บทที่ 209 ความลับ (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 209 ความลับ (3)

ในถ้ำบึงมารอีกแห่งหนึ่ง

เฟยหวงจื่อนั่งอยู่ในถ้ำระดับหกก้านธูป ถ้ำแคบเล็กบรรจุได้แค่คนเดียวพอดี เขาหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่

ควันดำที่เหมือนวัตถุจับต้องได้ละลายเข้าไปกลางหว่างคิ้วของเขาอย่าคลุ้มคลั่ง

ควันพิษนี้มีพิษรุนแรงถึงขีดสุด ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับมากกว่าจตุลักษณ์เช่นเขา ก็ไม่กล้าผลีผลามเพิ่มการดูดซับ จำเป็นต้องควบคุมความเร็วในการไหลเข้า

ควันดำกว้างขวางเหมือนวังวน ละลายเข้าสู่ผิวขนาดเท่าเล็บมือกลางหว่างคิ้วของเฟยหวงจื่อด้วยความเร็วสูง

‘สำนักผีนี่ไม่มีอะไรให้สักอย่าง ประโยชน์มีอยู่แค่นี้ เมื่อฝึกฝนวิชาลับประสานกับบึงมาร ก็มีความเร็วในการยกระดับสูงกว่าสำนักอื่นๆ ไม่น้อย’

เขาถอนใจ ‘ถึงแม้หลังจากฝึกแล้วอานุภาพจะอ่อนแอมากก็ตาม’

วิชาลับของสำนักมารกำเนิดขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนแอ หากพัฒนาได้ถึงระดับตรีลักษณ์ จะเทียบได้กับระดับทวิลักษณ์ของคนอื่น หากพัฒนาถึงระดับเบญจลักษณ์ ก็เพียงเทียบเท่ากับระดับตรีลักษณ์ของคนอื่น

แต่ข้อดีก็คือฝึกฝนง่าย ไม่ลำบาก พัฒนาได้เร็วมาก หนำซ้ำยังใช้ได้หลากหลาย สายเลือดทุกประเภทล้วนใช้ได้

พอสัมผัสได้ว่าความเข้มข้นในถ้ำไม่เพียงพอ สุดท้ายเขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เฟยหวงจื่อใช้พลังจากมือชักนำปราณ

สองมือของเขาเคลื่อนไหวด้านหน้าทรวงอกดุจสายฟ้าแลบ รอยมือแต่ละรอยเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับดอกไม้มากมายที่เบ่งบานและร่วงโรย

ประสานมุทราติดต่อกันสิบสองครั้งเสร็จ เขาหยีตาตวาดครั้งหนึ่ง

“เจ็ดรอบเก้าชักนำ ปราณมารจงมา”

ฟู่ว! เฟยหวงจื่ออ้าปากพ่นเส้นสีดำสายหนึ่งออกมา เส้นสีดำปรากฏขึ้นแวบเดียวแล้วหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นเขาหลับตา เริ่มรอคอย

“หือ?”

รออยู่นานสองนาน ปราณมารยังเป็นแบบเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ระดับความเข้มข้นของปราณมารในบึงมารยังคงไร้การเปลี่ยนแปลง

“เจ็ดรอบเก้าชักนำ ปราณมารจงมา!!” เขาใช้พลังจากมือชักนำปราณอีกครั้ง พ่นเส้นสีดำออกมาอีกรอบ

ยังคงไร้การตอบสนอง ถึงขั้นที่ปราณมารในบึงมารเริ่มหายไปแทน

‘เป็นไปไม่ได้กระมัง’ เฟยหวงจื่อลืมตา ‘ธารหมอกพิษยังไม่ถึงช่วงน้ำลดเลย’ แต่ว่าปราณมารตรงหน้ายังคงถดถอยไปอย่างช้าๆ ถึงขั้นลดลงมากกว่าก่อนหน้านี้อย่างรุนแรงกว่าเดิม

‘ข้าไม่เชื่อ!’ เขาตัดสินใจเด็ดขาด ขอแค่ไม่ใช่ช่วงน้ำลด ด้วยวิชาลับของเขา ไม่เชื่อว่าแม้แต่ปราณมารอันน้อยนิดก็ชักนำมาไม่ได้!

