ตอนที่ 13 ลูกค้าคนแรก!

นำแผ่นป้ายสำหรับแขวนไว้เหนือประตูกลับมาแล้ว โจวเจ๋อตั้งใจจะตอกตะปูทั้งสองฝั่ง อันไหนจะวางซ้ายวางขวาโจวเจ๋อก็ไม่ได้ใส่ใจ

หนุ่มน้อยสวี่ชิงหล่างที่อยู่ร้านข้างๆ มีความกระตือรือร้นมาก

เดิมทีเขาที่นั่งยอง ๆ ปอกกระเทียมอยู่หน้าประตู เห็นว่าโจวเจ๋อกำลังจะแขวนแผ่นป้ายก็หยิบค้อนและตะปูจากบ้านตัวเองออกมาทันที

โจวเจ๋อกล่าวขอบคุณ หยิบค้อนขึ้นมา และขณะที่สัมผัสโดนมือ รู้สึกได้ถึงความลื่นเล็กน้อย และมีอาการหน่วงอยู่บ้าง โจวเจ๋อกลั้นความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยและตอกแผ่นป้ายทั้งสองขึ้นไปข้างบน

หลังจากนั้น

ทั้งคู่ก็ก้าวถอยหลังออกมาด้วยกัน มองป้าย มองประตู มองร้านหนังสือ

โจวเจ๋อยื่นบุหรี่เป็นการขอบคุณสวี่ชิงหล่างมวนหนึ่ง สวี่ชิงหล่างจุดบุหรี่ให้โจวเจ๋อ

ทั้งคู่พ่นควันบุหรี่ออกมาพร้อมกัน

ท่าทางเหมือนกันหมดเลย

“มีศิลปะแล้วใช่ไหม” โจวเจ๋อเอ่ย นี่เป็นการโอ้อวดที่เป็นเรื่องปกติ

สวี่ชิงหล่างส่ายหัว “ถ้าผมเดาไม่ผิดละก็ สองประโยคนี้น่าจะมาจากหนังสือชื่อ ‘บันทึกเยว่เวยเฉ่าถาง’ ของจี้อวิ๋น”

‘บันทึกเยว่เวยเฉ่าถาง’ คือจี้อวิ๋นหรือจี้เสี่ยวหลานที่เขียนเรื่องเล่าคล้ายกันกับเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ ใช้เรื่องเกี่ยวกับเทพจิ้งจอกและภูตผีปีศาจมาแสดงถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้แต่ง

ความหมายของกลอนคู่นี้คือ เรื่องเล่ากล่าวขานเหล่านี้ข้าเคยได้ยินมา ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ตั้งใจฟังก็พอ

“อืม” โจวเจ๋อพยักหน้า

“ยังออกแนวฮิปสเตอร์เกินไป ร้านของคุณก็ยังขาดทุนอยู่ดี” การประเมินของสวี่ชิงหล่างไม่มีความเกรงใจใดๆ

“ทำไม”

“ในโลกใบนี้มีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน และมีเรื่องแปลกประหลาดต่างๆ เกิดขึ้นทุกวัน แต่เรื่องที่คนรู้สึกสนใจจริงๆ กลับมีไม่มาก บางเรื่อง พูดไปก็ไร้ความหมาย บางเรื่อง ก็ไม่ควรพูดด้วยซ้ำบางเรื่อง ไม่ปรุงแต่งก็ไม่มีคนฟัง บางเรื่อง ไม่ปรุงแต่งก็ไม่กล้าฟัง”

โจวเจ๋อมองไปที่สวี่ชิงหล่างชั่วขณะหนึ่ง

สวี่ชิงหล่างก้มศีรษะเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ

เดิมทีเขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล มีความอ่อนช้อยสวยงามและเป็นธรรมชาติ ในเวลานี้มันยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก

สวี่ชิงหล่างเห็นโจวเจ๋อไม่พูดอะไร ก็เอ่ยต่อ

“อย่างเช่นวิญญาณแห่งขุนเขา จิ้งจอก ภูตผีปีศาจ ในโลกแห่งความเป็นจริงมีอยู่จริงที่ไหนกัน” สวี่ชิงหล่างหาวหวอดๆ “หลักการของสิ่งจอมปลอม มันจะจริงได้สักเท่าไรกันเชียว”

โจวเจ๋อยังคงมองสวี่ชิงหล่างโดยที่ไม่พูดอะไร

สวี่ชิงหล่างถูกมองจนรู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย

แต่โจวเจ๋อก็ยังมองเขาอยู่อย่างนั้น

ในที่สุด สวี่ชิงหล่างโบกมือไหวๆ บอกว่าจะกลับไปทำน้ำซุปแล้ว เมื่อเขาเดินกลับไปที่ร้านบะหมี่ รู้สึกเพียงแค่ว่ากระสับกระส่ายเหมือนนั่งอยู่บนเปลวไฟ เพราะว่าเมื่อสักครู่นี้ เขารู้สึกราวกับว่าโจวเจ๋อไม่ได้มองตัวเอง

แต่กำลังดูเรื่องตลกเสียอย่างนั้น

โจวเจ๋อไม่ได้สนใจสวี่ชิงหล่างคนนั้น เพราะทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกัน ถ้าอย่างนั้นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองก็แล้วกัน อีกอย่างไม่ใช่ความสัมพันธ์แข่งขันแย่งชิงกัน สิ่งที่สำคัญก็คือ โจวเจ๋อไม่มีเงินเปลี่ยนร้านหรอกนะ

ในช่วงบ่าย โจวเจ๋อจัดระเบียบหนังสือประเภทแนะแนวการเรียนเป็นส่วนใหญ่ในร้านหนังสืออีกครั้ง ขายให้คนเก็บขยะในราคาขายเศษกระดาษไปซะ

และไปซื้อเก้าอี้พลาสติกเล็กๆ ที่ร้านสะดวกซื้อมาสิบตัว ชั้นหนังสือที่เหลืออยู่เพียงสองชั้นเอาไว้วางหนังสือที่โจวเจ๋อรู้สึกว่ามันมีความน่าสนใจอยู่บ้าง

ในตอนนี้ แทนที่จะพูดว่าเป็นร้านหนังสือ สู้บอกว่าเป็นศูนย์นันทนาการสำหรับผู้สูงอายุแห่งหนึ่งจะดีกว่า

โจวเจ๋อบิดขี้เกียจ การทำธุรกิจนั้น เขาไม่ถนัดสักเท่าไร ตอนนี้ ก็เพียงแค่หลับหูหลับตาทำๆไปเท่านั้น ถึงอย่างไรเสียตอนที่สวีเล่อยังอยู่ก็ขาดทุนอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ตัวเองจึงก็ไม่ได้กดดันอะไร

เมื่อมาถึงห้องเล็กๆ บนชั้นสอง โจวเจ๋อเปิดสวิตซ์ของตู้แช่ ตั้งอุณหภูมิ และสูบบุหรี่หนึ่งมวนรออยู่ข้างนอกสักครู่ จากนั้นยื่นมือเข้าไปสัมผัสในตู้แช่

อุณหภูมิกำลังได้ที่เลย โจวเจ๋อเข้าไปนอน

ตู้แช่ที่ซื้อมาในราคาหมื่นกว่าหยวน แน่นอนว่าฟังชันก์มีไม่น้อยเลย อย่างเช่นตั้งเวลาได้ เหมือนกับเป็นนาฬิกาปลุกของโจวเจ๋อตัวหนึ่ง

