ตอนที่ 211 ยังคงพูดไม่ได้

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“เจ้าก็คือคุณหนูสุราอะไรนั่นหรือ?” อินหงหลันแทบที่จะกระโดดพรวดไปอยู่ตรงหน้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ มองใบหน้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของนางที่เผยความตื่นเต้นอย่างถึงที่สุดออกมา ก็กล่าวเสียงดัง “เป็นเจ้าได้อย่างไร? เหตุใดถึงเป็นเจ้าเล่า?”

“หงหลัน…” ฉับพลันเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ได้เปิดหูเปิดตากับวิชาดรรชนีของซินหรันที่บรรลุถึงขั้นสูงสุด แทบไม่ต้องมอง เพียงยกมือขึ้น หูซ้ายของอินหงหลันก็เคลื่อนไปอยู่ระหว่างหัวแม่มือและนิ้วชี้ของซินหรันทันที ออกแรงบิดเล็กน้อย อินหงหลันก็ถูกดึงกลับไป ทั้งไม่กล้าที่จะต่อต้านและเคลื่อนไหว เพียงแต่ใช้สายตาที่น่าสงสารมองอย่างวิงวอนไปที่ซินหรันเท่านั้น

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอนกายอยู่บนเตียง หัวเราะจนแทบจะกลิ้งตัวลงไป หากรู้เร็วกว่านี้หน่อยว่าจะได้เห็นละครที่น่าสนุกเช่นนี้ นางก็คงบอกเรื่องนี้ให้พวกเขารู้ไปตั้งนานแล้ว ช่างน่าสนุกเสียจริง! มิน่าเล่าลับหลังอินหงหลันจึงมักจะเรียกซินหรันว่า ‘นางพยัคฆ์ของข้า’ เป็นนางพยัคฆ์จริงๆ เสียด้วย!

“หัวเราะพอหรือยัง?” ซินหรันถลึงตาดุใส่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางและอินหงหลันปรึกษากันทั้งคืน จึงตัดสินใจจะกำจัดคนที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาผู้นั้น คิดว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ใครใช้โอกาสมาสร้างผลกระทบให้นางและเจวี๋ยเอ๋อร์ได้ ผลลัพธ์เล่า?

“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยายามกลั้นหัวเราะ พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ดูจากท่าทางก็รู้แล้ว ซินหรันกำลังอยู่ในอารมณ์โมโห อย่างไรอย่าได้เย้าแหย่นางจะดีกว่า

“ข้าขอถามเจ้าหน่อย ตกลงเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่? คุณหนูสุรานั้นปรากฏตัวออกมาได้อย่างไร? ทั้งไปรู้จักกับพวกเขาได้อย่างไร?” ซินหรันถลึงตามองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยสีหน้าราวกับเป็นผู้บริสุทธิ์ ไฟโมโหยิ่งปะทุแรงขึ้นไปอีก พอเกิดเรื่องอะไร อินหงหลันก็จะเป็นแบบนี้เช่นกัน ไฉนพวกเขาจึงเหมือนกันถึงขนาดนี้? เหตุใดชีวิตของนางจึงได้รันทดมาพบเจอกับสองคนนี้!

“สี่ปีก่อน หลังจากท่านแม่ของข้าล่วงลับไป ท่านป้าก็พาข้าไปร่วมงานประลองยุทธ์เป็นครั้งแรก กล่าวว่าจะพาไปเปิดหูเปิดตา ข้ารู้สึกว่าน่าเบื่อเป็นอย่างมาก จึงไปปีนเขาโม่หุยเพียงคนเดียว จากนั้นไม่ทันระวังก็รู้จักกับพวกเขาทั้งห้าคน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสีหน้าของซินหรันที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอบอุ่นอย่างระมัดระวัง “สามปีก่อน ท่านป้าก็พาข้าไปร่วมงานประลองยุทธ์อีกครั้ง ข้าก็ไปหลบอยู่ที่น้ำตกชิงหลงดื่มเหล้าเคล้าสุรากับพวกเขา จึงสนิทกันขึ้นมาบ้าง แต่ข้ากล้าสาบานกับฟ้าดินเลยว่า ข้ามีความรู้สึกดีให้กับเจวี๋ยเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ก็เป็นเพียงมิตรภาพแบบผิวเผิน ไม่เคยส่งสายตาอะไรให้พวกเขาแม้แต่น้อย พวกเขาจะหลงใหลอันใดกัน คงเป็นความคลุมเครือของตัวเองมากกว่า สิ่งนี้ในใจของเจวี๋ยก็คงชัดเจนเช่นกัน!”

