ตอนที่ 14 ปีใหม่แล้ว!

ตลอดช่วงเย็นวันนี้ มีลูกค้าคนนี้รายเดียว รายได้ทั้งหมดคือหนึ่งร้อยหยวนถ้วน แต่ต้นทุนของค่าใช้จ่ายแค่น้ำเพียงแก้วเดียวเท่านั้น

แน่นอนว่า คุณยังพูดได้เลยว่ายังมีต้นทุนค่าใช้จ่าย เช่น ค่าไฟและค่าเช่า…

แต่ก็ไม่ควรจะนับแบบนี้ เมื่อก่อนตอนที่สวีเล่อยังอยู่ พวกนี้ก็คือต้นทุนเช่นกัน แต่รายรับของเขานั้นแทบลืมนับมันไปได้เลย ผู้คนมักจะต้องหาเป้าหมายเปรียบเทียบที่เหมาะสม ถึงจะสามารถทำให้ตัวเองได้รับความพึงพอใจ รวมไปถึงความมั่นใจในชีวิตบ้างเล็กน้อย

นอกจากนี้ยังเป็นเพราะเด็กสาวที่เลี้ยงสุนัขคอร์กี้คนนั้นอีก โจวเจ๋อเพิ่งรู้ว่าวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์

เปิดวีแชทปัดไปมาจนหาบัญชีของหมอหลินเจอและกดเข้าไป โจวเจ๋ออยากส่งอั่งเปาให้ จะส่ง 1314 พบว่าเงินตัวเองมีไม่พอ หากเป็น 131.4 ก็คงจะพออยู่หรอก แต่ถ้าส่งให้อย่างนี้กลับรู้สึกเหมือนคนขี้เหนียว

อีกอย่างเธอก็ไม่หลับนอนกับผมสักหน่อย

ช่างมันเถอะ

ไม่ส่งแล้ว

โยนมือถือทิ้งไป โจวเจ๋อหาหนังสือมาสักเล่มพลิกเปิดไปเรื่อยๆ และยังคงสภาพนี้ไปตลอดทั้งช่วงบ่าย

ไปทานเกี๊ยวที่ร้านข้างๆ ผิวจะบางหรือไม่ ไส้จะหนาหรือเปล่า โจวเจ๋อไม่แน่ใจและยังคงทำตามวิธีทานก่อนหน้านี้ หลังจากดื่มน้ำลูกพรุนแก้วใหญ่ลงไปในกระเพาะแล้ว ก็เริ่มกลืนกินมันในทันที จากนั้นก็จับคอของตัวเองเอาไว้และหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอาการอาเจียนเอาไว้

เมื่อคิดว่าอีกหน่อยตัวเองจะต้องผ่านขั้นตอนนี้ทุกครั้งที่ทานอาหาร โจวเจ๋อก็รู้สึกว่าวันเวลาในอนาคตของตัวเองดูเหมือนจะถูกเงามืดบดบัง

โจวเจ๋อนึกถึงชายหนุ่มที่ทานโจ๊กด้วยความทรมานเหมือนกันในวิดีโอ คิดๆ แล้วก็เศร้าเล็กน้อย เดิมทีการทานอาหารเป็นหนึ่งในความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แต่ตอนนี้กลับต้องตัดขาดจากพวกมัน

และไม่รู้ว่ามีกลุ่มสโมสร ‘ผู้เบื่ออาหาร’ ในโลกหรือไม่ เมื่อทุกคนมาชุมนุมนั่งล้อมรวมกันที่โต๊ะ ใครทานอาหารได้ก่อน จากนั้นทุกคนก็ยกนิ้วให้

‘คุณยอดเยี่ยมที่สุดเลย!’

XXX ของเรายอดไปเลย!

