บทที่ 208 ความลับ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 208 ความลับ (2)

ลู่เซิ่งไม่ใช่ไม่อยากเอาหนังสือกลับไปแล้วค่อยๆ อ่าน แต่ทุกครั้งที่ถือหนังสือ ยังไม่ทันออกนอกประตูใหญ่ เขาก็รู้สึกได้ว่ามีการคุกคามที่อธิบายไม่ถูกอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ เหมือนกับมีอันตรายบางอย่างซึ่งพร้อมถูกกระตุ้นให้เกิดได้ตลอดเวลา จึงได้แต่ยอมแพ้

ออกจากหอหนังสือ เขาพุ่งผ่านสะพานแขวน กลับไปพักผ่อน

ถ้ำบังดวงอาทิตย์ไว้ แทบจำแนกกลางวันกลางคืนไม่ออก ในเวลาส่วนใหญ่นอกจากความมืด ก็เป็นแสงสีแดง อาหารมีข้ารับใช้ที่เงียบขรึมพูดจาน้อยมาส่งถึงประตู ถ้าไม่ใช่เห็ดก็เป็นไถเสี่ยน บางครั้งมีเนื้อสองสามมื้อ เนื้อเป็นประเภทไส้เดือนหรือด้วง

ลู่เซิ่งไม่คิดอะไรมาก เขาไม่ได้มาเที่ยวเล่น แต่มาเพื่อความปลอดภัยที่มากกว่าเดิม และทำความเข้าใจตระกูลขุนนางกับคุณสมบัติของอาวุธเทพศัสตรามารในระยะใกล้

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

เขาใช้ความเร็วสูงสุดอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับอาวุธเทพในหอเก็บหนังสือหยาบๆ รอบหนึ่ง

แต่นอกจากรู้ว่าผู้ถืออาวุธเทพคือระดับอะไร ก็ยังคงไม่ทราบความเป็นมาและต้นกำเนิดของมัน

กลับเป็นวิชาสามหยินที่มีสัญญาณยกระดับอย่างรวดเร็ว การจุดไฟหยินสามกลุ่มความจริงแล้วคือการที่กายเนื้อสร้างกลุ่มก้อนที่เลือดลมรวมตัวและไหลเวียนในระดับสูงสามแห่ง

พื้นที่สามแห่งนี้สามารถสร้างความแข็งแกร่งในระดับสูงสุดขีดได้ในระยะเวลาอันสั้น ผ่านการตรึกตรองและการฝึกฝนดัดกล้ามเนื้อ นี่จึงเรียกว่าวิชาสามหยิน และเป็นพื้นฐานต่ำสุดของวิชาพื้นฐานต่อจากนี้

ลู่เซิ่งใช้เวลาห้าวัน บรรลุระดับเบื้องต้นและการเลื่อนขั้นของวิชาสามหยิน

แต่แค่ในห้าวัน คล้ายว่าโลกภายนอกมีข่าวไม่ดีส่งมา ศิษย์สำนักที่เรียนคาบเช้าด้วยกันหายไปอีกหลายคน

ผู้อาวุโสใหญ่กลับเหมือนมองไม่เห็น ยังคงสอนหลักสำคัญในการฝึกฝนให้แก่ทุกคนโดยไม่ได้สนใจ

หลังจากลู่เซิ่งถูกถามสถานการณ์ และตรวจสอบความคืบหน้า ก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาพื้นฐานวิชาใหม่ วิชาไร้มูลเหตุ

วิชาไร้มูลเหตุยังคงเป็นการตรึกตรองและการฝึกฝนต่อต้านตนเอง แต่มีความยากมากกว่าวิชาสามหยิน เกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในและกล้ามเนื้อมัดน้อยจำนวนมาก

ลู่เซิ่งไม่ได้ทดลองใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยน แต่ยึดตามวิธีการฝึกฝนอย่างเป็นลำดับขั้นตอนและตรงไปตรงมา เขาพบว่าด้วยระดับความแข็งแกร่งของร่างกายและขอบเขตมรรคายุทธ์ในปัจจุบัน ถึงใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยน ก็ใช้วิธีการฝึกฝนขั้นพื้นฐานแบบนี้ได้ไม่ยากนัก

