ตอนที่ 37 อ่อนต่อโลก
ด้านหลังกองฟืน ณ เรือนของตระกูลเหอ
เหอยาโถวอุทานด้วยความตกใจ “อะไรนะ? เจ้าช่วยคนแปลกหน้าเอาไว้หรือ? อีกทั้งยังให้เขาซ่อนตัวอยู่บนภูเขา?”
หยุนเชวี่ยหันมองรอบ ๆ “เบาเสียงหน่อยสิ!”
“เขาเป็นชายหรือหญิงล่ะ?””
“ชาย”
“อายุเท่าไหร่? หน้าตาดีหรือไม่?”
“หล่อเหลาทีเดียว เขาน่าจะอายุพอ ๆ กับเฟิงซิ่วไฉ่”
“แล้วเจ้าคิดว่าเฟิงซิ่วไฉ่หน้าตาดีหรือไม่?”
“ข้าว่าทั้งสองคนหน้าตาดีเหมือนกัน เพียงแค่หล่อเหลาคนละแบบ…” หยุนเชวี่ยคิดหาคำอธิบาย แต่เมื่อรู้ตัวว่าเหอยาโถวชวนคุยนอกเรื่อง นางจึงรีบกลับมาที่หัวข้อสนทนาเดิม “ตอนนี้เขาเป็นไข้ตัวร้อนมากและต้องรีบเข้ารับการรักษาโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นเราคงช่วยชีวิตเขาไม่ทันแน่”
“ไปช่วยเขากัน!” เหอยาโถวกล่าวตอบพร้อมพยักหน้าพลางจับไปที่กระเป๋าเงินของเขา “ข้ามีเงินเหลืออยู่ประมาณหนึ่งร้อยสิบเหรียญ เจ้าคิดว่ามันจะเพียงพอสำหรับค่าหมอหรือไม่?”
“ข้าว่าน่าจะพอแค่ค่ายานะ” หยุนเชวี่ยรู้สึกไม่แน่ใจเช่นกัน “พวกเราลองไปร้านขายยาก่อนเถิด!”
ทั้งสามคนรีบร้อนไปยังร้านขายยาที่ใกล้กับหมู่บ้านไป่ซีที่สุด
“ยารักษาบาดแผลหนึ่งห่อเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยกล่าวขณะหอบหายใจ
“อ้อ แล้วก็เอาแบบที่ดีที่สุดด้วยขอรับ!” เหอยาโถวล้วงกระเป๋าเงินออกมา
ขณะที่เสี่ยวอู่พยักหน้าเห็นด้วย
เจ้าของร้านขายยายืนมองเด็กทั้งสามคนตรงหน้าด้วยความงุนงง ก่อนลูบเคราพร้อมเอ่ยถาม “มีใบสั่งยาหรือไม่?”
เด็กทั้งสามคนเบิกตากว้างพลางส่ายศีรษะ
“ไม่มีใบสั่งยาหรือ? แล้วคนไข้อยู่ไหนล่ะ?”
“ไม่มีอะไรเลยหรือ? ข้าจะจ่ายยาถูกได้อย่างไร? พ่อแม่ของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน? พวกเจ้าไปให้หมอตรวจดูก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่… เข้าใจหรือไม่?”
“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยโบกมือปฏิเสธก่อนเริ่มอธิบายอาการของชายหนุ่มให้เจ้าของร้านขายยาฟัง
“เหตุใดถึงได้รับบาดเจ็บ?” ผู้เฒ่าเจ้าของร้านขายยาเอ่ยถาม
“เขาถูกอันธพาลจากหมู่บ้านข้าง ๆ แทงเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยตอบถึงสาเหตุของอาการบาดเจ็บ
“เท่าที่ฟัง เขาคงเป็นไข้เพราะอากาศร้อนและส่งผลให้แผลติดเชื้อ” ผู้เฒ่ากล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “หากอวัยวะภายในและภายนอกยังไม่เป็นอะไรมากก็ถือว่าโชคดี แต่หากเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดเมื่อไร เกรงว่ามันจะเป็นปัญหาใหญ่พอควร…”
หยุนเชวี่ยพยักหน้าทันควัน “ใช่เจ้าค่ะ แผลของเขาเริ่มอักเสบแล้ว พอจะมียารักษาหรือไม่เจ้าคะ? ข้าขอแบบที่ได้ผลดีที่สุด…”
“นี่เงินขอรับ” เหอยาโถววางกระเป๋าเงินของเขาไว้บนโต๊ะ “ขอยาที่ดีที่สุด หากเงินไม่พอ… ก็จ่ายยาตามจำนวนเงินเลยขอรับ”
“ยาไม่ได้ราคาแพงมากหรอก” เจ้าของร้านขายยานับเงินก่อนเหลือบมองเด็กทั้งสามคนอีกครั้ง นอกจากเด็กที่เป็นเจ้าของเงินแล้ว อีกสองคนที่เหลือน่าจะมาจากครอบครัวยากไร้
“พวกเจ้าเอายาไปสองชุดก่อน มีทั้งยาต้มและยาทาภายนอก หากกินแล้วยังไม่ดีขึ้นให้พาเขาไปหาหมอทันที…”
เจ้าของร้านขายยาอธิบายวิธีใช้ยาต้มและยาทาภายนอกอย่างละเอียดทีละขั้นตอน หยุนเชวี่ยพูดทวนสิ่งที่เจ้าของร้านขายยาอธิบายอีกครั้ง ส่วนเหอยาโถวยืนงงเป็นไก่ตาแตก
“ข้าได้ใช้เงินเก็บที่เจ้าเก็บไว้ใช้ในการแต่งงานหมดแล้ว หากได้เงินมาเมื่อไร ข้าจะจ่ายคืนทันที” หยุนเชวี่ยถือยาสองห่อไว้ในมือพร้อมพูดกับเหอยาโถวด้วยความรู้สึกหมดหนทาง
ความฝันที่จะเป็นเศรษฐียังไม่ทันเป็นจริง ก็ต้องเป็นหนี้กว่าหนึ่งร้อยเหรียญเสียแล้ว ซึ่งเงินจำนวนนี้นับว่าเป็นจำนวนมหาศาลสำหรับหยุนเชวี่ยเลยทีเดียว!