หายใจเข้าลึกๆ ภาพฉากนี้ทำให้รู้สึกกลัวจนตัวสั่นเลยทีเดียว

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คลิปวิดีโอเมื่อวานรวมไปถึงนักพรตเฒ่าและชายที่ทานโจ๊กคนนั้นในวิดีโอ สำหรับโจวเจ๋อแล้ว ตอนนี้มันออกจะไกลไปสักหน่อย

หลังวันวาเลนไทน์ก็จะเป็นวันส่งท้ายปีเก่า นั่นก็คือวันที่สามสิบของสิ้นปี ถ้าเปลี่ยนเป็นวันปกติ ศูนย์การค้าแห่งนี้จะต้องเต็มไปด้วยแสงไฟรื่นเริง และ ‘กลิ่นอายของปีใหม่’อย่างแน่นอน แต่ความเป็นจริงแล้วตอนนี้ก็ยังวังเวงวิเวกเหมือนเดิม

นี่มันก็เหมือนกับชีวิตคนเรา ในเมื่อมีความคึกคักก็ย่อมมีความเงียบเหงาเป็นธรรมดา

โจวเจ๋อจำได้ว่าเมื่อศูนย์การค้าแห่งนี้เพิ่งเปิดขึ้น มันก็ตกอยู่ความสนใจมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ในตอนนี้ไม่มีใครสนใจอีกต่อไป

กิจการของสวี่ชิงหล่างในวันนี้ไม่เลวทีเดียว น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมร้านค้าอื่นๆ หลายแห่งถึงได้ปิดตัวลง ในวันที่สามสิบของสิ้นปี เขาคนนี้ยังคงแน่วแน่ที่จะทำเดลิเวอรีตามเดิม และแน่นอนว่าจะได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม อย่างไรเสียก็เป็นเพราะลูกค้ามีช่องทางให้เลือกน้อยลง

ในบางครั้งจะมีคนส่งของในชุดสีน้ำเงิน ชุดสีเหลือง หรือชุดสีแดงเข้าๆ ออกๆ จากร้านบะหมี่ของเขา โจวเจ๋อนั่งยองๆ ที่ทางเข้าร้านหนังสือของเขา ขณะที่สูบบุหรี่ก็ถอนหายใจไปพลาง

สวีเล่อไอ้ซื่อบื้อ เปิดร้านไก่อบขิงตั้งแต่แรกดีจะตาย

เทพเซียนในเรื่องเทพนิยายชอบพูดประโยคว่า หนึ่งวันบนฟ้า หนึ่งปีบนโลก

ในความเป็นจริง โจวเจ๋อรู้สึกว่าสิ่งนี้น่าจะถูกต้องแล้ว และสำหรับนรกนั้นก็ใช้เหมือนๆ กัน

จำได้ว่าตัวเองตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์…ไม่สิ จำได้ว่าตอนที่ตัวเองถูกส่งไปเผาในเตาเผา น่าจะเพิ่งเป็นวันเด็กในวันที่ 1 มิถุนายน และตอนนี้เพียงแค่ในพริบตาก็จะถึงวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว

เวลาครึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับฝันที่ล่องลอยไป เพียงแต่ว่าเป็นการเดินทางเพียงครึ่งทางด้วยความทึ่มทื่องุนงงบนเส้นทางไปสู่นรก

หลังจากสูบบุหรี่ไปไม่น้อยและคิดมากอยู่พอสมควร โจวเจ๋อรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา อยากดูว่าช่วงนี้มีภาพยนตร์เรื่องอะไรบ้างและโรงภาพยนตร์อยู่ด้านข้างพอดี ตัวเองสามารถไปฆ่าเวลาแถวนั้นได้

“เฮ้ ที่บ้านคุณมีหนังสือพิมพ์บ้างไหม” สวี่ชิงหล่างที่วุ่นๆ กับเด็กส่งของและคำสั่งซื้อ ล็อตสุดท้ายเสร็จแล้วเดินออกมา

“เอาไปทำอะไร”

“ปูผนังน่ะสิ” สวี่ชิงหล่างตอบ

“ประหยัดขนาดนี้เลยเหรอ”

“หนังสือพิมพ์ปูผนัง ถึงจะได้กลิ่นอายบรรยากาศและกลิ่นอายความรู้สึกของรุ่นอายุ”

“ยังมีอีกหน่อย รอเดี๋ยว ฉันจะไปหามาให้”

โจวเจ๋อกลับเข้าไปในร้าน ย้ายหนังสือพิมพ์ซ้อนกัน ขนาดความสูงครึ่งตัวคนออกจากในกล่องใกล้ๆ ตู้แช่บนชั้นสอง หลังจากลงไปข้างล่างแล้วก็ส่งให้สวี่ชิงหล่างที่รออยู่ตรงนั้น

“คุณไม่กลับบ้านฉลองปีใหม่เหรอ” สวี่ชิงหล่างถาม

“อยู่เป็นเพื่อนหนังสือฉลองปีใหม่”

