า”

มู่เฉียนซียืนขึ้น กล่าวพร้อมยืดอก “จิ่วเยี่ย อันตัวข้าเป็นนักปรุงยา ข้าจะช่วยรักษาเจ้าแน่ แต่ข้าต้องขอศึกษาอาการนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อน …เช่นนั้นเวลานี้ข้าต้องขอตัวก่อน”

กล่าวจบนางรีบวิ่งออกไปราวกับว่ามีสัตว์ร้ายไล่ตามอยู่ด้านหลังก็มิปาน

มู่เฉียนซีพยายามศึกษา คิด และวิเคราะห์เกี่ยวกับอาการป่วยของจิ่วเยี่ยตลอดราตรีนี้  นี่เป็นอาการป่วยที่นางรับมือได้ยากที่สุดที่เคยพบเจอมา ตัวอย่างผิวหนังก็ไม่ได้พบความแปลกประหลาดแต่อย่างใด ทว่าตัวอย่างเลือดมีปัญหาอย่างมาก

แม้พลังบางอย่างจะถูกจิ่วเยี่ยบังคับเอาไว้ แต่ก็มีบางอย่างในเลือดที่มีความเหี้ยมโหดแฝงอยู่ นางรู้สึกได้!

นางเตรียมหนูสำหรับทดลองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว  ไม่นานนัก ผลก็ออกมาเป็นที่ประจักษ์แจ้ง  ความแปลกประหลาดภายในเลือดของจิ่วเยี่ยร้ายแรงอย่างยิ่ง มันสามารถทำให้เขากลายเป็นคนเหี้ยมโหดกระหายเลือดได้

สถานการณ์คราก่อนที่จิ่วเยี่ยทำลายล้างสำนักจี๋หั่ว ช่างคล้ายคลึงกับผลที่ออกมายิ่งนัก ทว่ามันก็เป็นแค่เพียงสถานการณ์สถานการณ์หนึ่ง  อีกอย่าง  หยินและหยางไม่สมดุลกันทำให้เขามีความต้องการเรื่องวาบหวามกับเพศตรงข้าม

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น สีหน้าขรึมเข้ม “มิน่าล่ะ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เองที่ทำให้จิ่วเยี่ยผู้เย็นชากลายเป็นผู้มีอารมณ์”

ขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงอันมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลดังขึ้น

“สตรีผู้งดงาม เจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก เห็นเพียงครั้งเดียวก็สามารถวิเคราะห์อาการของเยี่ยได้”

กลิ่นหอมโชยมา ร่างสีเขียวก็ลอยเข้ามาในห้องตำราของมู่เฉียนซี เอวคอดเรียวมีเสน่ห์ราวกิ่งหลิวยืนอยู่ข้างหน้าต่างภายในห้อง มุมปากของเขายกยิ้มเล็กน้อย

มู่เฉียนซีเห็นเขา ผงะไปครู่หนึ่ง “เจ้าอีกแล้วรึ ?”

จื่อโยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อ้อ ข้าลืมแนะนำตัวไป ข้ามีนามว่าจื่อโยวววว เป็นคนของเยี่ยยยย”

ด้วยน้ำเสียงลากยาวยานคางมีเอกลักษณ์ อีกทั้งใบหน้าอันทรงเสน่ห์นั้น ชวนให้ผู้คนหลงใหลง่ายดายยิ่งนัก

.