ตอนที่ 210 เป็นข้า

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“มี่เอ๋อร์ พรุ่งนี้ข้ามีธุระสำคัญต้องออกไปข้างนอกสักระยะหนึ่ง ช่วงนี้ก็ให้ป้าของเจ้าดูแลเจ้าแล้วกัน วิชานั้นยิ่งเรียนไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์ก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้น อย่าได้ขี้เกียจเชียวล่ะ!” อินหงหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมดุจสายน้ำ ใบหน้าที่แต่ไหนแต่ไรก็เผยท่าทีไร้พิษสงและมึนๆ งงๆ บัดนี้หลงเหลือเพียงไอสังหารที่แผ่ออกมา ก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ไปล่วงเกินเขากันแน่ พวกเขาสองสามีภรรยาเข้ามาก็เพื่อตรวจชีพจร สาวใช้ทั้งหมดทั้งมวลล้วนถูกไล่ออกไป ทั้งยังให้เซียงเสวี่ยเฝ้าด้านล่างเอาไว้ ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดมาลอบฟังได้

เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองเขาอย่างแปลกใจ เมื่อวานยามเย็นเพิ่งจะกลับมา พอทานข้าวเสร็จ สิ่งที่ทำเป็นอย่างแรกก็คือตรวจชีพจรให้นางอย่างเอาใจใส่ เพื่อยืนยันว่าทารกในครรภ์นั้นแข็งแรง ทั้งให้มั่นใจว่าตัวเองได้ฝึกฝนวิชานั้นเพื่อดูแลทารกอย่างเชื่อฟังหรือไม่ เวลานั้นเหมือนจะยังปกติอยู่ เหตุใดช่วงเวลาเพียงคืนเดียวก็เปลี่ยนเป็นเช่นนี้แล้ว เป็นใครกันที่ทำให้เขาโมโห? ไฉนจึงเหมือนกับแมวที่ถูกเหยียบหางเช่นนี้?

“หงหลัน เจ้าจะรีบอะไรถึงเพียงนั้น!” ซินหรันถลึงตามองเขา “เจ้าให้คนของหอเหยี่ยวทมิฬไปสืบข่าวแล้ว หากมีเรื่องอันใดพวกเขาก็ย่อมรายงานเจ้าเป็นคนแรก ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยเข้าไปก็นับว่าไม่สาย จำเป็นต้องตามหลังเด็กสองคนนั้นไปด้วยหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นเด็กสองคนนั้นก็เป็นคนหัวดื้อ เดินเล่นไปทั่ว แค่คิดอยากจะได้ลาภลอยแบบบังเอิญบ้างก็เท่านั้น!”

“เจ้าจะเข้าใจอะไร! หากถูกพวกเขาชิงไปก่อนหนึ่งก้าว พาคนกลับไปตระกูลมู่หรงหรือตระกูลหวงฝู่ ข้าก็ยากที่จะลงมือแล้ว” อินหงหลันกล่าวด้วยใบหน้ามืดมน “ผู้หญิงคนนั้นไม่อาจเหลือไว้ได้ หากเหลือไว้ก็นับเป็นภัยร้าย!”

“ผู้หญิงอะไรหรือ?” เหตุใดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ่งฟังก็ยิ่งมึนงง “เป็นผู้หญิงแบบไหนกันที่ทำให้ลุงอินหัวเสียจนเป็นถึงขนาดนี้ ทั้งยังต้องกำจัดนางเสียด้วย?”

“คือว่า…” อินหงหลันกระแอมไอออกมา “มี่เอ๋อร์ คือว่า…ซินหรัน เจ้ามาอธิบายหน่อย!”