น่าเสียดายที่โจวเจ๋อไม่มีเคราแพะ และไม่มีเหล้าอยู่ในมือ

ไม่อย่างนั้นจะดื่มให้กับประโยคเด็ดนี้สักแก้ว

“นายก็ไม่กลับบ้านไม่ใช่หรือไง” โจวเจ๋อที่กำลังมึนเมาคนเดียว นิ่งอยู่ครู่หนึ่งถามขึ้นอีกครั้ง

“ห้องชุดตั้งยี่สิบหลัง ผมจะกลับบ้านหลังไหนล่ะ” สวี่ชิงหล่างถอนหายใจ

“…” โจวเจ๋อ

ทั้งสองนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และโจวเจ๋อก็เอ่ย “ฉันจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง”

“เอาสิ” สวี่ชิงหล่างพยักหน้า สีหน้าและอารมณ์เรียบเฉยเล็กน้อย ผมของเขายาวนิดหน่อย และปอยผมสองสามปอย ตกลงมาคลอเคลียที่มุมปากของเขา เขายื่นมือออกมาลูบเส้นผมออกด้วยท่าทางที่อ่อนโยน ดูเป็นคนขี้อายจริงๆ

ความรักระหว่างชายหญิงขณะนี้ไม่เพียงพอสำหรับมนุษยธรรมด้วยเหมือนกัน

“เคยมีครั้งหนึ่ง ก็คือวันที่เฉลิมฉลองปีใหม่นั้นเอง ระหว่างทางตอนดึก มีใครบางคนพบเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในพื้นที่นั้น เศรษฐีดื่มเหล้าเมามาย คนผู้นั้นถามเศรษฐีว่า ทำไมคุณถึงไม่กลับบ้าน เศรษฐีตอบว่า บ้าน บ้านของฉันอยู่ที่ไหน ครอบครัวและญาติของฉันต่างก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างฉัน บ้านที่คุณกำลังพูดถึงใช่คฤหาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองของฉันน่ะหรือ”

หลังจากที่สวี่ชิงหล่างได้ฟังเรื่องนี้ เขาพยักหน้าเล็กน้อย ราวกับว่ามีความรู้สึกแบบเดียวกัน

“จากนั้นชายคนนั้นก็กดเศรษฐีลงกับพื้นแล้วตะโกน ชวนคุณออกไปส่งท้ายปีเก่าแสร้งทำเป็นอวดดี!”

โจวเจ๋อเล่าเรื่องต่อไปจนจบ

สวี่ชิงหล่างเงียบงัน

บทสนทนาของทั้งสองคนจบลงแล้ว

โจวเจ๋อกลับไปที่ร้านหนังสือของเขา ร้านหนังสือเปิดเครื่องทำความร้อนเอาไว้ จึงอุ่นสบาย เขาพลิกมือถือในมือ และไม่มีใครที่จะติดต่อได้

เดิมคิดอยากจะไปเยี่ยมสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดๆ ดูแล้วก็ลืมๆ มันไปเถอะ ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเงินไม่เท่าไรเอง

แต่ทว่าในเวลานี้เอง มีลูกเค้าเข้าร้านแล้ว เป็นเด็กหนุ่มที่สวมใส่ชุดทำงานสีฟ้าทั้งตัวและสวมหมวกกันน็อค เขาผลักประตูร้านหนังสือและเดินเข้ามาถามอย่างเขินอายเล็กน้อย

“อ่านหนังสือที่นี่ได้ไหม ราคาเท่าไร” อีกฝ่ายเม้มปาก

“อ่านไปเถอะ เงินดูแล้วค่อยให้” โจวเจ๋อโบกมือไหวๆ แสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าตามสบาย

“งั้นก็ดีเลย ที่นี่มีนิยายไหม” เด็กหนุ่มพูดอย่างระมัดระวัง “ผมชอบอ่านนิยาย อย่างพวกนิยายออนไลน์น่ะ”

โจวเจ๋อชี้ไปที่กล่องหลังชั้นหนังสือ “อยู่ตรงนั้นหมดเลย”

อีกฝ่ายเดินไปที่กล่อง พลิกมันสองสามครั้งและดูมีความสุขมาก แต่บรรจุภัณฑ์ปกหนังสือบางส่วนยังอยู่