“สี่ปีก่อนเจ้าก็รู้จักกับเจวี๋ยเอ๋อร์แล้ว?” ซินหรันแทบจะแยกเขี้ยวจ้องนาง “เวลานั้นเหตุใดเจ้าไม่พูดคุยกับพวกเจวี๋ยเอ๋อร์ให้ชัดเจน บอกว่าเจ้าเป็นว่าที่ภรรยาของเขา?”

“ข้าไม่ทราบฐานะของพวกเขาเสียหน่อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยใจจริง “ข้าไม่ได้เป็นฝ่ายสนใจพวกเขา เป็นพวกเขาที่เข้าหาเอง ข้าก็แค่พยายามพูดคุยกับเขาเท่านั้น แต่ข้าไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับคนที่ไม่สนิทมากเกินไป ทั้งไม่อยากรู้สึกผูกมัดอะไรหลังจากที่ได้ทราบถึงฐานะของพวกเขาแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ถามถึงฐานะของพวกเขา ทั้งไม่ยอมให้พวกเขาพูด หากไม่ใช่ว่าท่านป้าบีบข้าให้กล่าวคำสาบาน ข้าก็คงไม่แต่งเข้ามาหรอก ย่อมต้องหนีการแต่งงานไปตั้งนานแล้ว!”

“ที่จะพูดก็คือเจ้านั้นเพิ่งจะทราบฐานะของเจวี๋ยเอ๋อร์ในวันที่แต่งงาน!” ซินหรันรู้สึกว่าไฉนถึงแปลกเพียงนี้ แล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ “ไม่ถูก เจ้าบอกว่าท่านพี่ไปงานประลองยุทธ์กับเจ้า พ่อลูกเจวี๋ยเอ๋อร์หน้าตาก็คล้ายกัน ท่านพี่ย่อมมองออกอย่างแน่นอน!”

“ท่านป้ารู้ถึงฐานะของเจวี๋ย ดังนั้นนางจึงบีบให้ข้าแต่งงาน มิเช่นนั้นท่านป้าก็คงหาวิธีให้งานแต่งครั้งนี้พังไปแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าราวกับลูกไก่ที่จิกกินข้าวบนพื้นดิน

“แต่พวกเขาไม่ได้พูดว่าข้างกายของเจ้ามีท่านพี่ติดตามอยู่ด้วย!” จู่ๆ ซินหรันกลับจับประเด็นสำคัญได้ เกือบจะถูกจิ้งจอกตัวนี้ปั่นหัวเสียแล้ว

“นั่นเพราะว่าท่านป้าเจอพวกท่าน จึงไม่อยากให้ข้าอยู่กับนาง จากนั้นก็จะถูกพวกท่านจำได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้พูดเรื่องนั้นมาโดยตลอด ตามหามาสิบกว่าปี ยามที่พบกันกลับไม่รู้จักไปเสียนับเป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกปวดใจ

“ท่านพี่เจอพวกเรา?” ซินหรันตกใจเป็นอย่างมาก นางแทบไม่มีภาพจำเหล่านั้นแม้แต่น้อย

“สี่ปีที่แล้ว สองวันก่อนที่งานประลองยุทธ์จะเริ่ม ท่านพาเด็กๆ ไปปรากฏตัวที่หอวีรบุรุษ เวลานั้นท่านป้าและข้าก็อยู่ที่หอวีรบุรุษ ผู้ที่ร่วมโต๊ะกับข้าชั่วคราวคือมู่หรงปั๋วเย่ ในยามที่เขาเดินไปก็ได้ทักทายกับลุงอินที่หน้าบันได” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสีหน้าของทั้งสองคนที่เปลี่ยนเป็นซีดขาวโดยพลัน “ในยามที่พวกท่านเพิ่งจะรู้จักกับข้า ข้าก็นึกถึงฮวนรั่วฮวนเซิงขึ้นมาได้ จากนั้นก็คิดได้ว่าเคยพบกันมาก่อน ท่านป้าน่าจะพบท่านเข้า จากนั้นก็หลบออกไป ดังนั้นนางจึงไม่ได้พบกับลุงอิน”