‘ปราณมารจงมา!’

‘ปราณมารจงมา!!’

‘ปราณมารจงมา!!!’

‘แย่ล่ะ! ทำไมเยอะแบบนี้!’

ลู่เซิ่งอ้าปากตาค้างขณะมองหมอกพิษสีดำสนิทที่หนาจนเหมือนวัตถุจับต้องได้ในถ้ำของตัวเอง ควันพิษจำนวนมากแย่งกันพุ่งเข้ามาหาตนจากรอบๆ ผนังถ้ำ แทบจะกลายเป็นของเหลว เหมือนเป็นหนอนและสัตว์ป่าที่หิวโซฝูงใหญ่

ควันดำในตอนนี้เข้มข้นกว่าตอนเพิ่งเข้ามาไม่ต่ำกว่าสิบเท่า!

ควันพิษจำนวนมากละลายเข้าไปในผิวหนังของเขาอย่างบ้าคลั่ง มุดเข้าเจ็ดทวารอย่างรุนแรง เจ็บปวดชนชาดิก การส่งกระแสประสาทถึงขีดจำกัดของกายเนื้อ ตอนที่สัญญาณความรู้สึกเจ็บปวดยึดครองช่องทางความรู้สึกทั้งหมดโดยสมบูรณ์ ความเจ็บปวดก็ไปถึงจุดสูงสุด

ดีที่ลู่เซิ่งผ่านการต่อสู้ฆ่าฟันมาหลายครั้ง ตอนฝึกฝนวรยุทธ์ บางครั้งยกระดับมากเกินไป ก็จะเกิดความเจ็บปวดสุดขีดแบบนี้ จึงยังพอทนได้

เขายืนตัวตรงในถ้ำ หมอกหนาขนาดใหญ่หลายสายรอบๆ ตัวเหมือนกับของเหลวเหนียวหนืดหลายกลุ่ม ไหลเข้าสู่ร่างเขาด้วยความเร็วสูง

ปราณหยินหยางขวดสมบัติโคจรรักษาร่างกายอย่างคลุ้มคลั่ง ป้องกันการกัดกร่อนโดยหมอกพิษที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง วิชาไร้มูลเหตุถูกกระตุ้นจนแข็งแกร่งขึ้นภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้

วิชาไร้มูลเหตุทั้งหมดเก้าระดับเป็นวิชาลับพื้นฐานที่เสถียรที่สุดในหมู่วิชาพื้นฐาน

ตอนนี้ไม่ได้ใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยน ระดับของลู่เซิ่งเพิ่งเข้าสู่ขั้นเบื้องต้น ดูดซับหมอกพิษอย่างรวดเร็วพลางมุ่งสู่ระดับที่สอง

เวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เทียบเท่ากับศิษย์คนอื่นๆ ฝึกฝนหลายเดือน หรือทั้งปี

หมอกพิษที่เขาดูดซับมีความเข้มข้นมากเกินไป หนำซ้ำสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ วิธีการดูดซับของลู่เซิ่งแตกต่างกับศิษย์คนอื่นๆ เล็กน้อย…

“แย่แล้ว! ลืมบอกศิษย์น้องลู่ว่าให้ใช้แค่หว่างคิ้วดูดซับปราณมาร!” เหอเซียงจื่อรีบวิ่งกลับมา กวาดตามองไปรอบๆ นางงุนงงเพราะไม่เห็นว่าลู่เซิ่งไปอยู่ไหน

รอบๆ เป็นถ้ำบึงมารที่แน่นขนัดไปหมด

“อ้าว คนเล่า” นางวนดูหน้าหลังสองสามรอบ มีถ้ำบึงมารมากเหลือเกิน จึงหาไม่พบ

‘อาจจะกลับไปแล้ว ช่างเถอะ ครั้งหน้าบอกเขาก็ได้ ถึงอย่างไรระดับของเขาในตอนนี้ก็ชักนำปราณมารไม่ได้เท่าไหร่ สมควรไม่ใช่เรื่องใหญ่…’