หนำซ้ำวิชาพื้นฐานนี้ก็ไม่อาจฝึกฝนตามลำพัง ไปถึงช่วงท้าย จะต้องอาศัยบึงมารกระตุ้นพลังภายนอก

ถึงอย่างไรก็ไม่ได้รีบ ลู่เซิ่งฝึกฝนตามการบันทึกบนวิชาทีละขั้นๆ

พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนกว่าๆ

ลู่เซิ่งฝึกฝนวิชาพื้นฐานทุกวัน จากนั้นก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านคัมภีร์ คัมภีร์ในหอเก็บหนังสือถูกเขาอ่านจบไปหลายชั้น

ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับอาวุธเทพศัสตรามาร

สืบเนื่องจากเหตุนี้ เขาจึงทราบว่าผู้ถืออาวุธเป็นตัวตนแบบไหนสำหรับขุมกำลังใหญ่ๆ

ที่ตระกูลขุนนางในแต่ละแห่ง แย่งชิงรวบรวมอาวุธเทพมากกว่าเดิม ไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อครอบครองผู้ถืออาวุธที่แข็งแกร่งกว่าเดิมสักคน

ผู้ถืออาวุธมีร่างกายอันแข็งแกร่งที่ไม่อาจจินตนาการออก กายเนื้อของพวกเขาคล้ายกับคุณสมบัติของอาวุธเทพศัสตรามาร พลังอันยิ่งใหญ่ของพวกเขามีแค่ระดับเดียวกันจึงจะมีคุณสมบัติฆ่าฟันกัน

พวกเขาเป็นจุดสูงสุดของพลังแห่งสายเลือด เป็นต้นกำเนิดของตระกูลขุนนาง

พวกเขาควบคุมอาวุธเทพศัสตรามารที่ยิ่งใหญ่สุดเปรียบปานเข้าฟาดฟันต่อสู้กัน อาวุธเทพไม่ดับสูญ พวกเขาก็ไม่ตาย นี่เป็นพลังที่ตัดสินชะตาของประเทศ

‘ตามที่เขียนไว้ในคัมภีร์ ชิ้นสมบูรณ์ของอาวุธเทพทุกชิ้นมีขนาดอย่างน้อยหลายสิบหมี่ อาวุธขนาดยักษ์แบบนี้ ถ้าไม่ใช่ผู้ถืออาวุธ คนทั่วไปไม่อาจควบคุมได้’ ลู่เซิ่งพลิกคัมภีร์ในมือ อ่านเนื้อหาต่อไป

‘อาวุธเทพปลอมหรือ’ ทันใดนั้นเขางงงัน จ้องมองคำคำหนึ่งที่โผล่มาอย่างกะทันหันในคัมภีร์อย่างตั้งใจ

‘ตระกูลขุนนางครอบครองอาวุธเทพ แต่สุดท้ายก็มีเวลาพังทลาย พวกลูกหลานตระกูลขุนนางหลังอาวุธเทพแหลกสลายไม่ยอมตกต่ำ ก่อตั้งสำนักหลากหลายขึ้นเอง หมายสร้างอาวุธเทพ รักษาพลังของตนต่อ นี่เป็นแหล่งที่มาที่แย่ที่สุดของสำนัก อาวุธเทพที่พวกเขาสร้างขึ้นมาจะถูกเรียกว่าอาวุธเทพปลอม อานุภาพสู้หนึ่งในร้อยส่วนของอาวุธเทพที่แท้จริงไม่ได้’

ลู่เซิ่งยิ่งอ่าน ยิ่งรู้สึกพิกล

‘นี่…ทำไมถึงได้คล้ายๆ กับหุ่นยนต์…อาวุธเทพศัสตรามารเป็นหุ่นยนต์ ผู้ขับคือผู้ถืออาวุธ หุ่นยนต์กับพลังของคนอยู่คนละระดับโดยสิ้นเชิง ต่อให้คนฝึกฝนจนแข็งแกร่งกว่านี้จนกลายเป็นยอดฝีมือด้านการต่อสู้ระดับสูงสุด เจอหุ่นยนต์หนักร้อยตันพันตันต่อยใส่ ก็ป้องกันไม่ได้’

