เช้าวันต่อมา ในขณะที่เย่เสียวอวี่กำลังอยู่ในความฝันที่จะเอาบันทึกที่เธอจดไว้ส่งให้อวี๋หมิงหลางเพื่อที่เขากับเสี่ยวเชี่ยนจะได้ทะเลาะกันอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูอย่างไร้ความเมตตาปลุกเธอตื่น 

 

 

“พี่สะใภ้บอกให้มาปลุกคุณไปวิ่ง~” อวี๋หลิวเหมยยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้าประตู 

 

 

“ไม่ไป” เย่เสียวอวี่ยังอยากนอนต่อ 

 

 

อวี๋หลิวเหมยชี้เย่เสียวอวี่ด้วยความตกใจ “คุณเป็นผู้หญิงคนแรกเลยนะที่ฉันเห็นแต่งหน้านอน!” 

 

 

เย่เสียวอวี่มองเธออย่างเหยียดๆ “ใครจะไปเหมือนผู้หญิงอย่างพวกเธอที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งการสครับ!” 

 

 

เวลาที่เธออารมณ์ไม่ดีก็จะแต่งหน้านอน ยังมีตื่นมาตบแป้งเพิ่มกลางดึกด้วยซ้ำ 

 

 

“มหัศจรรย์มาก…” อวี๋หลิวเหมยยื่นมือไปคิดจะจิ้มหน้าเย่เสียวอวี่ แต่ถูกเย่เสียวอวี่ตีมือ 

 

 

“ฉันจะไปนอนต่อแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” 

 

 

“อ่อ พี่สะใภ้บอกว่า ถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือก็ให้เล่าให้น้องเวยเวยฟังเรื่องที่คุณเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำชอบแต่งหน้า—เวยเวย ตื่นเร็ว!” หลิวเหมยตะโกนใส่ห้องนอนอีกห้องพลางโบกไม้โบกมือ 

 

 

เวลานี้ต่อให้เสี่ยวเชี่ยนไม่อยู่ เย่เสียวอวี่ก็ยังรู้สึกว่ามีการคุกคามของเสี่ยวเชี่ยนอยู่ทุกที่ เธอทำได้แค่กัดฟันพูดกับอวี๋หลิวเหมย “ยืนรออยู่นี่แหละฉันไปเปลี่ยนชุดก่อน!” 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนนอนหลับสบายจนตื่นเองตามธรรมชาติ คนที่ไปวิ่งกลับมากันแล้ว เย่เสียวอวี่ทำกับข้าวอยู่ในครัวด้วยสีหน้าบึ้งตึง ส่วนอวี๋หลิวเหมยกับเวยเวยนั่งพิงประตูครัวกินแตงหวานกันอยู่พลางคุยกับเย่เสียวอวี่ 

 

 

“อากาศร้อนๆแบบนี้คุณทาหน้าเสียหนาไม่เหนอะหนะบ้างเหรอ? แล้วดูคุณเป็นคนเหงื่อออกง่ายด้วย รักแร้เปียกหมดแล้ว พรุ่งนี้ไม่ต้องแต่งหน้าหรอก แต่งหน้าไปออกกำลังรูขุมขนจะอุดตันนะ!” 

 

 

“เหงื่อฉันหอม!” เย่เสียวอวี่กัดฟันพูด สายตาเหลือบไปเห็นเสี่ยวเชี่ยนที่มีสีหน้าสดชื่น จึงยิ่งกัดฟันหนักมากกว่าเดิม 

 

 

ยัยปีศาจนี่ทรมานเธอตลอดช่วงเช้า แต่ตัวเองกลับนอนสบาย! 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนยิ้มหวานให้เย่าเสียวอวี่ “อรุณสวัสดิ์~” 

 

 

“นี่มันจะเที่ยงแล้วคนขี้เกียจ!” เย่เสียวอวี่มองเสี่ยวเชี่ยนด้วยความอิจฉา ทำไมหน้าสดเหม่ยเหวยตอนเพิ่งตื่นนอนถึงได้ดูดีแบบนั้น? 