“แกะออกเลย ไม่คิดเงิน” โจวเจ๋อพูดอย่างใจกว้าง

“ครับผม”

เด็กหนุ่มแกะนิยายออนไลน์ออกมาเล่มหนึ่ง จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกแล้วเริ่มอ่าน

ในฐานะที่โจวเจ๋อเป็นเถ้าแก่ตัวเอง ก็นั่งเล็มเล็บอยู่ที่หลังเคาน์เตอร์ เด็กหนุ่มคนนั้นก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบบุหรี่ออกมาแล้วยื่นให้โจวเจ๋อหนึ่งมวน

“ไม่ใช่บุหรี่ยี่ห้อดีนัก อย่าถือสาเลย”

“หึ บุหรี่มันก็ไม่ใช่ของดีอะไรอยู่แล้ว จะแบ่งดีไม่ดีเพื่ออะไร”

โจวเจ๋อรับบุหรี่มา อีกฝ่ายก็หยิบออกมาหนึ่งมวน และเริ่มเดินออกไปนอกร้านก่อน ขณะรับลมหนาวก็จุดบุหรี่ไปด้วย

นี่ทำให้โจวเจ๋อที่ตั้งใจจะสูบบุหรี่ในร้านตะลึงไปครู่หนึ่ง หลังจากที่คิดได้ เขาก็วางบุหรี่ไว้ข้าง ๆ และเล็มเล็บต่อ

เด็กหนุ่มเดินกลับมาหลังจากสูบบุหรี่ข้างนอกเสร็จ คราวนี้เขาไม่ได้นั่งบนเก้าอี้พลาสติกต่อ ทว่านั่งพิงผนังแทน

แม้ว่าในร้านจะเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่กระเบื้องบนพื้นยังคงเย็นอยู่ดี เด็กหนุ่มกลับไม่สนใจ เมื่อคิดถึงวันธรรมดาทั่วไปก็ชินแล้ว

ประมาณสิบห้านาทีต่อมา ด้านนอกร้านมีชายอีกสี่คนสวมชุดทำงานสีน้ำเงินสะอาดตา อายุมากที่สุดก็ไม่ถึงสามสิบปีโดยประมาณ และอายุน้อยที่สุดก็น่ะจะอายุประมาณสิบเจ็ดปีเห็นจะได้

ทั้งสี่คนเข้ามาพร้อมกัน และชายหนุ่มที่พิงผนังก็โบกไม้โบกมือส่งให้พวกเขา เขาน่าจะเรียกพวกเขามา

คนที่มาทีหลังทักทายโจวเจ๋อ โจวเจ๋อตอบอย่างขอไปที แล้วก็เล็มเล็บของตัวเองต่อ

โจวเจ๋อตัดสินใจซื้อชุดอุปกรณ์ตกแต่งเล็บ แบบนี้ถึงจะควรค่าแก่เล็บของเขา

เพียงแต่ตอนนี้บริการจัดส่งพัสดุหยุดให้บริการ และร้านค้าหน้าร้านส่วนใหญ่ปิดให้บริการ ทำได้เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น

เมื่อเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง โจวเจ๋อพบว่าคนงานทั้งห้ากำลังนั่งอ่านนิยายคนละเล่มในมือบนพื้น

แค่ดูหน้าปกก็รู้แล้วว่าเป็นนิยายออนไลน์ชุดเดียวกันทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี มีคนหนึ่งถือหนังสือประเภทสยองขวัญ อ่านไปด้วยทั้งยังกัดเล็บไปด้วย เห็นได้ชัดว่าอ่านมันอย่างเพลิดเพลิน

แค่พฤติกรรมกัดเล็บของอีกฝ่ายทำให้โจวเจ๋อ ยากที่จะเห็นดีเห็นงามไปด้วย

รู้จักถนอมเล็บ ถึงจะรู้จักถนอมชีวิต

บางครั้งมีคนอ่านนิยายแล้วหัวเราะขึ้นมา นี่คือรอยยิ้มที่มาจากใจขณะอ่านเรื่องราวพวกนี้

ร้านหนังสือคนเยอะ แต่เงียบมาก มีเสียงดังบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ถึงกับรบกวนคนอื่น

เมื่อถึงช่วงเวลาพลบค่ำ สวี่ชิงหล่างยกชามเกี๊ยวเข้ามา หลังจากเขาเข้ามาแล้วก็เอ่ยทันทีว่า