เหอเซียงจื่อหาอยู่หลายรอบแต่ไม่เจอ จึงยอมแพ้ ผละจากไป

ปราณมารอันมหาศาลไหลเข้าไปในตัวลู่เซิ่งเหมือนกับน้ำพุ

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งลู่เซิ่งเริ่มรู้สึกว่าร่างกายทนไม่ไหวบ้างแล้ว ทั้งยังสิ้นเปลืองปราณหยินหยางขวดสมบัติไปมาก จึงค่อยๆ ล่าถอยออกมา ผละออกจากบึงมาร

ฟิ้ว!

พุ่งออกจากถ้ำ ลู่เซิ่งอ้อมกระถางทองแดง ทั่วทั้งตัวเปียกชุ่ม แต่พอตรวจสอบความก้าวหน้าของวิชาไร้มูลเหตุอย่างละเอียด ก็พบว่าระดับที่หนึ่งสมบูรณ์แล้ว

‘ใช้ได้ๆ!’ ลู่เซิ่งค่อนข้างพอใจ ‘ถ้าทุกครั้งเป็นแบบนี้ อีกไม่นานวิชาไร้มูลเหตุก็จะบรรลุเอง ไม่รู้ว่าคนที่ไม่มีเยื่อดำอย่างเราจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบไหนหลังบรรลุวิชาไร้มูลเหตุ’

เขายกแขนขึ้นมาดู ผิวหนังบนแขนซีดขาวเล็กน้อย เหมือนแช่น้ำมานาน

‘ใช้ได้แล้ว ต่อจากนี้เป็นขั้นใช้จิตตรึกตรอง พลังภายนอกกระตุ้นมากพอแล้ว รอการฝึกระดับต่อไป บรรลุเงื่อนไขแล้วค่อยมาอีกรอบ’

เขายืดเหยียดตัวอย่างพึงพอใจ หมุนตัวไปยังที่พัก พริบตาเดียวร่างปราดออกไปด้วยความเร็วสูง หายไปในความมืดมิด

หลังจากเขาจากไปไม่นาน ถ้ำบึงมารอีกสองแห่งบริเวณใกล้ๆ กัน ก็มีศิษย์สำนักสองคนเดินออกมา

‘เหตุใดวันนี้บึงมารถึงมีปราณมารน้อยอยู่บ้าง’ คนที่เดินออกมาเป็นคนแรกมีสีหน้าสงสัย

“ใช่ ท่านก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกันหรือ หรือว่าช่วงน้ำลงจะมาก่อนเวลา’ อีกคนหนึ่งกล่าวอย่างขุ่นข้องเล็กน้อย

“ไม่น่าจะใช่ คำนวณตามเวลาแล้ว ช่วงน้ำลงของธารหมอกพิษเพิ่งผ่านมาแค่ครึ่งวันเอง” คนแรกเอ่ย

“แปลกจริงๆ…”

“การฝึกฝนที่เป็นการบ้านในวันนี้ข้ายังทำไม่เสร็จ ตอนนี้ยังไม่มียาให้ใช้อีก เป็นแบบนี้ต่อไปเมื่อไหร่จะได้เรื่อง”

ทั้งสองร่วมทางกันจากไปอย่างจนใจ

ผ่านไปสักพักหนึ่ง บุรุษผมยาวคลุมไหล่คนหนึ่งก็เดินออกมาจากในบึงมาร เขาสวมเสื้อคลุมสีเขียว แขวนน้ำเต้าสีดำใบเล็กใบหนึ่งไว้ที่เอว ตอนนี้มีสีหน้าบูดบึ้งเช่นกัน

‘ตามเหตุผลแล้วบึงมารเหล่านี้เชื่อมถึงกันหมด และยังเชื่อมกับธารหมอกพิษ ต่อให้ที่นี่น้อยลง ก็ชักนำจากถ้ำอื่นมาได้ ไม่น่าจะอ่อนแอลงถึงจะถูก’ เขาก็คือเฟยหวงจื่อที่ชักนำปราณล้มเหลว