“ปีนั้นอย่างนั้นหรือ?” จู่ๆ ซินหรันก็ดึงหูของอินหงหลันอย่างแรง แฝงไปด้วยเสียงร้องไห้ “ปีนั้นข้ามักรู้สึกว่ามีคนสะกดรอยพวกเรา มองดูพวกเราอยู่ แต่เจ้าก็เอาแต่บอกว่าข้าคิดไปเอง กังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ย่อมเป็นท่านพี่ที่มองดูเราอยู่ที่ไหนสักแห่ง หากละเอียดรอบคอบกว่านี้ก็คงพบท่านพี่แล้ว ล้วนต้องโทษคนสะเพร่าอย่างเจ้า!”

“ท่านป้าไม่อาจพบพวกท่านได้หรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองอินหงหลันที่น่าสงสาร แม้แต่จะดิ้นรนก็ไม่กล้า ไม่มีความรู้สึกขบขันอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “เวลานั้นร่างกายของท่านป้าอาจจะเกิดปัญหาแล้ว ก่อนหน้านั้นนางก็ไม่มีความห่วงหาอันใดมากมายแล้ว นางไม่อาจทำให้พวกท่านเห็นนาง หลังจากนั้นก็ให้ลุงอินรักษาอาการป่วยของนางได้หรอก”

“งานประลองยุทธ์ปีที่แล้ว เจ้าไม่ได้ไปก็เพราะท่านพี่อย่างนั้นหรือ?” ซินหรันกล่าวถามด้วยตาแดงก่ำ นางจำได้ว่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์เคยพูดว่า เดือนห้าเดือนหกปีที่แล้ว ร่างกายของท่านพี่ก็ได้ปรากฏอาการแปลกๆ แล้ว

“ใช่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า เวลานั้นนางล้วนไม่รู้ว่าตัวเองผ่านมันมาได้อย่างไร คล้ายกับแสงสว่างแสงสุดท้ายของโลกนี้กำลังจะเลือนหายไปก็มิปาน

“เช่นนั้นในยามนี้เจ้าคิดอะไรอยู่? เหตุใดจึงให้คุณหนูสุราปรากฏตัวออกมา ทั้งยังพูดคำเหล่านั้นกับเจวี๋ยเอ๋อร์อีก!” ซินหรันเบิกตามองนาง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าเด็กพวกนั้นเอาแต่พร่ำไม่หยุดว่า เจวี๋ยเอ๋อร์นั้นไม่เข้าใจอารมณ์รักของหนุ่มสาว ทำลายน้ำใจของหญิงงาม”

“ที่จริงยามนั้นในใจของข้าสับสนเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าควรจะบอกเจวี๋ยเรื่องที่คุณหนูสุราก็คือข้าหรือไม่ หากจะบอกก็จำต้องเล่าเรื่องของท่านป้าออกมา ข้าไม่รู้ว่าท่านป้าและตระกูลซั่งกวนมีบุญคุณความแค้นอะไรกันแน่ ไม่รู้ว่าหลังจากความจริงของเรื่องเปิดเผยออกมาแล้ว ข้าจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบใด ดังนั้นข้าจึงลังเลเป็นอย่างยิ่ง คิดอยากจะเก็บงำความลับนี้ไว้ในใจตลอดไป แต่ข้าก็รับไม่ได้หากในใจของเจวี๋ยจะมีใครอีกคน แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นข้า แต่คุณหนูสุรานั้นซ่อนใบหน้าอยู่ใต้หน้ากากเสมอมา เดิมทีพวกเขาก็ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของคุณหนูสุรามาก่อน หากมีวันหนึ่ง คนที่ชอบเจวี๋ยทราบถึงตัวตนของคุณหนูสุรา เกิดนางปลอมกายเป็นคุณหนูสุราเพื่อเข้าใกล้เจวี๋ย แล้วข้าเล่าควรจะจัดการกับตัวเองอย่างไร? ดังนั้นข้าจึงอยากใช้ตัวตนของคุณหนูสุราไปพบเจวี๋ยอีกครั้ง เพียงแต่ยามที่เรื่องเกิดขึ้นต่อหน้าข้าก็ลังเล ทั้งหวาดกลัว คาดไม่ถึงว่าจะพบกับคนที่ทำให้กระอักกระอ่วนใจ ทั้งยังเจอกับเจวี๋ย มาถูกฉีอวี่เจวียนพูดถากถางอีก จึงพูดคำพวกนั้นออกมา!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองซินหรันอย่างกังวลอยู่บ้าง กลัวว่านางจะใช้วิชาดรรชนีดึงหูตัวเองไป