“โอ้โห ในร้านคึกคักดีนะเนี่ย”

โจวเจ๋อยิ้มพลางพยักหน้า

“พี่น้องทั้งหลาย ทานอะไรสักหน่อยไหม” สวี่ชิงหล่างนั่งในร้านพลางเอ่ยถามพวกคนงาน

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก

รู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย

“ช่างเถอะ ผมเลี้ยงพวกคุณเอง” สวี่ชิงหล่างเป็นถึงชายที่มีห้องชุดยี่สิบกว่าห้อง “วันฉลองปีใหม่ใหญ่ทั้งที ไม่ง่ายเลยที่พี่น้องจะไม่กลับบ้านกัน ต่างก็ออกมาทำงานหาเงินอย่างยากลำบากกันทั้งนั้น อยู่ไกลกันคนละฟากฟ้าก็คือพี่น้องกัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณเถ้าแก่มากครับ ขอให้เถ้าแก่เจริญรุ่งเรือง” คนงานอายุมากที่สุดลุกขึ้นยืนแสดงความขอบคุณสวี่ชิงหล่าง

“สมควรอยู่แล้ว”

สวี่ชิงหล่างวางเกี๊ยวน้ำของโจวเจ๋อไว้ แล้วกลับไปที่ร้านของเขา

โจวเจ๋อทานซุปเล็กน้อยจากนั้นก็เร่งกลืนเกี๊ยวสองชิ้นลงไป สวี่ชิงหล่างน่าชังนั่นลืมเอาน้ำบ๊วยเปรี้ยวมาให้และตัวเองก็ทานมันไม่ลง

เมื่อหยิบบุหรี่บนโต๊ะออกมา โจวเจ๋อก็เดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์

“อ่านจบแล้วก็เปลี่ยนเองนะ ที่นี่น่าจะมีครบเซ็ตเลย ถึงอย่างไรร้านที่ฉันเปิดที่นี่ ก็เป็นธุรกิจที่ขาดทุนร้านหนึ่งอยู่แล้ว ทุกคนไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก”

โจวเจ๋อยื่นบุหรี่ให้ทีละคน

คนงานรู้สึกปลาบปลื้มใจและรับเอาไปทีละคน

จากนั้นทุกคนก็ลุกขึ้น เดินไปนอกร้านพร้อมกันและนั่งยองๆ สูบบุหรี่กันเป็นแถว

พวกเขาไม่ยอมให้สภาพแวดล้อมข้างในร้านสกปรก

โจวเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินออกจากร้าน ข้างนอกลมหนาวเล็กน้อย เขานั่งลงข้างๆ และสูบบุหรี่ด้วยกัน

พวกคนงานกำลังคุยกันอยู่

คนที่แต่งงานแล้ว ก็คุยเรื่องภรรยาตัวเองเอย คุยเรื่องลูกของตัวเองเอย

คนที่ยังไม่แต่งงาน คุยเรื่องทงเฉิงหรือไม่ก็คนที่รู้จักมักจี่ในบ้านเกิดของตัวเอง

สนุกสนานกันไป

หยอกล้อกันไป

แม้ว่าทุกคนจะรู้ไส้รู้พุงกันดี แต่ก็ยังมีเรื่องให้พูดคุยเหมือนเดิม

เมื่อฟังสำเนียงคนงานเหล่านี้ก็จะรู้ว่ามาจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ใช่มาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง

ทงเฉิงอยู่ใกล้กับเซี่ยงไฮ้และอยู่ในเขตสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี แม้ว่าขนาดจะเทียบเซี่ยงไฮ้ไม่ได้ แต่จำนวนแรงงานต่อปีที่นี่ยังคงต้องการสูงมาก ตราบใดที่ยอมและเต็มใจอดทนต่อความยากลำบากได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีงาน และไม่ต้องกลัวว่าจะหาเงินไม่ได้

ส่งบุหรี่ให้กันอีกสองมวน

โจวเจ๋อเปิดปากพูด “พี่น้องทั้งหลาย ปีใหม่นี้ไม่กลับไปเยี่ยมที่บ้านจริงๆ เหรอ”

“ไม่กลับ ที่บ้านเรียบร้อยดี”