ความผิดปกติของธารหมอกพิษทำให้เขาขบคิดไม่เข้าใจ ถึงแม้หมอกพิษชนิดนี้จะมีพิษรุนแรงสุดขีด ปริมาณที่เขาต้องการก็ไม่ได้มากนัก ทุกครั้งหลังใช้หว่างคิ้วดูดซับจนเต็ม จำเป็นต้องใช้เวลาย่อยสลายหลอมเปลี่ยนเป็นครึ่งเดือน

แต่การลดลงอย่างกะทันหันในรอบนี้ ทำให้เขาใช้เวลาฝึกฝนมากกว่าช่วงปกติหลายเท่าตัว

จิตใจสงสัยคลางแคลง เฟยหวงจื่อได้แต่กลับไปอย่างเงียบๆ กลับไปยังต้องทำการบ้านของวันนี้ต่อ ไม่มีทรัพยากรและยาคอยช่วยเหลือ ก็ได้แต่ชดเชยด้วยความพยายามและเวลามากกว่าเดิม

กลับไปกลับมาระหว่างบึงมาร หอเก็บหนังสือ รวมถึงถ้ำที่พัก วิชาไร้มูลเหตุของลู่เซิ่งเลื่อนสู่ระดับที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว

กุญแจสำคัญของวิชาลับวิชานี้อยู่ที่การนึกถึงใบหน้าคนที่เกิดจากการรวมกลุ่มของไฟหยิน

จากพื้นฐานของวิชาสามหยิน ลู่เซิ่งนึกภาพไฟหยินได้ตามต้องการ จากนั้นก็ประกอบไฟหยินนี้เป็นใบหน้าคนตามลำดับขั้นตอนที่แน่นอน ความจริงก็คือนึกถึงใบหน้าของตัวเอง

ขณะที่ดำเนินการฝึกฝนตามขั้นตอนนี้ ก็กระตุ้นให้กล้ามเนื้อของตัวเองต่อต้านกันเองด้วยท่าทางที่เฉพาะเจาะจง

ตามความเห็นของลู่เซิ่ง แทนที่จะบอกว่าวิชานี้เป็นวรยุทธ์ บอกว่าเป็นพิธีกรรมของลัทธินอกรีตจะเหมือนกว่า โดยเฉพาะท่าทางเหล่านั้น ดูแปลกประหลาดยิ่ง

สิ่งที่ปกติมากที่สุดคือการนั่งขัดสมาธิ ของอย่างอื่นแปลกพิลึกขึ้นเรื่อยๆ ไม่พูดถึงว่ามีระดับความยากสูงสุดขีด ยังเหมือนกับพระโพธิสัตว์หรืออรหันต์ในวัด

คงท่าทางเหล่านี้ไว้ระยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยฝึกฝนกล้ามเนื้อมัดน้อยและอวัยวะภายใน จากนั้นก็จะเข้าไปรับการกระตุ้นพลังภายนอกในบึงมารได้

กระนั้นพอพูดถึงบึงมาร ลู่เซิ่งก็ไม่อาจไม่นึกเลื่อมใสลูกศิษย์ในสำนักมารกำเนิด ความเจ็บปวดแบบนั้นเขาเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่อยากจะเจอเป็นครั้งที่สองอีก ศิษย์เหล่านี้ฝึกฝนปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่าได้

เวลาผ่านไปช้าๆ ในลักษณะซ้ำๆ เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆ

เคร้ง!

ผัวะ ผัวะ ผัวะ!