ปิดฝาตู้แช่จนสนิท

โจวเจ๋อวางมือตัวเองไว้ตำแหน่งท้องน้อยแล้วนอนตัวตรง

ดูเหมือนเป็นผู้ที่จากไปอย่างสงบสุข

กลางดึก

รถเก๋งสีแดงจอดอยู่ริมถนนหน้าร้านหนังสือ ถนนสายนี้ค่อนข้างโล่ง อีกฝั่งประตูของร้านก็เป็นร้านบะหมี่และร้านหนังสือที่ไฟยังคงสว่างอยู่

เด็กสาวที่นั่งอยู่ในรถสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยดูดี เป็นเสื้อแจ็กเก็ตสีดำ มีผ้าคลุมไหล่ ดูน่ารักและอ่อนช้อย

“เซี่ยวไป่ ไอ้สารเลวนี่ ฉันเตรียมตัวมาตั้งสามวัน วันนี้นายกลับบอกฉันว่าหนีไปทำงานนอกพื้นที่แล้ว นายไปตายซะเถอะ ไสหัวไป!”

เด็กสาวตัดสายโทรศัพท์ทิ้ง ได้แต่นั่งคับแค้นใจอยู่บนที่นั่งฝั่งคนขับ

สุนัขพันธุ์คอร์กี้ที่นั่งอยู่ฝั่งที่นั่งข้างคนขับ กระโดดขึ้นไปนั่งบนตักของเด็กสาว ขนของมันสลวยและเงางาม ดูเหมือนเป็นพันธุ์ที่ดีและได้รับการใส่ใจเลี้ยงดูมาอย่างดี

“เด็กดี ดีนะที่ยังมีแกอยู่เป็นเพื่อนฉัน”

เด็กสาวจุดบุหรี่หนึ่งมวน ยื่นมือออกไปสบัดเขี่ยก้นบุหรี่ สายตามองออกไปข้างนอกและมองเห็นร้านหนังสือ ประเด็นสำคัญคือสามารถมองลอดผ่านบานหน้าต่างกระจก จะเห็นว่าเครื่องเรือนภายในค่อนข้างแปลกตา มีชั้นวางหนังสือไม่มากนัก แต่กลับมีเก้าอี้พลาสติกอยู่หลายตัวเสียได้

หลังจากลงจากรถแล้ว เด็กสาวอุ้มสุนัขพันธุ์คอร์กี้ไว้ในอ้อมแขน และเดินไปที่ร้านหนังสือ เธอไม่อยากขับรถเที่ยวไปอย่างไร้จุดหมาย ในคืนวันวาเลนไทน์เพียงลำพัง เธออยากจะหาสถานที่เงียบๆ นั่ง

ประตูร้านหนังสือไม่ได้ปิด เมื่อเดินเข้ามาก็รู้สึกได้ถึงเครื่องทำความร้อนภายในร้าน

เด็กสาวจูงสุนัขของตัวเอง หยิบนิตยสารบนชั้นหนังสือออกมามั่วๆ หนึ่งเล่ม หลังจากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่ง

เธอปล่อยสุนัขคอร์กี้ เจ้าสุนัขเริ่ม ‘สำรวจ’ ภายในร้านหนังสือ

หลังจากพลิกดูนิตยสารจนจบ หญิงสาวก็บิดขี้เกียจเบาๆ รู้สึกคอแห้งเล็กน้อยแล้วจึงตะโกนขึ้น

“เถ้าแก่ คุณอยู่ไหม ที่นี่มีชานมหรือกาแฟบ้างไหม”

เด็กสาวลุกขึ้นยืน วางนิตยสารในมือก่อนหน้านี้กลับไปไว้ที่เดิม และเลือก ‘ความฝันในหอแดง’ ฉบับแทรกภาพประกอบหนึ่งเล่ม เมื่อเธอนั่งลงอีกครั้งก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนอีก

“เถ้าแก่ คุณตายกลางดึกไปแล้วเหรอ แล้วก็เปิดร้านไว้อย่างนี้เนี่ยนะ”

