ปากว่าแบบนี้ แต่ฟางเจิ้งไม่ได้คิดจะปลูกตรงตีนเขาจริงๆ ข้าวผลึกล้ำค่า ปลูกตรงตีนเขาจะมีปัญหาเยอะเกินไป เขาอยู่บนเขาดูแลลำบากอีก ที่สำคัญคือการปลูกข้าวผลึกต้องใช้การอ่านคัมภีร์ กลิ่นอายพุทธเป็นต้นในการส่งเสริม ซึ่งพวกนี้ไม่มีตรงตีนเขา
กินข้าวกลางวันเสร็จ ตอนบ่ายก็รดน้ำเข้านาต่อ ในที่สุดเขาก็ทำงานเสร็จก่อนฟ้ามืด ทั้งยังปลูกเมล็ดแล้ว
ตอนนี้เองคนจากกองถ่ายเห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านนี้ เห็นฟางเจิ้งแบกน้ำขึ้นเขาทีละถังๆ ราดน้ำใส่พื้นที่เว้าเล็กๆ จึงอยากรู้อยากเห็น
หลินตงสือเข้าไปใกล้ ถามด้วยความแปลกใจ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง กำลังทำอะไรครับ? ทำบ่อเก็บน้ำ?”
หลัวลี่ยิ้ม “เป็นไปไม่ได้ จะเก็บน้ำบนเขามันยากนะ”
ฟางเจิ้งประนมสองมือสวดไปบทหนึ่ง “อาตมาไม่ได้จะทำบ่อเก็บน้ำ แต่เตรียมเพาะปลูกบนเขา”
“พรวด…” เหล่าเถาที่ไม่ออกเสียงอดหัวเราะไม่ได้ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านไม่เคยเพาะปลูกมาก่อนเหรอครับ? อากาศหนาวแบบนี้ยังปลูกอีก? ท่านมีเมล็ดเท่าไรก็หนาวตายหมด ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเพาะปลูกนะ อ้อ หลวงพี่ฟางเจิ้งจะปลูกอะไรเหรอครับ?”
หลินตงสือพูดเช่นกัน “ใช่ พอกลางคืนที่นี่จะเป็นน้ำแข็ง เมล็ดอะไรก็ตายหมด ถ้าจะปลูกจริงๆ ก็ปลูกในโรงเรือนเพาะปลูกสิครับ?”
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “เรื่องโรงเรือนช่างเถอะ อาตมาไม่มีเงิน อาตมาจะปลูกข้าว ส่วนวิธีการเดี๋ยวอาตมาค่อยคิดอีกที”
“เฮ้ย ทำไมท่านไม่ฟังกันบ้างล่ะ เอาเถอะ ไม่ฟังก็ช่าง ถ้าที่นาท่านออกพวงข้าวจริงๆ ผมจะสลับชื่อตัวเอง” หลัวลี่มองบน รู้สึกว่าเณรนี่น่าตลกชะมัด แถมยังไม่รู้จักดีชั่วเล็กน้อย พวกเขาเตือนด้วยความหวังดีกลับไม่ฟัง จะมาค่อยคิดอีกที? ไม่มีโรงเรือนเพาะปลูกยังจะปลูกบนเขาในต้นฤดูใบไม้ผลิ? ต่อให้เรียกผู้เชี่ยวชาญทั้งโลกมาก็ไม่มีหวังมั้ง? เขาเดาว่าหลวงจีนนี่คิดจนหัวระเบิดก็ยังไม่มีหวัง
พวกเขายังอยากพูดอะไรอีก แต่มีคนวิ่งมาบอกว่าผู้กำกับเรียกพวกเขา เลยไม่ว่างจะเถียงกับฟางเจิ้ง จึงกลับไปทำงานทันที
คนจากกองถ่ายยุ่งกันมาก ฟางเจิ้งด้านนี้ไม่ต่างกัน ขึ้นลงเขาไปตักน้ำไม่มีหยุด
ทางด้านกองถ่าย ในช่วงที่เจียดเวลามาพักผ่อน เหล่าเถา หลินตงสือ หลัวลี่สามคนเล่าเรื่องที่ฟางเจิ้งขุดดินเพาะปลูกข้าวในเดือนสาม
ทุกคนได้ยินดังนั้นพลันทำหน้าพูดไม่ออก มีคนว่า “เขาอาจจะแค่ขุดดิน ราดน้ำ รออากาศอุ่นกว่านี้แล้วค่อยปลูกก็ได้มั้ง?”