เขาวางคัมภีร์ในมือลง

“งั้นอาวุธเทพปลอมในนี้มันคืออะไร”

“ศิษย์น้องเจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย! อาวุธเทพปลอมอะไรหรือ” เหอเซียงจื่อเดินเข้ามาจากนอกประตู คล้ายว่ามีธุระกับเขา

“ศิษย์พี่เหอเซียงหรือ ท่านเหตุใดมาแล้ว” ลู่เซิ่งลุกขึ้น

“อาจารย์ต้องการให้ข้าพาเจ้าไปบึงมาร เจ้ากำลังศึกษาอาวุธเทพปลอมอะไรหรือ พวกเราเรียกมันว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ สำนักของพวกเราเองก็มีชิ้นส่วนอยู่บ้าง แต่อันตรายมาก ทางที่ดีที่สุดอย่าไปแตะต้อง” เหอเซียงจื่อคุยกับลู่เซิ่งบ่อยๆ จึงคุ้นเคยกันบ้างแล้ว เวลาสนทนามีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น

“เพียงแค่สงสัยเท่านั้น” ลู่เซิ่งหัวเราะ “ศิษย์พี่ท่านเองก็ทราบว่าข้ามาจากแดนเหนือ ไม่ใช่คนในจงหยวน มีประสบการณ์ไม่มาก ดังนั้นจึงสนใจไปเสียทุกสิ่ง”

“พูดถึงเรื่องนี้ น่าเสียดายพวกเราไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกเล่นงานจนตกต่ำถึงขั้นนี้” เหอเซียงจื่อถอนใจกล่าวด้วยความเสียดายเล็กน้อย

“พวกเราเคยมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันหรือ” ลู่เซิ่งฉงน

“แน่นอนอยู่แล้ว สำนักเกือบทั้งหมดในร้อยเส้นสายล้วนมี” เหอเซียงจื่ออธิบาย “ว่ากันว่าสมัยก่อนพวกเรามีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่ง ต่อมาประสบภัยพิบัติครั้งหนึ่ง อาวุธศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลาย บาดเจ็บล้มตายมากมาย อาวุธเทพสลาย เหลือแค่ชิ้นส่วนส่งต่อมาเท่านั้น”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้” ลู่เซิ่งพยักหน้า “นี่ไม่ใช่ว่าสำนักของพวกเราเป็นสำนักที่ฐานอ่อนแอที่สุดในร้อยเส้นสายหรอกหรือ”

“หา??!…” เหอเซียงจื่อลืมตาโต พบว่าพลั้งปาก รีบเอามือปิดปาก “ความจริง…มันไม่ได้สำคัญนัก พวกเรายังมีผู้อาวุโสใหญ่…วิชาลับมารกำเนิดที่เขาถ่ายทอดเป็นเสาค้ำสำคัญที่ใช้ค้ำยันสำนัก…” นางอธิบายอย่างติดๆ ขัดๆ หมายจะแก้ไขสถานการณ์

ความจริงแม้แต่นางยังไม่เชื่อคำพูดของตัวเอง น้ำเสียงล่องลอยเบาหวิว

ลู่เซิ่งหมดคำพูด

ตอนนี้เขารู้แล้วว่า ปัจจุบันสำนักมารกำเนิดมีสถานการณ์แบบไหน

อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ค้ำยันสำนักหายไป ผู้อาวุโสใหญ่ประคับประคองเพียงคนเดียวมานานขนาดนี้ ได้ทุ่มเทสุดความสามารถแล้ว กระนั้นตอนนี้ลูกศิษย์ยังคงหนีหาย สำนักยังคงตกต่ำ

พลังของมนุษย์จะต้านทานอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ต่อให้เป็นอาวุธเทพปลอม ก็คงเหนือกว่าระดับอสรพิษมากอยู่ดี ถึงอย่างไรระดับอสรพิษก็มีแค่คุณสมบัติแตะต้องอาวุธเทพ