มีป้ายเล็กๆ ‘เปิดบริการ ยินดีต้อนรับ’ แขวนอยู่ที่ประตูกระจกของร้านหนังสือ ประตูร้านหนังสือก็เปิดทิ้งไว้และเปิดเครื่องทำความร้อนด้วย ต้องอยู่ในช่วงเปิดบริการแน่นอนอยู่แล้ว

ถ้าหากในเวลานี้เด็กสาวไม่มีมารยาทอีกสักนิดและมีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่านี้อีกสักหน่อย เดินขึ้นไปดูที่ชั้นสองด้วยตัวเองละก็ เธออาจจะชื่นชมตัวเอง ‘ที่เดาไว้ตรงเผง’ เลยก็ได้

มีโลงเย็นอยู่ในพื้นที่เตี้ยๆ ชั้นสองจริงๆ

เถ้าแก่นอนอยู่ในนั้น และดูเหมือนคนตายจริงๆ

ไม่สิ เถ้าแก่เป็นคนตายอยู่แล้วต่างหาก

แน่นอนว่า ก่อนที่เด็กสาวจะทันได้ชื่นชมตัวเองนั้น มีความเป็นไปได้มากที่จะตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปเสียก่อน

คนทั่วไปเข้าไปในร้านกลางดึกแล้วกลับพบว่าเจ้าของร้านนอนอยู่ในโลงเย็นที่กำลังแช่แข็งอยู่ จะสยองไหมล่ะ?

เด็กสาวจุดบุหรี่อีกหนึ่งมวน เริ่มหมดความอดทนเล็กน้อย เริ่มล้วงมือถือขึ้นมาเล่น

ในเวลานี้ มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางบันได ไม่ใช่เพราะโจวเจ๋อได้ยินเสียงตะโกนเรียกของเด็กสาว เขาตื่นขึ้นมาเองต่างหาก

ทันทีที่ลงบันได โจวเจ๋อก็เห็นเงาร่างสีเหลืองๆตัวเล็กๆ กระโดดขึ้นไปเกาะขาของตัวเอง อ้อนให้ตัวเองอุ้ม

โจวเจ๋อยิ้มพลางก้มลงและอุ้มสุนัขคอร์กี้ไว้ในอ้อมกอด เจ้าสุนัขไม่กลัวคนแปลกหน้า กับใครก็ดูเหมือนสนิทไปเสียหมด

ทันใดนั้น โจวเจ๋อก็พบว่ามีหญิงสาวนั่งอยู่ในร้านหนังสือ

โอ้ ลูกค้าคนแรกที่มาประเดิม

แต่ไม่ได้ตื่นเต้นอย่างที่คิดไว้ เพราะโจวเจ๋อเพียงแค่เปลี่ยนป้ายร้านหนังสือไปในวันนี้ และทำความสะอาดเครื่องเรือนภายในก็เท่านั้น

ทว่ายังไม่ได้คิดไว้เลย ต่อไปจะหาเงินอย่างไร

“เถ้าแก่ที่นี่มีกาแฟไหม”

เด็กสาวเอ่ยถาม

โจวเจ๋อยื่นนิ้วและชี้ไปที่ตู้กดน้ำที่อยู่ตรงมุมห้อง ในตู้กดน้ำยังมีถ้วยกระดาษแบบใช้แล้วทิ้งวางอยู่

เด็กสาวรู้สึกจำใจเล็กน้อย แต่ก็ยังลุกขึ้น เทน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้ว จากนั้นก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้พลาสติกตัวเล็กของตัวเองต่อ

เจ้าของหนึ่ง ลูกค้าหนึ่ง

สบตากัน ไร้การพูดคุย

หลังจากเงียบไปประมาณครึ่งชั่วโมง เด็กสาวก็เข้าเวยป๋อและเริ่มดูวิดีโอคลิป มีคลิปหนึ่งเสียงดังลั่น หนวกหูมาก