“มีเหตุผล เหล่าเถา ฉันว่าพวกนายคิดมากไปแล้ว อากาศแบบนี้ยังจะเพาะปลูก? ไม่ใช่คนโง่ก็แม่มันที่โง่ ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ไม่พ้นคำว่าโง่” มีอีกคนว่า
เหล่าเถาขบคิด “จะเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ…”
“เหล่าเถา ดูเร็ว หลวงจีนนั่นโค้งตัวทำอะไรในน้ำน่ะ? ในมือถือถุงด้วย” หลัวลี่เอามือวางตรงหน้าผากเพ่งมองไกลๆ ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงหยุดลง แล้วเรียงแถวกันยื่นคอมองทอดไกลราวกับอีเห็น
เห็นฟางเจิ้งหยิบอะไรออกมาจากถุง จากนั้นยัดเข้าไปในน้ำ
“ดูจากท่าทางแล้วเหมือนกำลังดำนานะ” เหล่าเถาว่า
“แม่เจ้า นี่โง่จริงๆ รึเปล่าวะเนี่ย?” คนที่บอกว่าเป็นคนโง่ตอนแรกสุดร้องอุทาน
“อายุยังน้อยเกินไป เลยไม่มีความรู้ทั่วไป”
“คนหัวดื้อพูดอะไรก็ไม่ฟัง พวกเราพูดในสิ่งที่ควรจะพูดแล้ว เขาทำตามแต่ความคิดตัวเอง ก็ให้เขาปลูกต่อไปเถอะ พวกเราคอยดูสนุกๆ แล้วกัน” หลัวลี่กล่าว
ทุกคนยักไหล่สื่อว่าเห็นด้วย จากนั้นไปทำงานต่อ
เหล่าเถาเห็นผู้กำกับมาแล้วจึงปรี่เข้าไปเล่าเรื่องนี้ทันที เดิมทีจะให้ผู้กำกับอารมณ์ดี ทว่า…
“เหล่าเถา แกดูฉันนะ มีอะไรเปลี่ยนไปไหม?” ผู้กำกับถาม
เหล่าเถาเข้ามาใกล้ พิจารณาอย่างละเอียดแล้วส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปนี่ครับ”
“มาๆๆ…” ผู้กำกับอวี๋กอดบ่าเหล่าเถา “ฉันยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อวานเย็นจนถึงตอนนี้ ไม่ได้หวีผม ไม่ได้แปรงฟัน ฉันเหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว แกยังมีเวลาไปเล่นอีก? ดูแกคงจะว่างจริงๆ สินะ”
เหล่าเถาได้ยินดังนั้นหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน นี่จะประจบแต่โดนซะเอง!