ซินหรันถลึงตามองสามีอย่างดุดันไปที ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนกล่าว “มี่เอ๋อร์ เป็นเช่นนี้ คืนก่อนที่คุณชายสามตระกูลชุยกับหลิงหลงจะเข้าพิธีคำนับเป็นสามีภรรยา เด็กพวกนี้ก็ชอบตั้งวงดื่มคุยเล่นกันอยู่แล้ว นอกเหนือจากห้ามเจ้าบ่าวไม่ให้ทำเสียเรื่องในวันที่สอง อย่างอื่นก็คล้ายกับทำได้ทั้งนั้น และในเวลานั้น ลุงของเจ้าก็ล่วงรู้ว่าคุณชายสามตระกูลชุยยังมีผู้หญิงที่ชอบอยู่อีกคน ชื่ออะไรนะ คุณหนูเก้า[1] คุณหนูสิบอะไรเนี่ยแหละ”

ตัวเองอย่างนั้นรึ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบิกตากว้าง พูดตามตรง ชุยฮ่าวหรันสำหรับนางแล้ว นอกจากรู้ว่ามีคนเช่นนี้อยู่คนหนึ่ง ภาพจำอย่างอื่นเกี่ยวกับเขาก็แทบไม่มี พูดคุยไปมาหาสู่ก็น้อยครั้ง นางคงไม่กลายเป็นคนน่าชิงชังที่ทำลายความสัมพันธ์ของหลิงหลงและชุยฮ่าวหรันอย่างบังเอิญหรอกกระมัง?

ข้าไม่ได้ทำให้พวกเขาลุ่มหลงเสียหน่อย! เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบิกดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์นั้นออกกว้าง ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ นางมีความรู้สึกกับเจวี๋ยเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งยังแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมกับเจวี๋ยคนเดียว ไม่เคยทำหรือพูดอันใดให้พวกเขาเข้าใจผิดแม้แต่น้อย! หรือถึงแม้ว่าจะมีอะไรก็เป็นเพียงพวกเขาที่คิดไปเองฝ่ายเดียวเท่านั้น

“หงหลันไม่อยากให้ผู้หญิงแบบนี้มาสร้างผลกระทบกับความสัมพันธ์ของหลิงหลงและฮ่าวหรัน ทั้งไม่อยากให้เด็กสองคนที่เพียบพร้อมของตระกูลมู่หรงและตระกูลหวงฝู่หลงผู้หญิงคนนั้นจนโงหัวไม่ขึ้นต่อไปเช่นนี้!” ซินหรันไม่รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์กำลังกู่ร้องว่าถูกใส่ร้ายอยู่ในใจเงียบๆ แต่คิดไปว่าเองนางคงตกใจไม่น้อย…แท้จริงแล้วเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นตกใจจริงๆ

ข้าไม่ได้คิดจะปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาแล้วเถอะ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นบริสุทธิ์ใจจริงๆ นางล้วนคิดดีแล้วว่าจะให้ ‘คุณหนูสุรา’ เลือนหายไปตลอดกาล กลายเป็นเพียงฝันฉากหนึ่งของพวกเขา เมื่อตื่นจากฝันก็ไม่มีอันใดอีกต่อไปแล้ว!

“เจ้าคิดว่าหงหลันคิดกังวลเกินกว่าเหตุไปใช่หรือไม่?” ดูจากท่าทีที่ไม่ได้ปิดบังของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ซินหรันก็รู้ว่านางนั้นไม่เชื่อ (นางจะเชื่อได้อย่างไร? ก็นางเป็นคู่กรณีของเรื่อง!) และไม่เห็นด้วย (อินหงหลันคิดจะฆ่านาง นางจะเห็นด้วยได้อย่างไร?) จึงกล่าวอย่างขมขื่น “แต่ผู้หญิงคนนั้น คาดไม่ถึงว่ามีโอกาสพบเพียงแค่สองสามครั้งกลับทำให้เด็กๆ ที่เก่งกาจพวกนั้นลุ่มหลงนางเสียแล้ว หากไม่จัดการอย่างเด็ดขาด ย่อมต้องกลายเป็นภัยร้ายขึ้นมาแน่!”