“ไปกลับหนหนึ่งลำบากมาก เดือนแรกยังมีงานต้องทำ เถ้าแก่ก็จะแจกอั่งเปาด้วย ถ้าไม่เอาก็เสียไปเปล่าๆ ทั้งยังส่งเงินให้ที่บ้านได้อีกนิดหน่อย”

“ฮ่าๆ วันนี้ค่อนข้างดีหน่อย มีนิยายให้อ่าน มีบุหรี่ให้สูบ ปีนี้ผ่านไปได้ด้วยดีทีเดียว”

“เถ้าแก่ คุณปิดร้านกี่โมง” มีคนงานคนหนึ่งถามขึ้น

“ไม่ปิด” โจวเจ๋อตอบ

“เถ้าแก่ไม่กลับบ้านเหรอ”

“ภรรยาที่บ้านไม่เชื่อฟัง ก็เลยไม่กลับไปแล้ว”

จู่ๆ โจวเจ๋อก็รู้สึกภูมิใจเกือบจะลอย!

คนงานต่างพากันยกนิ้วโป้งให้โจวเจ๋อและส่งเสียงโห่ร้องให้เขา

แน่นอนว่าไม่มีใครคล้อยตามจนมากเกินไป แค่ฟังสำเนียงก็พอจะรู้สึกได้ อีกอย่างโจวเจ๋อก็เปิดร้านหนังสือไม่ใช่แผงขายผลไม้ พวกคนงานทั้งสี่ต่างก็พอจะเดาได้ว่าโจวเจ๋อเป็นคนในพื้นที่

คนในพื้นที่เฝ้าร้านไม่ยอมกลับบ้านในวันฉลองปีใหม่ ล้วนแล้วแต่มีสาเหตุกันทั้งนั้น ดังนั้นทุกคนต่างก็ไม่ได้นำเรื่องนี้มาหยอกล้อสนุกสนานกันต่อ

แถมแต่ละคนยังเป็นเสาหลักของครอบครัว ออกมาทำงานหาเงิน คนแก่และเด็กในบ้านต่างก็เป็นภรรยาตัวเองที่ช่วยดูแล พวกเขาลำบาก พวกเขาเหนื่อย แต่ภรรยาของพวกเขาก็เช่นกัน

วันเวลาคือความทุกข์ยากและความอดทนจากรุ่นสู่รุ่น ใครมีชีวิตที่ง่ายบ้างล่ะ?

ขณะที่โจวเจ๋อกำลังจะแจกบุหรี่สูบต่อ ก็มีเสียงตะโกนมาจากระยะไกล

“สวีเล่อ!”

โจวเจ๋อเงยหน้าและยืนขึ้น ตอนนี้เองที่เพิ่งพบว่ามีรถปอร์เช่คาเยนน์จอดอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นรถที่คุ้นเคยดี

อืม รถของภรรยาตัวเอง

คนที่ตะโกนนั้นเป็นน้องสะใภ้ ช่วงก่อนหน้านี้เธอถูกโจวเจ๋อทำให้ตกใจกลัวในห้องน้ำจริงๆ แต่ตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว เธอไม่อาจคิดว่าพี่เขยของเธอจะเป็นผีไปได้ ดังนั้นทำได้แค่โทษตัวเองที่ตอนนั้นตกใจจนตาฝาดไปเอง

และแน่นอนว่า เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะทำนิสัยดีจนเกินไปกับโจวเจ๋อเช่นกัน เพราะในเมื่อทำให้เธอตกใจจนฉี่ราด น่าอับอายมากเหลือเกิน!

“สวีเล่อ กลับไปทานข้าวที่บ้าน!”

น้องสะใภ้ตะโกน

“ไม่กลับไปแล้ว ในร้านยุ่งอยู่ และคึกคักมากด้วย” โจวเจ๋อโบกมือ

ตลกล่ะ ให้ตัวเองกลับไปเจอกับพ่อตาแม่ยายบัดซบคู่นั้นในวันปีใหม่?

ให้รองรับอารมณ์น้องสะใภ้ที่งี่เง่าคนนี้?

ที่สำคัญที่สุดน จะให้รีบกลับบ้านไปนอนแยกเตียง มองตากันปริบๆ ฉลองปีใหม่เหรอ

หาเรื่องละเมิดเหรอไง

“พี่ เจ้าคนนี้เป็นบ้าเหรอ! ไม่มีเหตุผล แปลกชะมัด แถมยังปากแข็งไม่ยอมรับอีกต่างหาก!”