ตามสิ่งที่เขียนไว้บนคัมภีร์ ต่อให้เป็นสามขั้นบนของระดับอสรพิษ เมื่อควบคุมอาวุธเทพ ก็เหมือนใช้พลังของคนงัดหินก้อนใหญ่ หากไม่ระวังจะถูกบดร่างทุบกระดูก ถูกแพร่เชื้อให้กลายเป็นพวกเดียวกัน

“ไปกันเถอะศิษย์พี่ ท่านไม่ใช่มาสอนข้าว่าจะหาบึงมารได้อย่างไรหรอกหรือ” ลู่เซิ่งเตือน

“อ้อ จริงด้วย! ใช่แล้ว!” เหอเซียงจื่อรู้สึกตัว

ทั้งสองออกจากหอเก็บหนังสือ ไม่ได้ข้ามสะพาน หากไปยังส่วนลึกอันมืดมิดด้านซ้ายมืออย่างรวดเร็ว

หลังจากเดินไปหลายพันหมี่ ผนังถ้ำทั้งสองข้างก็ค่อยๆ ปรากฏถ้ำมากมายที่มีขนาดไม่เท่ากัน

ด้านนอกประตูของถ้ำเหล่านี้มีกระถางทองแดงวางอยู่ ในกระถางจุดธูป ควันลอยอ้อยอิ่ง กลับไม่ได้กลิ่นอะไรเลย

“บึงมารส่วนใหญ่รวมตัวกันที่นี่ นอกกระถางทองแดงสลักตัวอักษรและลวดลาย จำไว้ว่ายิ่งปักธูปมากเท่าไหร่ ความเข้มข้นของบึงมารในถ้ำก็ยิ่งมากเท่านั้น ตอนนี้เจ้าได้แต่ใช้ธูปตั้งแต่สามดอกลงไป ระวังตัวด้วย หลังเข้าไปทนได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น อย่าเข้าบึงมารที่ไม่ได้จุดธูป ถ้ามันไม่ได้ว่างอยู่ ความเข้มข้นด้านในก็เหนือจินตนาการแล้ว ทำสัญลักษณ์ไม่ได้” เหอเซียงจื่อทางหนึ่งเดิน ทางหนึ่งแนะนำลู่เซิ่งอย่างละเอียด

“นอกจากนี้ บึงมารเหล่านี้กระจายตามที่ต่างๆ ที่นี่เพียงแค่กระจุกกันมากหน่อยเท่านั้น บางครั้งเจ้าจะเจอบึงมารในสถานที่อื่นๆ ไม่ต้องแตกตื่นตกใจ”

“เข้าใจแล้ว”

“ห้ามหมดสติอยู่ด้านใน จงจำไว้” สุดท้ายเหอเซียงจื่อย้ำอีกประโยค “ข้ายังมีธุระ ต้องไปก่อน ถ้ามีเรื่องอะไรให้มาหาข้าที่ถ้ำชั้นสองแถวที่สาม”

เหอเซียงจื่อมาเร็วและไปเร็ว

ทิ้งลู่เซิ่งไว้ที่นี่คนเดียว รอบๆ เป็นถ้ำที่มีควันล่องลอย

‘อาวุธศักดิ์สิทธิ์…’ ความคิดของเขายังจมจ่อมอยู่ในเนื้อหาก่อนหน้า ‘สำนักมารกำเนิดที่ไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ สำหรับร้อยเส้นสายอย่างมากสุดก็เป็นโรงฝึกวรยุทธ์เล็กๆ มีหรือไม่มีก็ได้ มิน่าต่อให้ถูกสะกดก็ไม่มีใครช่วยออกหน้าให้ มีแค่ผู้อาวุโสใหญ่ค้ำยันคนเดียว ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย ส่วนวิชาพื้นฐานนี้…’ ฝึกมาตั้งนาน ลู่เซิ่งรู้สึกว่ายังร้ายกาจไม่เท่าวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานของตัวเอง แต่เพื่อปิดบังสถานะ จึงต้องฝึกฝนต่อไป

‘สำหรับผู้ถืออาวุธแล้ว ลูกหลานทั่วไปของตระกูลขุนนางเหมือนคนธรรมดากับระดับพันธนาการ ความแตกต่างอันมหาศาลของคุณสมบัติทำให้พวกเขาสู้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง นี่เดิมทีก็ไม่ใช่ระดับเดียวกันอยู่แล้ว’