“ตอนที่เจ้าพูดคำพวกนั้นไม่กังวลว่าเจวี๋ยจะตกปากรับคำบ้างหรือ?” ซินหรันถามอย่างเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ หากไม่ได้เห็นแก่ฐานะของนาง ซินหรันคงจะเบนทัพไปดึงหูของนางแทนแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ มือของนางก็อดเพิ่มแรงขึ้นมาไม่ไหว ทำให้อินหงหลันเจ็บปวดจนต้องร้องครวญครางออกมา

“กังวลมากเชียวล่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวตามจริง หากยามนั้นซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้ารับปาก นางก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะจัดการอย่างไรจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรคุณหนูสุราก็เป็นเพียงละครฉากหนึ่งในยุทธภพเท่านั้น แต่นั่นกลับเป็นตัวตนที่แท้จริงของนาง หากแม้แต่ยามนี้ยังเทียบกับคุณหนูสุราไม่ได้ เช่นนั้นรอหลังจากที่นางค่อยๆ แก่ชราไปแล้วล่ะ? นางแทบไม่กล้าคิด!

“เจ้านี่นะ…” ซินหรันรู้ว่านางวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียของตัวเอง ถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “ภายหลังไม่อนุญาตให้ใช้ตัวตนของคุณหนูสุราปรากฏกายออกมาแล้ว หากมีวันนั้น ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตายเสีย!”

“ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะทันที ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย

“เซียงเสวี่ยรู้เรื่องนี้หรือไม่?” ซินหรันนึกถึงเมื่อวานที่เซียงเสวี่ยคล้ายกับไม่รู้อะไรชัดเจนจึงถามอีกประโยค

“ท่านป้าเคยบอกว่าอย่าพูดเรื่องตัวตนของคุณหนูสุราออกไป เซียงเสวี่ยเพียงรู้เรื่องที่ข้าออกไปเที่ยวเล่นเท่านั้น เรื่องหลักๆ ข้าไม่ได้พูด และแต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่ถามให้มากความอันใด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ

“เช่นนั้นก็ดี!” ซินหรันพยักหน้า จากนั้นเห็นอินหงหลันที่อยากพูดอะไรแต่ก็ลังเลไม่พูดออกมา จึงกล่าวถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าอยากพูดอันใด?”

“คือว่า…” อินหงหลันชี้ที่มือของซินหรัน ถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เจ้าไม่รู้สึกว่าในมือมีบางอย่างเกินมาบ้างหรือ?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ซินหรันถลึงตาอย่างโกรธเคืองใส่คนทั้งสองที่ทำให้นางรู้สึกปวดหัว กระนั้นก็ยังคลายมือ ก่อนอินหงหลันจะถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าวอย่างระวัง หูของเขาแดงไปหมด