น้องสะใภ้นั่งหน้ามุ่ยอยู่ที่นั่งเบาะหลังของรถ

หมอหลินยิ้มๆ “เรากลับไปทานข้าวกับพ่อแม่ที่บ้านก่อนก็แล้วกัน”

“โอ้ ฟังนี่สิ พี่ตั้งใจจะออกมาตอนกลางคืนอีกเหรอ”

“ถึงอย่างไรพี่ก็เป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของเขา” หมอหลินไม่ได้พูดอะไรให้มากความ สตาร์ทรถและขับออกไปจากที่นี่

มองรถแล่นออกไป

โจวเจ๋อตะโกนถามคนงานข้างๆ “พี่น้องทั้งหลาย ภรรยาของฉันสวยไหม”

“สวย!”

“มีสง่าราศี!”

“สวยเกินไปแล้ว!”

“ฮ่าๆๆๆ”

สวี่ชิงหล่างเดินออกจากร้านพร้อมกับถาดขนาดใหญ่

“มา หมูสามชั้นน้ำแดงราดข้าว พี่น้องทั้งหลาย เชิญทานได้!”

พวกคนงานรู้สึกเก้อเขินและลำบากใจเล็กน้อย คนงานที่อายุมากที่สุดเอ่ยขึ้นอย่างเขินอายเล็กน้อย “เราออกมาและไม่ได้พก…”

“ก่อนหน้านี้ได้พูดไปแล้วนะ ผมเลี้ยงอาหารพี่น้องหนึ่งมื้อ! ถ้ายังพูดถึงเรื่องเงินอีกแสดงว่าไม่นับผมเป็นพี่น้อง อีกหน่อยจากทั่วทุกมุมโลกและบางทีอาจจะได้พบกันในสักวันหนึ่ง ถึงเวลานั้นยังเป็นผมที่จะขอความช่วยเหลือจากพี่น้อง”

“ได้!”

“อีกประโยคหนึ่ง!”

“เมื่อคุณมาบ้านเกิดของผม…”

“มา!”

พวกคนงานยกชามหมูสามชั้นน้ำแดงราดข้าวเข้าไปในร้านหนังสือ ทุกคนนั่งยองๆ บนพื้น วางชามบนม้านั่งพลาสติกและเริ่มทานอย่างมีความสุข

มีคนงานคนหนึ่งทานอาหารไปด้วยอ่านนิยายไปด้วย ถูกคนงานที่อยู่ข้างๆ ใช้ตะเกียบเคาะหัวไปหนึ่งที

“เจ้าคนใจมืดบอด ถ้านายไม่ระวังทำนิยายสกปรกละก็ เถ้าแก่ยังจะขายได้เงินอีกไหม”

“ก็ใช่ ทานข้าวก่อน”

บรรยากาศครึกครื้น โจวเจ๋อเดินกลับไปที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ เขาทานเกี๊ยวที่เย็นชืดแล้วอีกสามชิ้น คราวนี้ไม่รู้ว่าทำไม อาจเป็นเพราะบรรยากาศ ทำให้อาการคลื่นไส้ของเขาน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก

หลังอาหารเย็น

ทุกคนก็อ่านหนังสือกันต่อ

ในร้านมีเครื่องทำความร้อนและมีนิยายให้อ่าน กลมกลืนเข้ากันมาก

กว่าจะรู้ตัวก็เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว

คนงานที่อายุมากที่สุดขึ้นลุกขึ้นบิดขี้เกียจหนึ่งทีและพูดขึ้นว่า “พี่น้องทั้งหลาย ได้เวลาแล้ว กลับกันเถอะ เรามาช่วยเขาเก็บกวาดในร้านกันสักหน่อย”

“ได้เลย!”