“ท่านแม่ไม่รู้หรอก เพราะเงินนั่นพี่รองเป็นคนให้ข้า” เหอยาโถวโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “และอีกอย่างข้ายังไม่คิดเรื่องแต่งงานตอนนี้หรอก”
“แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเจ้าก็ต้องแต่งงานอยู่ดี”
“ไม่ว่าอีกกี่ปีข้าก็ไม่คิดถึงเรื่องแต่งงาน”
“หรือว่าเจ้าไม่อยากแต่งงาน?” หยุนเชวี่ยพูดหยอกล้อ
ฉับพลันเหอยาโถวก็แสดงท่าทีเขินอายและกล่าวถามหยุนเชวี่ยด้วยคำพูดคลุมเครือว่า “เชวี่ยเอ๋อ การแต่งงานจะถูกจัดขึ้นต่อฝ่ายหญิงถึงวัยอันควรใช่หรือไม่?”
หยุนเชวี่ยงุนงง
เหอยาโถวต้องการจะพูดบางอย่างแต่กลับกลืนคำเหล่านั้นลงไป สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเขินอายและความคาดหวังอะไรบางอย่าง…
“แค่ก ๆ ๆ” หยุนเชวี่ยแสร้งไอเพื่อทำลายบรรยากาศเพราะกลัวว่าจะทำให้เสี่ยวอู่รู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ และฉวยโอกาสเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว
เหอยาโถวลอบถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ คำสารภาพของเขาถูกปัดตกอย่างง่ายดาย แต่ยังดีที่หน้าด้านพอ… สมกับเป็นต้นกล้าเดียวของตระกูลเหอเสียจริง
เวลานี้อากาศเริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เด็กทั้งสามคนจึงรีบวิ่งกลับไปบนภูเขาทันทีที่ออกจากร้านขายยา
เนื่องจากเหอยาโถวไม่ค่อยได้ใช้แรงในการวิ่งหรือเดินบ่อยนัก ดังนั้นเมื่อเดินได้ครึ่งทาง เขาจึงอ้าปากหอบหายใจอย่างหนักหน่วงพลางตะโกนเสียงดัง “ข้าไปต่อไม่ได้แล้ว เหนื่อยเหลือเกิน พวกเจ้าเดินช้าลงหน่อยสิ!”
“เหตุใดเจ้าไม่แข็งแรงเท่าเสี่ยวอู่เล่า?” หยุนเชวี่ยถือห่อยาด้วยมือข้างหนึ่ง เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก ส่วนใบหน้าของนางเริ่มแดงก่ำแล้ว
“ท่านแม่บอกว่าอยากให้มีชีวิตที่สุขสบายน่ะ”
“โอ้ ท่านย่าของข้าก็มักบอกว่าอยากให้หยุนซิ่วเอ๋อมีชีวิตที่สุขสบายเช่นกัน!” หยุนเชวี่ยหัวเราะเยาะ “เจ้าอยากเป็น ‘เศษไม้’ แล้วให้พี่สาวทั้งสี่คนเลี้ยงดูอย่างนั้นหรือ?”
“เศษไม้คืออะไร?”