สามเท้าติดต่อกัน ศิษย์ที่เป็นบุรุษในสำนักคนหนึ่งหมุนตัวแล้วถีบเสยใส่อีกรอบ ขาพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วดุจอสรพิษ กระแทกกระบี่ของอีกฝ่ายออก หยุดที่คอของศิษย์สตรีฝั่งตรงข้ามอย่างแม่นยำ

“เจ้าออมมือแล้ว” ศิษย์ที่เป็นบุรุษชักขากลับ มองศิษย์สตรีถือกระบี่ที่หน้าตาบูดบึ้งอยู่ตรงหน้า

“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ” ศิษย์สตรีประสานมือถอยไปหลังจากพ่ายแพ้

บนลานฝึกโล่งกว้าง ผู้อาวุโสใหญ่นำศิษย์หลายคนล้อมอยู่รอบๆ ทุกคนนั่งขัดสมาธิในเบาะกลมบนพื้น

“ใช้วิชาไร้มูลเหตุระดับห้าเป็นพื้นฐาน พลังของเยื่อดำที่ได้มาใกล้เคียงกับระดับเอกะลักษณ์ ประสานกับทักษะวรยุทธ์อันเลิศล้ำและการต่อสู้ระยะประชิด หลินเอ๋อร์ที่ใช้กระบี่สู้ไม่ได้จริงๆ คนต่อไป” ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าไร้อารมณ์ ชี้แนะหลายประโยคอย่างไม่ค่อยใส่ใจ

จากนั้นศิษย์อีกคนก็เดินเข้าลานฝึกตามลำดับ

ลู่เซิ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ เหอเซียงจื่อนั่งอยู่ด้านข้าง ชมการประลองรอบนี้อย่างสงบ

นี่เป็นการทดสอบแสดงวิชาตามปกติในทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งซึ่งผู้อาวุโสใหญ่ใช้ทำความเข้าใจความก้าวหน้าของศิษย์ เพียงแต่ตอนนี้…

หางตาเขากวาดผ่านคนที่อยู่รอบๆ เหลืออีกแปดคน บวกเขาเป็นเก้า ช่วงนี้มีคนหนีไปอีกมากมาย คนในสำนักระส่ำระส่าย ต่อให้เป็นการแสดงวิชาที่สำคัญและเป็นทางการ ทุกคนก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

จากนั้นศิษย์ที่เดินเข้ามาในลานก็ถูกบุรุษบนลานเอาชนะได้อย่างง่ายดาย

“ถึงรอบข้าแล้ว” เฟยหวงจื่อลุกขึ้นช้าๆ มองผู้อาวุโสใหญ่ด้วยใบหน้าเชื่อมั่น

ศิษย์ที่เหลืออยู่ในวันนี้ยิ่งมายิ่งน้อย ขอแค่เขาแสดงผลงานได้ดี ก็จะได้รับความเชื่อใจจากผู้อาวุโสใหญ่ไม่ยาก มีโอกาสที่จะได้รับวิชาลับมารกำเนิดสูงกว่าเดิม

“ในเมื่อเป็นศิษย์พี่เฟยหวงจื่อ ข้าขอยอมแพ้ ยอมรับว่าสู้ไม่ได้” พอเห็นเฟยหวงจื่อลุกขึ้น บุรุษบนลานก็รีบก้มหัวยอมแพ้

ถึงเขาจะเก่งกาจ แต่ยังต่างชั้นกับเฟยหวงจื่อมาก

“ก็ดี” เฟยหวงจื่อกวาดตามองรอบๆ สุดท้ายสายตาหยุดอยู่บนตัวเหอเซียงจื่อ นี่เป็นคนที่มีอันตรายต่อเขาเพียงหนึ่งเดียวในสำนัก

“ท่านอาจารย์ มิสู้ให้เหอเซียงจื่อสู้กับข้าสักรอบหนึ่ง ถึงอย่างไรคนอื่นก็ไม่ใช่คู่มือของข้า” เขาใช้ข้ออ้างกล่าวเสนอ

“ได้” ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า

เหอเซียงจื่อที่อยู่ข้างลู่เซิ่งไม่ปฏิเสธ ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปยังกลางลาน

“เจียวซิน เจ้าผ่านระดับสี่หรือยัง” ผู้อาวุโสใหญ่หันไปถามศิษย์สตรีนางหนึ่ง

“ยังเจ้าค่ะ…”

ลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้างเห็นความผิดหวังแวบขึ้นในดวงตาผู้อาวุโสใหญ่อย่างชัดเจน เจียวซินผู้นี้เป็นคนในสำนักที่คุณสมบัติทางสายเลือดเป็นรองเฟยหวงจื่อ

……………………………………….