‘แต่ว่า…’

ลู่เซิ่งพลันนึกถึงปัญหาข้อหนึ่ง

‘ต่อให้อาวุธศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่ง ก็ยังอ่อนแอจนน่าเวทนาเมื่อเทียบกับอาวุธเทพศัสตรามารของจริง นี่คือความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา ถ้าอย่างนั้นร้อยเส้นสายใช้อะไรต่อสู้กับเก้าตระกูลจงหยวน’

‘หรือว่าในร้อยเส้นสายจะมีขุมกำลังของตระกูลขุนนางเข้าร่วมด้วย…’

เขาเข้าใจแล้ว

เดินเอื่อยๆ ไปยังด้านหน้าถ้ำถ้ำหนึ่ง ลู่เซิ่งตรวจสอบกระถางทองแดงด้านหน้าอย่างละเอียด

ผิวด้านนอกของกระถางสลักตัวหนังสือว่า

‘สาม’

ในกระถางปักธูปไว้สามดอก ยังมีควันหลายสายลอยออกมา

ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่าธูปไหม้ช้ามาก คล้ายใช้วัสดุพิเศษบางอย่าง เขายืนมองอยู่หน้าถ้ำ ด้านในมืดสนิท ไม่มีสิ่งใด

‘เปลี่ยนที่’

เดินไปอีกด้านหนึ่ง เขาค้นหาถ้ำต่อ ครั้งนี้เจอถ้ำที่มีธูปสองดอกปักอยู่ อย่างง่ายดาย

ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมองเงาดำที่พลิกม้วนอยู่ด้านในถ้ำ ผนึกรวมวิชาไร้มูลเหตุ กล้ามเนื้อมัดเล็กรวมตัวกันเหมือนเหล็ก เลือดลมโคจรด้วยความเร็วสูง ก้าวฉับๆ เข้าไปด้านใน

ซู่…

ชั่วขณะนั้น เหมือนกับเดินเข้าหาน้ำเดือด ความเจ็บปวดร้อนลวกเสียดแทงกระดูกซัดมาจากทั่วทั้งร่าง

ลู่เซิ่งเดินเข้าไปในถ้ำได้ไม่กี่ก้าว ก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ขยับเขยื้อน

ควันสีดำสายใหญ่มากมายลอยวนรอบตัวเขา ควันดำเหล่านี้เหมือนกับมีชีวิต มุดเข้ารูขุมขนและเจ็ดทวารของเขาอย่างบ้าคลั่ง

‘นี่คือ…!!?’ ความเจ็บปวดกระจายไปถึงอวัยวะภายในอย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังลุกไหม้ ด้านในและด้านนอกถูกแผดเผาอย่างรุนแรง

เลือดเนื้อของเขากำลังถูกกัดกร่อน กล้ามเนื้อและอวัยวะภายในหลอมละลายอย่างช้าๆ ภายใต้การกัดกร่อนจากควันสีดำ

‘สิ่งที่ลูกศิษย์ที่สายเลือดอ่อนแอเหล่านั้นเจอคือการฝึกฝนแบบนี้เหรอเนี่ย’

ลู่เซิ่งเกิดความคลางแคลงใจ ความเจ็บปวดพลิกตัวอย่างต่อเนื่อง แต่เขายังคงครองสติไว้ได้

‘ไม่…ไม่น่าจะใช่ น่าจะเพราะเข้ากันไม่ได้ นี่เป็นหมอกพิษร้ายแรงที่สายเลือดตระกูลขุนนางเข้ากันได้มากกว่า สายเลือดของพวกเขาสร้างพลังของเยื่อดำอยู่แล้ว พลังของเยื่อดำกับหมอกดำนี้สมควรมีความเข้ากันได้ค่อนข้างสูง ดังนั้นการกระตุ้นที่พวกเขาเจอจึงไม่รุนแรงเท่าเรา!’

ฟู่ว…

ด้วยความจนปัญญา ลู่เซิ่งได้แต่รีบโคจรปราณหยินหยางขวดสมบัติ เริ่มฟื้นฟูกายเนื้อที่ถูกกัดกร่อนอย่างบ้าคลั่ง

……………………………………….