 

 

“พวกเธอกินกันแล้วเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนขี้เกียจสนใจเย่เสียวอวี่ เธอหันหน้าไปถามอวี๋หลิวเหมย 

 

 

หลิวเหมยกับเวยเวยพยักหน้า 

 

 

“งั้นเธอพาเวยเวยไปตากแดดเสียหน่อย อีกครึ่งชั่วโมงค่อยกลับมา” เสี่ยวเชี่ยนพูดกับหลิวเหมย 

 

 

“พี่เหม่ยเหวยคะ หนูไม่อยากลงไป” หลังกลับมาจากออกกำลังกายตอนเช้าเย่เสี่ยวเวยก็อ่อนเพลีย เธอเพิ่งออกจากโรงพยาบาลจึงวิ่งไม่ได้ ได้แต่เดินเลาะรอบหมู่บ้านมองหลิวเหมยวิ่ง 

 

 

“แสดงแดดไม่เพียงแต่จะทำให้อารมณ์ดีขึ้น ยังช่วยไล่ลูกหมาดำที่อยู่ในใจหนูด้วยนะ~” เสี่ยวเชี่ยนยิ้มให้เวยเวย 

 

 

“ลูกหมาดำ…?” 

 

 

“ใช่จ้ะ พี่ชอบเรียกว่าลูกหมาดำโรคซึมเศร้า มันติดตามหนูเหมือนเงาตามตัว พี่ฆ่ามันให้หนูไม่ได้ แต่พี่ช่วยให้หนูฝึกมันได้ หนูจะได้อยู่กับมันอย่างสันติสุข หรือถึงขนาดที่ว่าวันหนึ่งมันอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหนูก็ได้นะ ทำให้ชีวิตหนูยิ่งสงบสุขมากขึ้น” 

 

 

“หนูจะทำได้เหรอคะ?” ตอนนี้เวยเวยไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น เธอรู้สึกหงุดหงิดใจ 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนทำท่าสู้ตายให้เวยเวย “พี่ของหนูก็อยากให้เป็นอย่างนั้นนะ ใช่ไหมเย่เสียวอวี่?” 

 

 

เย่เสียวอวี่รีบเปลี่ยนสีหน้าจากอารมณ์เสียเป็นยิ้มกว้าง ทำท่าสู้ตายเลียนแบบเสี่ยวเชี่ยน 

 

 

“หนูต้องพยายามเพื่อพวกเรานะ ไปเดินเล่นเถอะ ไปสัมผัสกับแสงแดดตอนสายๆ เดี๋ยวกลับมาบอกพี่ด้วยนะว่ารู้สึกยังไงตอนที่ผิวได้สัมผัสกับแดด แสงแดดที่เพียงพอจะทำให้ลูกหมาดำในใจหนูสงบลง” เสี่ยวเชี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ 

 

 

“ถูกต้อง เชื่อฟังพี่เหม่ยเหวยนะ” เย่เสียวอวี่พูดสนับสนุน 

 

 

“ก็ได้ค่ะ” เพื่อพี่สาวทั้งสองคน เวยเวยอยากลองดู 

 

 

พอเวยเวยกับหลิวเหมยเดินออกไป เย่เสียวอวี่ก็หน้าตึงเหมือนเดิม สีหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่หายเกลี้ยง 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนเคาะโต๊ะเล่น “ฉันว่าเธอเหมาะจะเล่นละครเปลี่ยนหน้าของเสฉวนนะ เหมือนแม่เธอเลย ชอบทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก แต่ฉันว่าเธอดูรื่นหูรื่นตากว่าแม่เธอหน่อย” 

 

 

“น่ารำคาญ ฉันอยากจะเอาถั่วเขียวต้มราดลงบนหัวเธอจริงๆ” เย่เสียวอวี่ตักถั่วเขียวต้มออกมาจากหม้อ นี่เป็นเมนูที่เสี่ยวเชี่ยนสั่งเพื่อบำรุงเวยเวย 

 

 

“ยกอาหารเช้ามาให้ฉันหน่อย” ท่าทางเสี่ยวเชี่ยนดุจนางพญา 

 

 

“ไม่มีมือเหรอ?” 

 

 

“ดูท่าทางเธอจะไม่อยากฟังฉันวิเคราะห์อาการของเวยเวยนะ” ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนอยากจะแน่ใจว่าการคาดเดาที่น่ากลัวของเธอนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า 

 

 

ทางออกของเรื่องทั้งหมดอยู่ที่เย่เสียวอวี่ 

 

 

ผ่านไปหนึ่งนาทีเบื้องหน้าของเสี่ยวเชี่ยนก็เต็มไปด้วยอาหารเช้า เย่เสียวอวี่ยืนอยู่ตรงข้ามเสี่ยวเชี่ยนด้วยความอดทน 

 

 

“ไม่กินเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนชี้ 

 

 