สรุปคือผู้กำกับอวี๋ตะโกนว่า “ทุกคนพักหน่อย งานที่เหลือให้เหล่าเถาเหมาเลย”
เหล่าเถา “@¥…”
เพียงแต่ทุกคนไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าภายในเต็นท์ใหญ่หรูหราใกล้ๆ มีคนได้ยินคำพูดนี้
หลี่เสวี่ยอิงมองไปตามหน้าต่าง เห็นภาพฟางเจิ้งกำลังปลูกข้าวจึงยิ้มเจื่อนๆ “เป็นคนโง่ใสซื่อจริงๆ…”
ถึงยามเย็น ในที่สุดฟางเจิ้งก็ปลูกข้าวเสร็จ เตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้วถึงนั่งลงข้างนา อ่านวัชรสูตร เมื่อเสียงอ่านดังขึ้น ฟางเจิ้งเหมือนได้ยินเสียงเปาะแปะแว่วๆ ราวกับว่ามีหน่ออ่อนเติบโตมาจากในเมล็ด ความรู้สึกนั้นสมจริงมาก แต่มองไป นอกจากผิวน้ำนิ่งๆ แล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร
ฟางเจิ้งไม่คิดอะไรมาก อ่านคัมภีร์ต่อไป ผลคือเกิดภาพในความคิดอีกครั้ง เขาเห็นการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตใหม่ หน่ออ่อนเติบโตขึ้นทีละน้อย ทุกหนึ่งส่วนจะเต็มไปด้วยพลังชีวิตเจริญงอกงาม ฟางเจิ้งทั้งแปลกใหม่ ทั้งตื่นเต้น ที่มากกว่านั้นคือความเข้าใจต่อชีวิต
ตอนนี้เองในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของนาสมาธิ ไม่ใช่การทำนาธรรมดา แต่เป็นการวางทุกสิ่ง สงบลง ตระหนักการเติบโตของธรรมชาติ พลังชีวิต กฎฟ้าดิน ขั้นตอนของธรรมชาติ นี่คือการบำเพ็ญเพียร การตระหนักรู้และความตื้นตันใจ
เมื่อจิตใจฟางเจิ้งตกอยู่ในห้วงความสุขในการเติบโตของชีวิต เขารู้สึกว่าชีวิตกำลังทุ่มเทแรงกายแรงใจเติบใหญ่ในดิน แต่กลับถูกดินกดไว้ รู้สึกถึงความภูมิใจในพริบตาที่ทะลวงดิน รู้สึกถึงความงดงามของชีวิต…
พลังชีวิตแห่งการเจริญงอกงามแผ่มาจากตัวฟางเจิ้ง ทั่วร่างเขาเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและพละกำลัง
กระรอก ลิงและหมาป่าเดียวดายที่เดิมทีกำลังกลัดกลุ้มพอได้ฟังเสียงคัมภีร์แล้วต่างสงบลง
กระรอกนอนหมอบอยู่บนขาฟางเจิ้ง หมาป่าเดียวดายนอนอยู่ข้างหลัง ร่างสีขาวใหญ่กลายเป็นเบื้องหลังเขา หัวหมาป่าวางบนกรงเล็บ หรี่ตา มีท่าทางกำลังฟัง
ลิงเลียนแบบฟางเจิ้ง นั่งขัดสมาธิ หรี่ตา ไม่รู้ว่ากำลังฟังหรือสัปหงก
ตะวันยามอัศดงลาดเอียงไปทางตะวันตก เมื่อมาแขวนอยู่ข้างหลังฟางเจิ้งมันกลายเป็นดั่งธรรมจักร เสริมดุลให้ตัวเขาไม่ธรรมดายิ่งกว่าเดิม ประหนึ่งพระพุทธองค์ที่มีชีวิตลงมายังโลก
กองถ่ายที่อยู่ไกลออกไปเงียบลงแล้ว นอกจากพวกดวงซวยที่มีหน้าที่เฝ้าค่ายสามคนซึ่งกำลังกินข้าวแล้ว คนส่วนใหญ่ลงเขาไปกินข้าวกัน
แต่ยังมีอีกคนที่ละเว้น…
ตรงตีนเขา
“ทำไมเสวี่ยอิงหายไปอีกแล้ว?”
“พี่เสวี่ยอิงเทพชะมัด เมื่อกี้ยังอยู่เลย ทำไมพริบตาเดียวก็หายไปแล้ว?”
“เสี่ยวหลิว?”
“อย่าถามฉัน พี่เสวี่ยอิงเป็นอย่างนี้ตลอด จะหายก็หายไปเลย”
“ฉันสงสัยจริงๆ ว่านายเป็นนายหน้าของเสวี่ยอิงได้ยังไง หาไม่เคยเจอเลย…”
“เอ่อ คนที่หาเธอเจอก่อนหน้าฉันถูกเลิกจ้างไปหมดแล้ว” เสี่ยวหลิวตอบซื่อๆ
ทุกคน “2¥@…”