ข้าเป็น ‘ภรรยา’ ของเจวี๋ยแล้วเถอะ อีกไม่นานก็จะเป็น ‘มารดา’ ที่แสนดีของลูกด้วย จะออกไปอีกได้อย่างไร ทั้งจะกลายเป็นภัยร้ายได้อย่างไร? นี่สินะที่เรียกว่าอยากจะกล่าวโทษใครก็ไม่จำเป็นต้องใช้ข้ออ้างใดทั้งนั้น! เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง…

“ผู้หญิงคนนั้นย่อมต้องเป็นนางมารอย่างแน่นอน!” อินหงหลันกล่าวสรุป “เจ้าเด็กมู่หรงปั๋วอวี่ อาศัยที่ตัวเองเป็นคนเจ้าชู้หูตาแพรวพราวพูดว่าอะไรนะ จะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหา ‘คุณหนูสุรา’ หากไม่ใช่นางก็จะไม่แต่ง ส่วนเจ้าเด็กหวงฝู่หลินยวนผู้นั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งนัดจะท่องยุทธภพไปด้วยกันหลังจากที่งานแต่งของหลิงหลงและฮ่าวหรันสิ้นสุด ตามหาหญิงงามที่ไม่เป็นโล้เป็นพายผู้นั้น!”

พวกเขาจะหาเจอได้อย่างไร? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มขมขื่น เดิมทีนั่นก็เป็นคนที่อยู่ในภาพมายาเถอะ! อีกอย่าง นางมารนั่นมันทั่วป๋าฉินซินต่างหาก ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย อย่างมากที่สุดข้าก็ต้องไม่ใช่คนที่แบกรับชื่อเสียงเช่นนั้น!

“ข้าได้ให้คนของหอเหยี่ยวทมิฬลงมือแล้ว พวกเขาจะสะกดรอยตามเจ้าเด็กสองคนนั้น ทั้งจะสืบข่าวเกี่ยวกับเบาะแสของผู้หญิงคนนั้นในยุทธภพด้วย แต่ข้าก็ยังไม่วางใจ ข้าอยากจะออกโรงด้วยตัวเอง ก่อนที่นางจะสร้างปัญหาต้องชิงจำกัดนางออกไปเสียก่อน!” อินหงหลันกล่าวอย่างแน่วแน่ “ข้าตั้งใจว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสรรพก่อนที่เจ้าจะคลอดบุตร เจ้าก็รออย่างสบายใจเถิด ไม่ต้องสนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ผู้อาวุโสอย่างท่านประกาศปาวๆ ต่อหน้าข้าว่าจะกำจัดข้า ทั้งยังหาผู้ช่วยเสร็จสรรพ ข้ายังจะสบายใจได้อีกอย่างนั้นหรือ? อีกอย่าง ข้าไปล่วงเกินท่านตรงไหน ทำให้ท่านโมโหอย่างไร ท่านถึงจะกำจัดข้าให้ได้เช่นนี้?

“นี่จะเป็นการเข้าใจผิดหรือไม่ ลุงอิน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวคลี่คลาย “ท่านลองคิดดู คนผู้นั้นหากมีความรู้สึกอันใดกับพวกฮ่าวหรันจริงๆ จะเผยกายออกมาเพียงสองสามครั้งได้อย่างนั้นหรือ? ข้าว่าย่อมเป็นพวกเขาที่แอบรักเพียงฝ่ายเดียว ไม่มีความจำเป็นจะฆ่าใครเพราะพวกเขารักข้างเดียวหรอกกระมัง! สำหรับนางแล้วคล้ายว่าจะไม่ยุติธรรมเป็นอย่างมาก!”

ย่อมต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง! นางได้รับความไม่เป็นธรรมจริงๆ! แน่นอนว่า คนที่ถูกปรักปรำว่าทำร้ายนางก็ไม่รู้สึกดีเช่นกัน!

“ใต้หล้าไม่ได้มีเรื่องที่ยุติธรรมมากมายถึงขนาดนั้น ที่ใดมีผู้คนที่นั่นก็ย่อมเต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรม!” อินหงหลันกล่าวอย่างเยือกเย็น “ทั้งหมดทั้งมวลต้องอาศัยความสามารถแล้ว หากนางมีความสามารถนั้น ก็ย่อมหลบหนีเอาตัวรอดได้ แต่หากไม่มีละก็ คงต้องโทษนางที่โชคไม่ดีแล้ว!”