“เห็นเธอฉันก็หมดอารมณ์แล้ว รีบพูดมา อาการน้องสาวฉันเป็นไงบ้าง?” ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องต้องพึ่งพา เธอไม่มีทางมานั่งบริการคนที่ตัวเองเกลียดแบบนี้หรอก  

 

 

“ทอดไข่ได้กำลังดี ขนมปังก็ปิ้งได้ที่ กาแฟหอมกรุ่น—เย่เสียวอวี่ ฝีมือทำอาหารของเธอใช้ได้เลยนะ ตรงข้ามกับตัวตนของเธอเลย” เสี่ยวเชี่ยนไม่ตอบคำถามของเย่เสียวอวี่ แต่ชมอาหารเช้าแทน 

 

 

“หึ แน่นอน ฉันเคยทำงานที่ร้านอาหารฝรั่งมาก่อน เลยทำเป็นหมดทั้งอาหารจีนอาหารฝรั่ง!” เย่เสียวอวี่ตอบอย่างภูมิใจ เธอนึกไม่ถึงว่าเหม่ยเหวยจะชมเธอ แต่ถูกคนที่เกลียดชมไม่น่าภูมิใจเท่าไร 

 

 

“ดูสิ ระดับความเป็นคนดูแค่นี้ก็รู้แล้ว ฉันเป็นคนที่ว่าไปตามเหตุผล ถึงเธอจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าที่นิสัยฟุ่มเฟือยอยากได้แฟนชาวบ้าน แต่ฉันไม่ปฏิเสธทักษะเก่งๆของเธอนะ ดังนั้นเธอจะช่วยเก็บความยโสของเธอเอาไว้ก่อน แล้วมาช่วยทำให้อารมณ์เป็นแบบเดียวกันในช่วงที่รักษาเวยเวยได้ไหม?” 

 

 

เย่เสียวอวี่ถูกเสี่ยวเชี่ยนหลอกด่าอีกแล้ว เธอพบว่าเหม่ยเหวยนี่จิกกัดเก่งจริงๆ! 

 

 

ตอนแรกที่รู้จักยังไม่รู้สึก แต่ยิ่งใกล้ชิดมากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงกดดัน 

 

 

ต่อหน้าเสี่ยวเชี่ยนเย่เสียวอวี่เหมือนเป็นสาวใช้พาร์ทไทม์ เสี่ยวเชี่ยนก็คือบอสที่คุมทุกอย่าง 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนมองเธอทะลุปรุโปร่ง แต่เธอเดาใจเสี่ยวเชี่ยนไม่ออก 

 

 

เมื่อชาติก่อนเสี่ยวเชี่ยนมีลูกน้องมากมาย แต่ละคนเป็นจิตแพทย์ที่แตกต่างกันไป เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมีจิตใจเมตตาดีงาม มีไม่น้อยที่ใจคิดไม่ซื่อ ร้ายกว่าเย่เสียวอวี่กับหลุ่ยเสี่ยวฉาก็มี แต่คนพวกนี้ฝีมือในการรักษาสูง เธอในฐานะที่เป็นบอสเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้บริษัทเป็นที่รวบรวมแต่คนดี ทำอย่างไรที่จะสร้างความสมดุลให้กับคนนิสัยไม่ดีแต่ทำงานเก่งพวกนี้ ก็ถือเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง 

 

 

ดังนั้นยามที่เสี่ยวเชี่ยนมองเย่เสียวอวี่กับหลุ่ยเสี่ยวฉาจึงมองไปตามเนื้อผ้า คนไม่ว่าจะร้ายสักแค่ไหนเมื่อมาถึงมือเธอย่อมมีทางให้ใช้ประโยชน์ 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนค่อยๆละเลียดอาหารเช้า “ฉันจะบอกเธอถึงหลักความเป็นจริงให้ฟังนะ โลกของผู้ใหญ่ไม่ควรมีคำว่าถูกหรือผิดมากเกินไป มีแค่มีประโยชน์กับไร้ประโยชน์ อย่างเช่น ฉันไม่ชอบขี้หน้าเธอ แต่เวลานี้เธอทำอาหารแสนอร่อยให้ฉันกินได้ ก็แสดงว่าเธอมีประโยชน์กับฉัน ฉันก็ชมเธอไปตามความจริง ทำได้แบบนี้ใจฉันก็สงบ ส่วนเธอถ้าวันหนึ่งทำได้แบบฉัน ไม่แน่โรคย้ำคิดย้ำทำของเธออาจดีขึ้นก็ได้”