“ที่จริงข้าคิดว่ามีคุณหนูสุราก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่เสมอไป!” อินหงหลันแทบที่จะลืมเรื่องที่ตัวเองจะต้องจำกัดคุณหนูสุราเพื่อระบายความโกรธเสียสิ้น “มี่เอ๋อร์นั้นเป็นศิษย์ของท่านพี่ จะให้เหมือนผู้หญิงธรรมดาทั่วไป ช่วยเหลือสามีเลี้ยงดูบุตรอยู่ในบ้านอย่างสงบเสงี่ยมได้อย่างไร? มีคุณหนูสุราก็ไม่เหมือนกันแล้ว สามารถเบ่งอำนาจในยุทธภพได้ ถึงเวลานั้นยังสามารถบอกผู้คนทั้งหมดตรงๆ ได้ว่า นางเป็นศิษย์ของอวี๋ฮวน พวกเราก็สามารถเปิดเผยอย่างบริสุทธิ์ได้ว่ารู้จักกับนาง นับเป็นเรื่องที่ดีเสียอีก!”

“จากนั้นเล่า?” ซินหรันรู้จักนิสัยของหงหลันดี เขากลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวายไม่พอมากกว่า “ทางที่ดีเจ้าทำตัวสงบเสงี่ยมให้ข้าหน่อยเถิด หากว่าข้าสังเกตความผิดปกติอะไรได้แม้แต่น้อย เจ้าก็เตรียมตัวตายได้เลย!”

“แต่ว่า…” อินหงหลันรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก “เจ้าลองคิดดู ปีนั้นท่านพี่โดดเด่นมีหน้ามีตาขนาดไหน มี่เอ๋อร์แค่ไม่อาจทำตัวตามใจเหมือนท่านพี่ในปีนั้นได้เท่านั้น แต่ว่าคุณหนูสุรากลับทำได้! เจ้าไม่อยากเห็นมี่เอ๋อร์ที่เป็นแบบท่านพี่ในปีนั้นอีกครั้งหรือ?”

“ไม่อยาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชิงปฏิเสธตัดบทก่อนที่ซินหรันจะเอ่ยปาก “ข้าไม่มีความคิดอยากจะโดดเด่นออกหน้าออกตาเช่นนั้น อย่างไรช่วยเหลือสามีเลี้ยงดูบุตรอยู่ที่บ้านก็ดีแล้ว!”

นางไม่อยากเป็นเช่นนั้นเสียหน่อย! อย่างอื่นยังพอว่าได้ แต่หากถึงเวลานั้นมู่หรงปั๋วอวี่ติดพันอย่างไม่ยอมเลิกราจะทำอย่างไร? เขาคือคนที่จิงอิ๋งชอบ นางไม่อยากทำให้ตัวเองกลายเป็นพี่ที่ถูกน้องสามีเกลียด แม้ว่าจิงอิ๋งจะสามารถปล่อยวางจาก มู่หรงปั๋วอวี่ได้ แต่ไม่ใช่ว่ายังมีหลิงหลงอีกคนหรอกหรือ? หากชุยฮ่าวหรันเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา นางอยากจะร้องไห้ก็คงไม่มีที่ให้ร้องอีกแล้ว

“ได้ยินแล้วหรือยัง มี่เอ๋อร์ไม่เหมือนเจ้า เช้าจรดเย็นเอาแต่คิดจะสร้างเรื่อง!” ซินหรันพอใจในท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มี่เอ๋อร์ เจ้าพักผ่อนดีๆ เถิด ข้าต้องจัดการคนที่ไม่รู้จักความเหมาะสมบางคนเสียหน่อย!”

“ข้าไม่รู้จักความเหมาะสมตรงไหน?” อินหงหลันกล่าวเสียงเบา

“ไม่รู้จักความเหมาะสมตรงไหน?” วิชาดรรชนีของซินหรันปรากฏขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นหูข้างขวา กล่าวอย่างดุดัน “เจ้ายังไม่รีบยกเลิกคำสั่งที่ให้คนของหอเหยี่ยวทมิฬไปไล่ฆ่าอีก หากพวกเขาบังเอิญทราบถึงฐานะของมี่เอ๋อร์เข้า ข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆ เอาไปให้สุนัขกิน!”

เห็นซินหรันดึงหูอินหงหลันไปอย่างไม่ไว้หน้า เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็หัวเราะอย่างสบายใจขึ้นมา มีคนสามารถแบ่งปันความลับได้นับเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลยจริงๆ…