ตอนที่ 191 นี่คือนาสมาธิ

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อาตมากลัวว่าจะทำให้สีกาผิดหวัง อาตมาความรู้ความสามารถไม่มาก อาจเป็นได้แค่ผู้รับฟัง”

พอได้ยินประโยคหน้า หลี่เสวี่ยอิงใจหนักอึ้ง เธอไม่ได้จะมาหาคนเพื่อแก้ปัญหาให้จริงๆ ตนรู้ปัญหาของตนดี เพียงแต่อึดอัดในใจ อยากหาคนที่พึ่งพาได้เล่าให้ฟังก็เท่านั้น ฟางเจิ้งให้ความรู้สึกที่ดีมาก แม้จะเจอกันครั้งแรก แต่ทำให้เธอเกิดความรู้สึกใกล้ชิดโดยธรรมชาติ เป็นความรู้สึกที่วางใจได้จริงๆ ที่สำคัญคือหลวงจีนนี่ไม่รู้จักเธอ!

พอได้ยินประโยคหลังหลี่เสวี่ยอิงถึงถอนหายใจโล่งอก ยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นฟังก็พอค่ะ”

หลี่เสวี่ยอิงจะพูดพลันได้ยินเสียงคนจอแจดังมาจากข้างนอก มีคนตะโกนเสียงดังว่า “หลี่เสวี่ยอิง! หลี่เสวี่ยอิง!”

หลี่เสวี่ยอิงลุกลี้ลุกลนในใจ…

ฟางเจิ้ง “สีกา เหมือนจะมีคนมาหานะ”

หลี่เสวี่ยอิงถอนหายใจ “ช่างเถอะ ดูท่าวันนี้คงคุยกันได้เท่านี้ อืม ถ้าเป็นไปได้อย่าบอกใครเรื่องที่ฉันคุยกับท่านได้ไหมคะ?” หลี่เสวี่ยอิงถาม

ฟางเจิ้งพยักหน้า “อาตมาช่วยสีการักษาความลับได้”

“ขอบคุณมากค่ะ ฉันชอบความสงบที่นี่มาก และก็ชอบความรู้สึกที่ไม่มีเครื่องตกแต่งอะไร มันทำให้ฉันเข้าใจหลักการอย่างหนึ่ง” หลี่เสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ

ฟางเจิ้งถามด้วยความแปลกใจ “หลักการอะไร?”

“บางครั้งความคิดคนซับซ้อนเกินไป แม้จะได้ของมาบางสิ่ง แต่ก็ต้องเสียของไปบางสิ่ง พูดง่ายๆ ปลดเครื่องประดับออกหวนคืนสู่เนื้อแท้ ถึงจะสบายตัว น่าเสียดาย มันเข้าใจง่ายแต่ทำยาก ฉันทำไม่ได้ เฮ้อ…”

ว่าจบหลี่เสวี่ยอิงก็หมุนตัวเดินไป ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสบายๆ แต่ทันทีที่เดินออกจากวัด รอยยิ้มถดถอยเป็นยิ้มแบบอาชีพ สวมแว่นตาดำเงียบๆ

ฟางเจิ้งข้างหลังยืนอึ้งอยู่กับที่

“พูดง่ายๆ ปลดเครื่องประดับออกหวนคืนสู่เนื้อแท้ถึงจะสบายตัว? ปลดเครื่องประดับออกหวนคืนสู่เนื้อแท้ พูดง่ายๆ?” ฟางเจิ้งพลันเข้าใจจึงหัวเราะเสียงดังลั่น ‘อาตมาเข้าใจแล้ว! นาสมาธิๆ อาตมาคิดมากไปเอง! ทำนาก็คือการทำนา วางภาระลงให้หมดแล้วทำนา! เฮ้อ สมาธิ สมาธิ สมาธิ พูดในเวลาปกติจะเข้าใจโดยไม่ต้องคิดว่ามันคืออากาศ คือธรรมชาติ คือกายตระหนักเจตนาเดิม คือการหวนคืนสู่สันดานเดิม ตอนที่จะใช้จริงๆ ดันลืมไปซะได้’

ฟางเจิ้งยิ้มพลางส่ายหน้า ปิดประตูใหญ่วัด เข้านอนอย่างมีความสุข พรุ่งนี้จะเริ่มทำนาแล้ว!

คืนนี้ฟางเจิ้งฝันอย่างหนึ่ง เขาเห็นไร่นาที่โตเต็มที่ในความฝัน มันโบกพลิ้วไปตามสายลมใต้แสงตะวัน สวยมาก…

วันที่สองฟ้ายังไม่สาง ฟางเจิ้งลุกขึ้น ปลุกลิงที่ตื่นสาย ก่อนทำความสะอาดอุโบสถ ลิงกวาดใบไม้ หมาป่าเดียวดายรับผิดชอบเทขยะ ส่วนกระรอก ฟางเจิ้งโยนมันไปบนคานให้ทำความสะอาดใยแมงมุมอะไรพวกนี้ ตอนนี้เองภายในวัดที่วุ่นวาย หมาป่าร้องไห้ กระรอกบ่น ลิงฉุนเฉียว…

แต่ฟางเจิ้งเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่าถ้าทำดีจะมีข้าวกิน ทุกตัวเลยทำงานอย่างว่าง่าย

ทำความสะอาดอุโบสถเสร็จแล้วก็หุงข้าว จากนั้นเอาหน่อไม้หลิวเฮาที่เก็บมาใส่ไปในน้ำเดือด เมื่อขจัดรสชาติที่ไม่ดีข้างในไปแล้วจึงตักออกมา บีบน้ำข้างในทิ้ง ก่อนหยิบซีอิ๊วมาอีกถ้วย ใช้ตะเกียบคีบหน่อหลิวเฮาวางไว้ในถ้วยซีอิ๊ว คลุกแล้วใส่ปาก กลิ่นหอมสดชื่นอัดแน่นเต็มปาก!

นี่คือรสชาติหอมสดชื่นที่มีเฉพาะหน่อหลิวเฮา คู่กับความเค็มหน่อยๆ ของซีอิ๊ว เขาเหมือนได้กินรสชาติของฤดูใบไม้ผลิ! สุดท้ายตามด้วยข้าวหนึ่งคำ ฟางเจิ้งมีความสุขจนยิ้มหยีตา

แต่กระรอกนั่งอยู่บนโต๊ะ ถลึงตาโตมองฟางเจิ้ง

ลิงเหมือนกำลังขบคิด หรือว่าไอ้นี่จะอร่อยจริงๆ?

หมาป่าเดียวดายเหลือบตามองแวบหนึ่งก่อนก้มหน้ากินข้าวผลึกต่อ ในสายตามันข้าวผลึกก็พอแล้ว อย่างอื่นไม่ได้เรื่อง! กินข้าวให้เสร็จเร็วๆ แล้วแย่งข้าวต่างหากที่เป็นหลักการสำคัญ!

“มองอาตมาทำไม? กินข้าวสิ กินเสร็จพวกเราจะไปปลูกข้าวผลึกกัน ถ้าปลูกดีแล้วเก็บเกี่ยวได้นะ เหอะๆ จะให้พวกนายกินข้าวจนอิ่มไปเลย!” ฟางเจิ้งยิ้ม

พอได้ยินว่าจะทำงานเจ้าพวกนี้พลันเหี่ยวเฉา แต่พอได้ยินประโยชน์หลังจากทำงานจึงมีชีวิตชีวากลับมา

เพียงแต่ว่ากระรอกวิ่งไปหยิบหน่อหลิวเฮามาสองหน่อ เลียนแบบฟางเจิ้งโดยการจิ้มซีอิ๊วแล้วใส่ปากเคี้ยวตุ่ยๆ ดวงตาเปล่งประกาย หน่อหลิวเฮาคำ ข้าวผลึกคำ ดูมีความสุขมาก

ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็หัวเราะ หยิบข้าวมาคำเล็กๆ ทำหน่อหลิวเฮาอีกหลายหน่อ จิ้มไปในซีอิ๊ว นำผักเล็กๆ มาห่อข้าวส่งให้กระรอก กระรอกมองฟางเจิ้งด้วยความสงสัย

ฟางเจิ้งพูด “อันนี้ต้องกินทั้งคำถึงจะหอม ลองดู”

กระรอกหลับตาลง ยัดเข้าใส่ปากไป แก้มนูนสูงเคี้ยวตุ่ยๆ ก่อนกระโดดโลดเต้นอยู่กับที่อย่างตื่นเต้น

ลิงก็เลียนแบบเหมือนกัน กินหน่อหลิวเฮาคำข้าวผลึกคำ ผลคือรสชาติอร่อยสุดๆ

เวลานี้ คน ลิง กระรอกกำลังทำลายล้าง จนหมาป่าเดียวดายเห็นสถานการณ์ผิดกติเลยเข้ามาใกล้ แต่หน่อหลิวเฮาหน่อสุดท้ายเข้าไปในปากกระรอกแล้ว หมาป่าเดียวดายทำหน้าเศร้าโศก เห่าโฮ่งๆ เหมือนกำลังพูดว่า ‘พวกนายมันไร้คุณธรรม…ไม่เหลือให้ฉันบ้างเลย’

กินข้าวเช้าเสร็จ ฟางเจิ้งหยิบเครื่องมือเกษตรที่หลวงจีนหนึ่งนิ้วใช้ทำนาในตอนนั้นมา แบกจอบเดินออกไป

ช่วงปลายเดือนสาม สภาพอากาศเพียงอบอุ่นเท่านั้น ตอนนี้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังไม่เริ่มเพาะปลูก โดยเฉพาะบนเขา สภาพอากาศต่ำกว่าตีนเขามาก จึงไม่มีทางเพาะปลูกได้ แต่ข้าวผลึกต่างไป พื้นฐานข้าวผลึกคือจะไม่จู้จี้เรื่องสภาพอากาศ ดังนั้นปลูกเร็วก็เก็บเกี่ยวเร็ว หลุดพ้นจากความยากจนได้กินข้าวอิ่มหนำเร็ว ด้วยความที่คิดแบบนี้เขาเลยไม่สนอะไรมากนักแล้ว

เดิมทีหลวงจีนหนึ่งนิ้วไม่มีที่เพาะปลูก ต่อมาหมู่บ้านแบ่งที่นาให้ตรงตีนเขา ทว่าหลวงจีนหนึ่งนิ้วมรณภาพแล้วก็เข้าสู่หน้าหนาว แน่นอนว่าไม่มีใครดูแล อีกทั้งตอนนี้ฟางเจิ้งไม่อยากลงเขาด้วย ปลูกบนเขาได้จะลงเขาทำไม?

ดังนั้นเขาจึงเลือกดินอุดมสมบูรณ์ หินน้อยๆ และเป็นที่ราบหลังวัดทำเป็นแหล่งอาหารของวัดตน

แต่ปัญหาแรกคือการกำจัดวัชพืช บนเขามีหญ้าเยอะมาก ถึงจะเพิ่งเริ่มฤดูใบไม้ผลิ หญ้าอ่อนๆ เพิ่งงอกเงย แต่หญ้าแห้งปีก่อนกลับมีเยอะมาก ทว่าถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับฟางเจิ้ง หลังฝึกหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์ก็มีพลังเหลือล้น

เขาใช้จอบขุดไปตลอดทาง ครึ่งเช้าขุดเป็นพื้นที่กว้างเล็กๆ ราวหนึ่งร้อยตารางเมตร ขุดหินที่ไม่มีประโยชน์ล้อมรอบไว้ แค่รดน้ำตรงกลาง หว่านเมล็ดก็เรียบร้อย การปลูกข้าวผลึกง่ายแบบนี้เอง เพียงแต่จะมีเรื่องยุ่งยากในภายหลัง

ฟางเจิ้งพาหมาป่าเดียวดายมา แม้แต่ลิงก็ยังไม่ปล่อย ให้มันถือกระถางใหญ่เดินตามลงเขาไปตักน้ำ อันดับแรกใส่โอ่งพุทธก่อน เปลี่ยนเป็นน้ำบริสุทธิ์แล้วถึงราดลงในที่นา

การจะราดน้ำในไร่นาหนึ่งร้อยตารางเมตรไม่ใช่งานเล่นๆ พวกเขายุ่งกันในช่วงเช้า จนกลางวันถึงราดน้ำไปได้ครึ่งนา ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ “ฉันเริ่มเสียใจแล้วสิที่ปลูกบนเขา อย่างนี้เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวรึเปล่า…”