“แต่ว่า…ลุงอิน เหตุใดข้ากลับไม่เชื่อว่าท่านจะฆ่าคนที่กระทั่งไม่เคยพบหน้ามาก่อนอย่างไร้เหตุผลเพื่อหลิงหลงหรือจะพูดว่าเพื่อตระกูลพี่น้องพวกนั้นได้ ต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองอินหงหลันที่จู่ๆ ก็หลบสายตา ใจวูบไหวขึ้นมา พลันนึกไปถึงเรื่องที่ตัวเองถูกฉีอวี่เจวียนพูดเสียดแทงที่ลี่หูชุนจนเสียสติไปชั่ววูบ พูดออกมาว่าชื่นชอบซั่งกวนเจวี๋ย ทั้งยินดีที่จะแต่งเป็นอนุให้ซั่งกวนเจวี๋ย จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่?

“ลุงอิน ไม่ใช่เพราะว่าเจวี๋ยก็ชอบ ‘คุณหนูสุรา’ คนนั้นหรอกนะ ดังนั้นท่านจึงกังวลว่านางจะปรากฏกายรอบๆ ตัวเจวี๋ย ทั้งกระทบกับข้า ดังนั้นจึงอยากจะกำจัดนาง เพื่อตัดภัยร้ายใช่หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามลองเชิง

อินหงหลันแข็งทื่อไป กล่าวยิ้มๆ “เจวี๋ยเอ๋อร์นั้นรู้จักความเหมาะสมมาโดยตลอด จะมาพัวพันกับผู้หญิงที่ไม่ได้เรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร ไฉนเจ้าจึงคิดแบบนี้ได้! ข้าทำก็เพื่อหลิงหลง ใช่แล้ว ยังมีจิงอิ๋งอีก เจ้าคงจะไม่รู้ จิงอิ๋งนั้นมีความรู้สึกดีๆ กับมู่หรงปั๋วอวี่ ไม่อาจปล่อยให้นางชิงคนที่จิงอิ๋งชอบไปได้เชียว”

“แต่เจวี๋ยก็คบค้าสมาคมกับสี่คนนั้น อย่างอื่นข้าไม่มั่นใจ แต่รู้ว่าพวกเขามักจะไปท่องยุทธภพด้วยกัน ไม่มีทางที่เจวี๋ยจะไม่รู้จักคนที่พวกเขาใกล้ชิด หากลุงอินไม่อยากพูด ข้าย่อมจะไปถามจากเจวี๋ย ทั้งจะบอกจุดประสงค์ของท่านให้เขาฟังด้วย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขู่ หากเพราะเจวี๋ย นางก็นับว่าไม่ได้ถูกใส่ร้าย แต่ว่า…เหตุใดกลับรู้สึกว่าไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่งเล่า! อย่างมากนางก็แค่ปิดบังความจริงเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ใครลุ่มหลงเสียหน่อย!

“มี่เอ๋อร์!” อินหงหลันร้องอย่างลนลาน เยี่ยนมี่เอ๋อร์คอยฟังอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร อย่างไรก็อยู่ในท่าทีที่หากเจ้าไม่พูดข้าก็จะถามเองอยู่ดี

“เจ้านี่นะ!” ซินหรันทอดถอนหายใจ “มิผิด เจวี๋ยเอ๋อร์มีความรู้สึกดีๆ กับผู้หญิงคนนั้น แต่ที่ไม่เหมือนคือผู้หญิงคนนั้นไม่ได้แสดงสีหน้าเป็นมิตรกับเด็กสี่คนนั้น กระนั้นกลับให้ความสนใจเพียงเจวี๋ยเอ๋อร์คนเดียวเป็นพิเศษ ถึงกระทั่งไม่นานมานี้ในช่วงงานประลองยุทธ์ ช่วงบ่ายวันนั้นที่เจ้าถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย นางยังปรากฏตัวที่ลี่หูชุน ทั้งถามเจวี๋ยเอ๋อร์ว่าชอบหรือไม่ชอบ นางถึงขั้นกล่าวออกมาอย่างหน้าไม่อายว่ายอมที่จะแต่งเป็นอนุภรรยา อยู่ดูแลสามีร่วมกับเจ้า แม้เวลานั้นเจวี๋ยเอ๋อร์จะปฏิเสธนาง แต่หากนางกลับมาอีกครั้ง คิดหาทางที่จะพบกับเจวี๋ยเอ๋อร์ หญิงสาวในยุทธภพล้วนเจ้าแผนการ หากนางเล่นลูกไม้ ให้เจวี๋ยเอ๋อร์ทำเรื่องผิดต่ออะไรต่อเจ้าขึ้นมาจะทำอย่างไร? เจวี๋ยเอ๋อร์เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ทั้งยังมีความรู้สึกดีๆ ต่อนางหากมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ก็ย่อมจะแสดงความรับผิดชอบต่อนาง แทนที่จะรอคอยให้ถูกกระทำ มิสู้ชิงลงมือกับคนที่จะสร้างเรื่องก่อน ขจัดภัยร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นให้สูญสิ้น!”

“แต่ว่า…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยสีหน้าขมขื่น นางไม่เคยคิดให้ซั่งกวนเจวี๋ยรับผิดชอบคุณหนูสุรา นั่นเดิมทีก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เถอะ นางกล่าวอย่างมั่นใจเสียกว่ากระไร “ข้ากล้ารับประกัน นางย่อมไม่อาจแย่งเจวี๋ยไปจากข้าได้อย่างแน่นอน และข้าก็มั่นใจด้วยว่า แม้ลุงอินจะตามรอยสองคนนั้นก็ไม่อาจหานางพบได้หรอก!”

จะหาเจอได้อย่างไร? คนก็อยู่ตรงหน้าพวกเขาเนี่ย!

“มี่เอ๋อร์รู้จัก ‘คุณหนูสุรา’ ผู้นั้นหรือ หากเป็นเช่นนี้เรื่องราวก็นับว่าร้ายแรงขึ้นแล้ว” ซินหรันขมวดคิ้ว “มี่เอ๋อร์ ไม่อาจใจอ่อนเพราะเป็นคนรู้จักได้เชียว ยิ่งเป็นคนที่เจ้าคุ้นเคยก็ยิ่งสามารถทำร้ายเจ้าได้อย่างง่ายดาย คนผู้นั้นอยู่ที่ใด? เจ้ารีบบอกมาเถิด! อาศัยจากที่นางรู้จักกับเจ้า หงหลันย่อมทำให้นางตายแบบไม่ต้องรับความทรมานอะไร!”

“อยู่ตรงนี้อย่างไรเล่า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยหน้าขื่นขมยิ่งกว่าเก่า คล้ายกับว่าเป็นเวลาที่ต้องรับสารภาพแล้ว หวังอย่างเดียวว่าพวกเขาจะไม่ตกใจจนเกินไป

“เป็นเซียงเสวี่ยอย่างนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?” เห็นได้ชัดว่าอินหงหลันคิดไปไกล ขมวดคิ้วแน่น “ข้าว่าเด็กคนนั้นไม่ได้มีความรู้สึกเฉกเช่นชู้สาวกับเจวี๋ยเอ๋อร์เลยสักนิด!”

การบอกใบ้ของนางยังไม่ชัดเจนพออีกหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ข่มกลั้นความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้ออกมา กล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ข้าพูดว่าอยู่ตรงนี้ ไม่ได้บอกว่าตระกูลซั่งกวนเสียหน่อย!”

ตรงนี้? สองสามีภรรยาอินหงหลันสบสายตากัน ในห้องนี้มีเพียงพวกเขาสองคนและเยี่ยนมี่เอ๋อร์! ไม่ถูก หรือว่า…จู่ๆ พวกเขาก็จับจ้องสายตาไปยังร่างของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็พยักหน้าอย่างจนใจเป็นอย่างมาก กล่าวอย่างขมขื่น “ยินดีด้วย พวกท่านทายถูกแล้ว คุณหนูสุราที่ลุงอินอยากจะกำจัดใจจะขาดผู้นั้นก็คือข้าคนนี้เอง!”

————————————————-

[1] คุณหนูเก้า คำว่าเก้าในภาษาจีนคือจิ่ว ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่าสุราเช่นกัน ในที่นี้กล่าวถึงคุณหนูสุรา แต่ซินหรันเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคุณหนูเก้า