“เดินเลยไปแล้ว เดินทางพลาดไปแล้ว แต่ห้ามพลาดโอกาส! กระดาษเงินกระดาษทองจากพรของนักพรตเฒ่า มีจำนวนจำกัด! ท่านเผามันและอีกหน่อยตอนท่านลงไป ก็สามารถเบิกออกมาใช้ได้ ทั้งยังได้กินดอกเบี้ยอีกนิดหน่อย ดอกเบี้ยสูงกว่าอวี๋เอ๋อร์เป่า[1]! และยังสามารถเผาส่งไปให้ญาติสนิทมิตรสหายของตัวเองที่อยู่ข้างล่างได้ด้วย สะดวกรวดเร็ว ไม่มีหลอกทั้งเด็กและคนชรา ผีไม่มากวนใจ จะไม่ถูกหากำไรจากคนแล้วคนเล่าแน่นอน!”

หลังจากเด็กสาวได้ดูคลิปนี้ก็หัวเราะขึ้นมา โดยทั่วไปแล้วเมื่อคนเจอเรื่องตลกขำขันมักจะมีนิสัยแบ่งปัน เธอเงยหน้าขึ้น มองไปยังเถ้าแก่ที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์พลางเอ่ย

“เถ้าแก่ คุณเคยดูคลิปนี้หรือยัง ไลฟ์สตรีมมิ่งของนักพรตเฒ่าคนนี้ค่อนข้างดังเลยนะ จนเกือบจะกลายเป็นคนดังในอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว”

“อ๋อ ไลฟ์สตรีมมิ่งงั้นเหรอ” โจวเจ๋อรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เขาหยิบมือถือออกมา มือถือของสวีเล่อมีแอพพลิเคชันไลฟ์สตรีมมิ่งไม่น้อยเลยจริงๆ ดูเหมือนว่าในวันธรรมดาเจ้านี้จะรู้สึกเบื่อมากจริงๆ

“อืม คุณค้นหาไอดีของเขาสิ ตลกมาก ดูเหมือนว่าเขาจะเปิดร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายแห่งหนึ่งที่เมืองหรงเฉิงน แต่ก็ไม่ได้ไลฟ์สตรีมมิ่งมานานแล้ว”

โจวเจ๋อเปิดแอพพลิเคชัน เริ่มค้นหาไอดีของนักพรตเฒ่าตามคำพูดของเด็กสาว ค้นเจอห้องไลฟ์สตรีมมิ่งอยู่ห้องหนึ่ง เจ้าของไลฟ์ไม่อยู่บ้าน

แต่โชคดีที่สามารถดูคลิปย้อนหลังได้ โจวเจ๋อกดเล่นคลิปของเดือนก่อนๆ ขึ้นมามั่วๆ

ในคลิปนั้นนักพรตเฒ่ากำลังตั้งมือถือไว้ตรงตำแหน่งหนึ่ง ปล่อยหมัดอยู่คนเดียวตรงนั้น ลีลาการชกไม่เลวทีเดียว สามารถดูออกว่าเป็นผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ ในภาพในคลิปนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น มีรอยยิ้มตรงมุมปาก ตาหยี เหมือนว่ากำลังดูละครลิงอยู่

โจวเจ๋อกรอไปข้างหน้าอย่างขอไปที ในภาพก็ปรากฏชายหนุ่มคนหนึ่ง นั่งอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ ถือช้อนไว้ในมือ ดูเหมือนว่ากำลังซดโจ๊กอยู่

นักพรตเฒ่าพูดจาฉะฉานในจอหลักของคลิปวิดีโอ โปรโมตตัวเองรวมไปถึงเงินกระดาษที่ตัวเองขายในเถาเป่าอย่างต่อเนื่อง แต่สายตาของโจวเจ๋อกลับมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ในมุมของวิดีโอโดยไม่รู้ตัว

เขาขมวดคิ้ว เขากำลังทรมาน เขากำลังทุกข์ เขากำลังขับไล่

โจ๊กหนึ่งคำ

เขาทานมันอย่างยากลำบาก

จากนั้นก็ต่อด้วยคำที่สอง

เหมือนกับถูกลงโทษอย่างไรอย่างนั้น

โจวเจ๋อดูไปเรื่อยๆ และสูดหายใจเข้าลึกๆ ราวกับว่าเขาถูกชายหนุ่มที่อยู่ตรงมุมของวิดีโอแพร่เชื้อเข้าให้แล้ว

การทานข้าว

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

เขาไม่รู้สถานะตัวตนของชายหนุ่มในคลิปวิดีโอคนนั้น แต่รู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ อีกฝ่ายน่าจะเป็นโรคเบื่ออาหาร? หรือเป็นโรคอะไรในกระเพาะและลำไส้?

หลังจากวิดิโอเล่นจนจบแล้ว โจวเจ๋อก็เปิดไปที่หน้าหลัก เกิดจากความสนใจล้วนๆ จึงเข้าสู่ระบบบัญชีของสวีเล่อและส่งข้อความส่วนตัวให้กับนักพรตเฒ่าในทันที

“ผู้ชายที่นั่งซดโจ๊กอยู่ด้านหลังในวิดีโอคนนั้น คือใคร”

“นี่ ฉันจะไปแล้วนะ เท่าไรล่ะ” เด็กสาวลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจไปหนึ่งที “เรื่องวันนี้ถ้าพูดออกไปคนอื่นจะต้องคิดว่าฉันโง่แน่ๆ คืนวันวาเลนไทน์แท้ๆ ฉันดันมานั่งอ่านความฝันในหอแดงอยู่ในร้านหนังสืออยู่ตั้งนาน”

“คุณให้เท่าไรก็เอา” โจวเจ๋อพูด

อีกฝ่ายอ่านหนังสืออยู่ครู่หนึ่งและรินน้ำสะอาดให้ตัวเองหนึ่งแก้ว

เด็กสาวเหลือบมองโจวเจ๋อ “เถ้าแก่ กลยุทธ์นี้ของคุณช่างดีจริงๆ เหมือนพวกอาจารย์ที่นั่งทำนายเซียมซีในวัดเลย ตรงเบาะกลมเขียนป้าย ‘เสี่ยงเซียมซีฟรี’ ไว้ หลังจากรอจนนักท่องเที่ยวเขย่าเซียมซีแล้วไปหาเขาเพื่อทำนาย เขาค่อยหยิบกระดาษสำหรับทำทานสีแดงออกมาหนึ่งแผ่นส่งให้คุณ ด้านบนเขียนชื่อและเงินค่าชุดตะเกียงธูปเทียนตัวใหญ่ๆเรียงกัน ขั้นต่ำหนึ่งร้อยหยวน”

โจวเจ๋อยิ้ม ยังคงปิดปากเงียบ

เด็กสาวหยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาหนึ่งใบ วางไว้บนเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งไปก่อนหน้านี้ จากนั้นเธอก็อุ้มสุนัขคอร์กี้ไว้และเปิดประตูออกไปจากร้านหนังสือ

โจวเจ๋อลุกขึ้น เก็บแบงค์ร้อยขึ้นมาดีดในมือไปหนึ่งที

เสียงดังฟังชัด

นี่เป็นหนึ่งในเสียงที่ไพเราะที่สุดของโลกใบนี้เลย

เมื่อเขาเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง โจวเจ๋อพบว่าหน้าจอมือถือของเขาสว่างขึ้นเล็กน้อย และเมื่อเขาเปิดมือถือก็พบว่ามีข้อความตอบกลับ ซึ่งเป็นข้อความตอบกลับส่วนตัวของนักพรตเฒ่า เนื้อหาของข้อความตอบกลับนั้นเรียบง่ายมาก

“ไม่มีนี่!”

……………………………………………………

[1] อวี๋เอ๋อร์เป่า คือบริการจัดการกองทุนของอาลีเพย์