“เศษไม้คือสิ่งที่ดูเหมือนจะมีประโยชน์ แต่แท้จริงแล้วไม่มีประโยชน์สักนิด เมื่อเรานำเศษไม้มาก่อฟืนทำอาหารมันก็จะมอดไหม้ไปตามกาลเวลา” เมื่อพูดจบหยุนเชวี่ยจึงฉุกคิดได้ว่าสิ่งที่ตนพูดอาจทำลายความภาคภูมิใจของเหอยาโถว นางจึงอธิบายต่อ “ดูอู๋ซิงวั่งเป็นตัวอย่างสิ เขาตามรอยพ่อของตนฝึนการขายหมูและฆ่าหมู และดูลูกของป้าหลิวที่มีความสามารถจนได้เข้าไปทำงานในเมือง นอกจากนี้ยังมีหลี่เอ้อฮวาที่ทำได้ทั้งเพาะปลูกพืชและซ่อมแซมเครื่องมือการเกษตร”
ในหมู่บ้านไป่ซี เด็กชายในวัยเดียวกับเขาต่างทำงานใช้แรงงานกันแล้ว ส่วนหยุนเชวี่ยต้องการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและมีอิสระ แต่ถึงกระนั้นเหอยาโถวไม่ก็ละลายใจที่ต้องเป็น ‘เศษไม้’ อีกทั้งยังนึกอยากรู้ถึงความฝันในอนาคตของหยุนเชวี่ย “เชวี่ยเอ๋อ โตขึ้นเจ้าอยากทำอะไร?”
“ข้า…”
“ขายบ๊วยในเมืองหรือ? แต่ท่านแม่เคยบอกว่าไม่ช้าก็เร็วหญิงสาวจะต้องออกเรือนไปอยู่ที่บ้านของสามี ไม่ว่าสามีพูดอย่างไรเจ้าก็ต้องทำตาม… เช่นนั้นเชวี่ยเอ๋ออยากแต่งงานกับคนแบบไหนหรือ?”
หยุนเชวี่ยขบริมฝีปากด้วยความเบื่อหน่าย “เรื่องนั้นยังเร็วไป!”
“ไม่ต้องอายหรอก บอกข้ามาเถอะ…” เหอยาโถวกล่าวคาดคั้นด้วยรอยยิ้ม เขาชอบเรื่องซุบซิบนินทายิ่งกว่าแม่ค้าในหมู่บ้านเสียอีก
“ใครบอกว่าอาย ข้าไม่ได้คิดต่างหาก และอีกอย่างข้าคงไม่ขายบ๊วยไปตลอดชีวิตหรอก แล้วข้าก็ไม่ใช่คนที่จะแต่งงานกับใครก็ได้…”
หยุนเชวี่ยครุ่นคิดในใจว่าหลังจากวันตรุษจีนนางจะมีอายุครบสิบสามปีบริบูรณ์ ซึ่งตามกฎหมายราชวงศ์เหลียงแล้ว ผู้หญิงจะต้องออกเรือนเมื่ออายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ เมื่อคิดเช่นนั้นนางจึงนึกถึงคู่ของบิดามารดาที่ถูกคลุมถุงชนอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นพ่อของนางก็ยังปฏิบัติต่อแม่นางเหลียนอย่างดี
ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว เมื่อนึกถึงการแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคบพบหน้ากัน และต้องเชื่อฟังคำของเขา อีกทั้งยังต้องปรนนิบัติคนในบ้านทั้งวันทั้งคืน หยุนเชวี่ยก็พลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาภายในใจ
ไม่มีทาง! ชาติที่แล้วข้าตายทั้งที่ยังไม่เคยคบหาใครด้วยซ้ำ! หากต้องถูกคลุมถุงชน ชีวิตใหม่ที่ข้าเพิ่งได้รับคงเปล่าประโยชน์… ไร้สาระสิ้นดี!
“เชวี่ยเอ๋อ… เชวี่ยเอ๋อ คิดอะไรอยู่หรือ?” เมื่อเห็นว่าหยุนเชวี่ยเหม่อลอย เหอยาโถวจึงเขย่าตัวนางเพื่อเรียกสติ
“ข้าต้องการหาเงิน!” หยุนเชวี่ยกล่าวอย่างกล้าหาญขณะเผยสีหน้ามุ่งมั่นพร้อมกำหมัดแน่น
ความร่ำรวยคือตัวกำหนดสถานะทางสังคม เพราะเงินสามารถซื้อทุกอย่างได้ ซึ่งมันคือข้อเท็จจริงไม่ว่ายุคสมัยใดก็ตาม!
“เจ้าจะหาเงินไปเพื่ออะไร?” เหอยาโถวนึกถึงคำของมารดาที่เคยบอกว่าการได้ออกเรือนกับผู้ชายดี ๆ ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง
หยุนเชวี่ยกลอกตาไปมา “แน่นอนว่าเงินสามารถใช้ดื่ม กิน แต่งงานกับชายหน้าตาหล่อเหลาได้ เพื่อที่ในอนาคตจะได้ไม่ต้องนั่งอิจฉาผู้อื่นไปวัน ๆ!”
“แต่งงานกับ… ชายหน้าตาหล่อเหลาหรือ?” ดวงตาของเหอยาโถวเปล่งประกายพลางเลียริมฝีปากล่างและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น… ข้าจะหาเงินกับเจ้าด้วย”
เสี่ยวอู่มองหยุนเชวี่ยสลับกับเหอยาโถวอย่างเงียบ ๆ พลางทำสีหน้างุนงงไม่เข้าใจสิ่งที่ทั้งสองพูดคุยกัน… ดูเหมือนว่าเขายังอ่อนต่อโลกมากนัก…