ตอนที่ 36 ตอบแทนบุญคุณ

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 36 ตอบแทนบุญคุณ

“เหตุใดถึงเก็บผักในสวนไม่ได้ล่ะเจ้าคะ? ในเมื่อแยกบ้านออกมาแล้ว พวกเราสามารถเก็บผักได้ตลอดฤดูกาล อีกอย่างมีเพียงพี่สาวกับข้าที่รดน้ำแปลงผักทุกวัน ดังนั้นข้าจะกินเยอะเท่าไรก็ย่อมได้”

หยุนเชวี่ยทำทีหูทวนลมพลางหยิบแตงกวาจิ้มลงในน้ำพริกและกัดดัง ‘กร๊อบ’ โดยที่สนใจคำด่าของแม่เฒ่าจู

“กิน ๆ ๆ กินเข้าไป เกลียดนักพวกชอบทวงบุญคุณ! หากข้าตายไป พวกมันคงกู่ร้องดีใจสินะ! อย่าให้ถึงวันที่ข้าหมดความอดทนล่ะ…” เสี่ยงก่นด่าของแม่เฒ่าจูดังขึ้นเรื่อย ๆ

แม่นางเหลียนถอนหายใจ “ท่านย่าคงอารมณ์ไม่ค่อยดี เจ้าอย่าไปต่อปากต่อคำกับนางเลย เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่…”

“เคยมีวันที่ท่านย่าอารมณ์ดีด้วยหรือเจ้าคะ? ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไร นางก็หาเรื่องมาด่าได้ทุกครั้ง” หยุนเชวี่ยกลอกตา “เสียงของท่านย่าดังลั่นราวไก่ชนตีกันเช่นนี้คงอายุยืนร้อยปีแน่เจ้าค่ะ ท่านแม่วางใจได้!”

หยุนเยี่ยนที่กำลังยกอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะ อดไม่ได้ที่จะปิดปากกลั้นขำกับคำพูดของหยุนเชวี่ย

เนื่องจากคุ้นชินกับคำพูดจิกกัดของแม่เฒ่าจูจนการก่นด่ากลายเป็นเรื่องปกติสำหรับหยุนลี่เต๋อไปแล้ว เขาเดินเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าของภรรยาและลูกสาว ความเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้นจึงหายเป็นปลิดทิ้ง

“เชวี่ยเอ๋อ มาดูอะไรทางนี้สิ”

“โอ้!” หยุนเชวี่ยรับกระต่ายมาจากอ้อมแขนของเสี่ยวอู่พลางแสดงท่าทีว่าชอบมันมาก “ท่านพ่อจับมันได้หรือเจ้าคะ?!”

“เปล่าหรอก เสี่ยวอู่เป็นคนจับได้น่ะ” หยุนลี่เต๋อกล่าวขณะส่งไก่ฟ้าที่ล่าได้ให้แม่นางเหลียน

ไก่ฟ้าทั้งห้าตัวอ้วนพีสมบูรณ์ ส่วนกระต่ายในอ้อมกอดของหยุนเชวี่ยก็กระดิกหูไปมาไม่หยุด

“เจ้าจับมันหรือ?” หยุนเชวี่ยมองไปที่เสี่ยวอู่

เสี่ยวอู่กะพริบตาสองสามครั้ง ก่อนที่ดวงตาสีเข้มจะกลอกไปมา

“วันนี้เหนื่อยกันมากแล้ว” แม่นางเหลียนพูดขึ้นขณะยกอ่างน้ำมาให้สามีและลูกชาย “รีบล้างหน้าล้างมือ มากินข้าวเย็นจะได้พักผ่อนแต่หัววัน”

หลังจากมองอย่างพินิจ หยุนลี่เต๋อก็รู้ว่ากระต่ายตัวนี้คือตัวเมีย ซึ่งหยุนเชวี่ยเอาแต่กอดมันไว้ในอ้อมแขนราวกับเด็กทารกหวงของเล่น

“ท่านพ่อจับกระต่ายตัวผู้มาให้ข้าอีกตัวได้ไหมเจ้าคะ? มันจะได้อยู่เป็นคู่กันและออกลูกมาให้เราเยอะ ๆ ”

“แค่ก ๆ” แม่นางเหลียนสำลักโจ๊กที่เพิ่งตักเข้าปาก “เจ้าเด็กคนนี้พูดเรื่องอะไรกัน?”