คนงานทั้งห้าคนช่วยโจวเจ๋อทำความสะอาดร้านทั้งบนและล่างไปรอบหนึ่ง

“เถ้าแก่ พวกเราไปก่อนนะ วันนี้ขอบคุณมาก”

“เกรงใจแล้ว” โจวเจ๋อโบกมือปัดๆ

พวกเขาไปแล้ว

ไม่เหมือนเด็กผู้หญิงกับสุนัขคอร์กี้เมื่อคืนนี้ ที่อ่านหนังสือสักพักแล้วทิ้งเงินไว้ให้หนึ่งร้อยหยวน พวกเขาอ่านมันทั้งวันและค่อนคืน เงินสักหยวนก็ไม่ทิ้งไว้ให้

แต่โจวเจ๋อก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย และก็ไม่มีความไม่พอใจแม้แต่น้อย

หลังจากยืดเส้นยืดสาย โจวเจ๋อตั้งใจจะเรียกหาสวีชิงหล่างให้มาเก็บชามและตะเกียบในร้านกลับไป เมื่อเดินไปที่ร้านบะหมี่ โจวเจ๋อเห็นสวี่ชิงหล่างนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หลังโต๊ะ

อืม เป็นหนังสือพิมพ์ที่โจวเจ๋อให้เขาไปในตอนกลางวัน

สวี่ชิงหล่างสวมแว่นตากรอบทอง ดูเหมือนว่าจะมีความคงแก่เรียนอยู่พอสมควร สมกับเป็นชายหนุ่มที่มีห้องชุดมากกว่ายี่สิบห้อง

มองอย่างไรก็มีเสน่ห์!

“ชามและตะเกียบตรงนั้น นายเก็บกวาดด้วยนะ” โจวเจ๋อพูด

“ได้ ไปตอนนี้แหละ”

สวี่ชิงหล่างวางแว่นตาลง ขยี้ตา และลุกขึ้นไปเก็บกวาดชามและตะเกียบที่อยู่ร้านข้างๆ

ด้านบนสุดของหนังสือพิมพ์ที่ตั้งอยู่กองใหญ่คือข่าวภาคค่ำแยงซี วันที่เป็นของเจ็ดวันที่แล้ว

บนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์มีหัวข้อข่าวตัวสีดำหนาๆ

‘ไฟไหม้อาคารที่พักอาศัย เสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือทำผู้คนประทับใจ’

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกิดเพลิงไหม้ในเขตที่อยู่อาศัยที่มีประชากรหนาแน่นในทงเฉิง และไฟไหม้รุนแรงมาก

มีคนงานก่อสร้างอายุน้อยห้าคนในพื้นที่ก่อสร้างใกล้เคียงวิ่งเข้าไปช่วยชีวิตคนทั้งๆ ที่มีอันตราย และได้ช่วยชีวิตคนชรา ผู้หญิง และเด็กรวมแล้วกว่ายี่สิบคน แต่หลังจากที่พวกเขารีบวิ่งเข้าไปในกองไฟเพื่อช่วยชีวิตผู้คนครั้งสุดท้าย

ก็ไม่สามารถกลับออกมาได้อีกเลย

มีรูปภาพขนาดใหญ่บนหน้าปกของข่าวภาคค่ำแยงซี

เป็นภาพถ่ายหมู่ของทั้งห้าคน

พวกเขายืนเคียงข้างกัน ชูท่าสองนิ้วแบบเดิมๆ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะถ่ายรูปหมู่หลังจากอาศัยอยู่ในเพิงเมื่อตอนที่เพิ่งมาทำงานใหม่ๆ

ใบหน้าที่อ่อนวัยแต่กลับมีริ้วรอยแสดงถึงการผ่านโลกมาอย่างโชกโชนอยู่บ้าง

ในรูปนั้น

ยิ้มเพียงเล็กน้อย แต่ก็สดใสมาก

สวี่ชิงหล่างเดินเข้าไปในร้านหนังสือ

มองดูข้าวราดแกง 5 จานบนม้านั่งพลาสติกตรงหน้า

ไม่ได้แตะเลยแม้แต่นิดเดียว และอาหารก็เย็นชืดไปนานแล้ว

ในจานข้าวแต่ละจานมีตะเกียบคู่หนึ่งปักลงไปด้านบนเป็นแนวตรง

“พี่น้องทั้งหลาย ทานอิ่ม ดื่มอร่อย”

สวี่ชิงหล่างพึมพำ

ด้านนอกมีเสียงประทัดดังขึ้นมา

ทงเฉิงไม่ได้ห้ามเรื่องพลุ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงสีทั้งมีชีวิตชีวาและรื่นเริงมากในช่วงเวลาหนึ่ง

โจวเจ๋อเงยหน้ามองไปยังด้านนอก เอ่ยเสียงเบาว่า “ปีใหม่แล้วสินะ”

……………………………………………………..