หยุนเชวี่ยตอบกลับทันควันด้วยท่าทีจริงจัง “ กระต่ายตัวผู้กับตัวเมียอยู่ด้วยกันก็ต้องออกลูกไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ข้าไม่ได้พูดจาไร้สาระเสียหน่อย”

จากนั้นเสียงหัวเราะของทุกคนก็ดังขึ้น

“หลังจากกินข้าวเสร็จ ข้าจะไปหาเชือกมามัดมันเอาไว้ หากรงได้เมื่อไร เราค่อยเอามันใส่ในกรง” หยุนลี่เต๋อกล่าวก่อนกัดแป้งทอด

“เมื่อกระต่ายคู่หนึ่งอยู่ด้วยกัน ภายในสองสามเดือนข้างหน้ามันต้องออกลูกหนึ่งครอก หากครอกหนึ่งมีแปดตัว เราจะมีกระต่ายสิบตัว ซึ่งแบ่งได้ห้าคู่ และกระต่ายห้าคู่นั้นก็ต้องออกลูกออกหลานอีก…” หยุนเชวี่ยพึมพำขณะคำนวณการเพิ่มจำนวนของกระต่าย เพื่อเปิดฟาร์มกระต่ายภายในเวลาหนึ่งปี!

“ท่านพ่อจะไปล่ากระต่ายมาให้ข้าจริง ๆ ใช่ไหมเจ้าคะ?” ดวงตาของหยุนเชวี่ยเปล่งประกายด้วยความหวัง

“ข้าไม่อยากรับปาก แต่จะลองเสี่ยงดู…”

“ถ้าอย่างนั้นท่านพ่อเข้าป่าไปล่ากระต่ายให้ข้าบ่อย ๆ ได้ไหมเจ้าคะ?”

หยุนลี่เต๋อไม่กล่าวคำใด

“บอกให้เสี่ยวอู่ไปกับพ่ออีกสิ บางทีน้องอาจจับกระต่ายตัวผู้มาให้เจ้าอีกตัวก็เป็นได้”

เสี่ยวอู่นิ่งเงียบ…

หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จ เสี่ยวอู่จับชายเสื้อของหยุนเชวี่ยและลากนางไปที่หลังบ้านก่อนชี้ไปที่กระต่าย

“คนที่อยู่ในถ้ำให้มา”

“หืม?”

“เขาให้มันมา” เสี่ยวอู่กล่าวย้ำ

“ชายผู้นั้นหรือ?” หยุนเชวี่ยอึ้งไปชั่วครู่ก่อนคิดออกว่าผู้ใดเป็นคนให้กระต่ายกับเสี่ยวอู่

“เขาจับให้พี่” เสี่ยวอู่รู้สึกว่าชายผู้นั้นกำลังเอาใจพี่รองเพื่อให้นางมีความสุข

หยุนเชวี่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย “เขาจับมันได้อย่างไร?”

เสี่ยวอู่ส่ายศีรษะไปมา

“ช่างเขาแล้วกัน เราไปทำกรงกระต่ายกันเถอะเสี่ยวอู่…”

วันรุ่งขึ้น หยุนเชวี่ยตื่นขึ้นมาป้อนข้าวกระต่ายแต่เช้า จากนั้นเตรียมตัวไปเก็บฟืนกับเสี่ยวอู่บนภูเขาอีกครั้ง

เดิมทีหยุนเชวี่ยคิดว่าชายหนุ่มผู้นั้นคงแข็งแรงดีแล้ว แต่เมื่อเปิดม่านเถาวัลย์ที่ปิดทางเข้าถ้ำออก พวกเขาทั้งสองก็เห็นชายหนุ่มนอนขดตัวบนหญ้าแห้งราวกับคนหมดแรง คิ้วของเขาขมวดกันแน่น และใกล้ ๆ มีขวดน้ำเต้าตกอยู่

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ชายหนุ่มจึงลืมตาขึ้นและหันศีรษะไปมองเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “ชะ เชวี่ยเอ๋อ”

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หยุนเชวี่ยกล่าวถามด้วยความตกใจพร้อมวางตะกร้าลงทันที

“เจ้ามาหาข้าแล้ว” ชายผู้นั้นพยายามใช้มือข้างหนึ่งยันกายกับพื้นเพื่อลุกยืนขึ้น

“อย่าขยับ” หยุนเชวี่ยเดินเข้าไปพยุงชายหนุ่ม และสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อย

“ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่รู้สึกกระหายน้ำนิดหน่อย” เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผากของชายหนุ่ม ผมสีดำขลับคล้ายน้ำหมึกตกลงระต้นคอระหง มุมปากของเขายกยิ้มเล็กน้อยส่งผลให้ใบหน้าของเขามีเสน่ห์อย่างน่าอัศจรรย์

หยุนเชวี่ยวางมือบนหน้าผากของชายหนุ่ม ก่อนพบว่าร่างกายของเขาร้อนราวกับเปลวเพลิง

“เจ้าเป็นไข้” หยุนเชวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล สีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก

อาการไข้หลังจากได้รับบาดเจ็บบ่งบอกถึงอาการอักเสบและแผลติดเชื้อ เนื่องด้วยภาวะทางแพทย์ที่ล้าหลังจึงทำให้อาการติดเชื้อสามารถคร่าชีวิตผู้คนในสมัยโบราณไปมากพอควร

ชายหนุ่มไม่ได้สนใจสิ่งที่หยุนเชวี่ยพูดมากนัก นัยน์ตาสีอ่อนของเขาจ้องมองไปที่หยุนเชวี่ยพร้อมเอ่ยถาม “วันนี้เจ้าเอาอะไรมาให้ข้ากินบ้าง?”

“เจ้าเริ่มเหงื่อออก รู้สึกหนาวสั่น และตัวร้อนตั้งแต่เมื่อไร?” หยุนเชวี่ยถามพร้อมเอื้อมือไปจับเสื้อของชายหนุ่ม

ชายหนุ่มนอนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาของเขาค่อย ๆ เคลื่อนจากใบหน้าชมพูระเรื่อของหยุนเชวี่ยไปยังหน้าอกเปลือยเปล่าของตนที่กำลังถูกหยุนเชวี่ยดูแลพลางครุ่นคิดในใจว่าเด็กสาวช่วยชีวิตตนถึงสองครั้ง วันหนึ่งเขาต้องหาทางตอบแทนนางแน่

“เชวี่ยเอ๋อ ช้า…”

“แผลของเจ้าติดเชื้อ” หยุนเชวี่ยสูดหายใจเข้าลึกพลางมองไหล่ซ้ายที่บวมเป่งของชายหนุ่ม

“ติด… เชื้อหรือ?”

“มันคือแผลที่มีเชื้อโรค ซึ่งหลังจากติดเชื้อ เชื้อโรคจะลามเข้าสู่เส้นเลือด และเจ้าอาจเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่าทันท่วงที…”หยุนเชวี่ยกล่าวขณะหลับตา

ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ไม่แสดงท่าทีหวาดกลัว มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ปรากฏร่องรอยของความเสียใจ

“เชวี่ยเอ๋อ ถ้าข้าตาย…” ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวสั่งเสีย “แม้เป็นผี ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป…”

“จะ… จะบ้าหรือ!” จู่ ๆ ขนหัวของหยุนเชวี่ยก็ลุกชูชัน นางหันไปตำหนิชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เจ้ากำลังแช่งข้าหรือแช่งตัวเอง หา?!”

“ข้าจะได้ปกป้องเจ้าอย่างไรล่ะ…” เมื่อพูดจบ เปลือกตาของชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ปิดลง

“เหลวไหล ข้าต้องการให้เจ้ามาปกป้องหรือ? เก็บแรงไว้และรักษาชีวิตของตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ!”

หยุนเชวี่ยมองออกไปข้างนอกถ้ำพลางฉีกเสื้อคลุมของชายหนุ่มออกและคว้าตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นมา

“เสี่ยวอู่ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนดีหรือไม่?”

“แม้ว่าเมื่อก่อนข้าจะเป็นคนดีหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าเราเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย มันไม่ถูกต้องใช่หรือไม่?”

“โบราณกล่าวไว้ว่าหากจะช่วยชีวิตคน ต้องช่วยให้ถึงที่สุดไม่ใช่หรือ?”

หยุนเชวี่ยพลันคิดว่าตนเองอาจเคยติดหนี้บุญคุณของชายหนุ่มในอดีตชาติ ดังนั้นชาตินี้นางจึงต้องชดใช้หนี้และตอบแทนบุญคุณให้แก่ชายหนุ่ม

เดิมทียังเอาชีวิตตนเองไม่รอด นับประสาอะไรกับชีวิตคนอื่นเล่า… นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!