เซียวเฟิงกลับเข้ามาออนไลน์อีกครั้ง เขาโผล่ที่เมืองเทียนหลงโดยหวังจะไปเก็บเลเวลจากดันเจี้ยนเมืองร้าง เพราะที่นั่นเขาสามารถสู้กับบอสอันเดดได้ด้วยตัวคนเดียว อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้เตรียมตัวซือเยี่ยจิ๋งก็ติดต่อเข้ามา

“ตาบ้า นายอยู่ไหน?”

“สมรภูมิแนวหน้า มีปัญหาอะไร?”

“รออยู่ที่นั่นแหละ เดี๋ยวฉันไปหา”

ซือเยี่ยจิ๋งวางสายไปอย่างเร่งรีบซึ่งทำให้เซียวเฟิงงุนงงไม่น้อย เขารู้สึกว่าเธอคนนี้ประสาทกว่าที่คิดเยอะในบางเวลา ตั้งแต่ที่จู่ ๆ ก็บุกไปที่บ้านของเขาด้วยความโกรธเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้ว พอมาวันนี้ก็ทำตัวแปลก ๆ อีก

ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะเริ่มเดินสำรวจสมรภูมิแนวหน้าที่ตนอยู่ไปพลาง ๆ

ที่แห่งนี้มีผู้คนมารวมตัวกันมากที่สุดภายในเมืองเทียนหลงรองจากบริเวณใจกลาง

มันกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างจนเป็นที่รู้จักกันดี นอกจากนั้นก็ยังมีทหารประจำเมืองคอยเดินตรวจตราความเรียบร้อยและคอยมอบภารกิจให้ผู้เล่นเรื่อย ๆ ด้วย มันจึงกลายเป็นจุดรับเสบียงและรับภารกิจของผู้เล่นไปโดยปริยาย

สมรภูมิแนวหน้านี้ถือเป็นสถานที่ที่ใกล้และเป็นเส้นทางเดียวที่จะพาไปดันเจี้ยนได้ ผู้เล่นสามารถมารับภารกิจต่าง ๆ ได้ที่นี่แม้แต่ภารกิจเนื้อเรื่องเองก็เช่นกัน เพราะงั้นผู้คนมากมายจึงถูกสถานที่แห่งนี้ดึงดูดให้เข้ามา

อีกทั้งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่พื้นที่โล่งสีเทา จู่ ๆ ก็เกิดการรวมตัวของจิตวิญญาณของอันเดด และบอสอันเดดขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่มันเคยถูกสำรวจนับร้อยนับพันครั้งแล้ว ดังนั้นผู้คนมากมายจึงหวนกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อจะได้เผชิญกับสิ่งใหม่ ๆ ที่ปรากฏขึ้นมา

เซียวเฟิงซ่อนข้อมูลส่วนตัวไว้ตลอดเพื่อกันไม่ให้เหล่าผู้เล่นหันมาสนใจเขา นอกจากนี้ชายหนุ่มยังทำตัวติดดินเพื่อไม่ให้เป็นจุดเด่นในที่สาธารณะ เขาไม่อยากจะต้องทำตัวแบบพวกลิงที่อยู่กันเป็นหมู่หรอก

กัปตันโบลตันเองก็ยังไม่กลับมาจากวิหารแห่งแสงตั้งแต่ที่ถูกเรียกตัวกลับไปจากสมรภูมิแนวหน้าแห่งนี้ครั้งก่อน ซึ่งเซียวเฟิงไม่ได้รู้เรื่องนี้เลยจนกระทั่งได้ไปถามเหล่า NPC ภายในแม็ปนี้ NPC บางคนอยากจะมอบภารกิจให้เซียวเฟิงด้วย หากแต่พวกเขาก็ต้องรีบหุบปากกันไปก่อนเมื่อเห็นตำแหน่งของเซียวเฟิงที่เป็นถึงอาร์คบิชอป ด้วยตำแหน่งนี้จะมีเพียง NPC ระดับสูงเท่านั้นที่มีสิทธิ์มอบภารกิจเนื้อเรื่องให้เขาได้

ในส่วนของเซียวเฟิงเองก็ไม่ได้มีปัญหานักหาก NPC เหล่านี้จะมอบภารกิจให้ไม่ได้ เพราะยังไง ใจเขาตอนนี้ก็ไปอยู่กับอาร์ติแฟคท์เซ็ตมังกรปีศาจที่อยู่ในดันเจี้ยนสุสานใต้ดินหมดแล้ว

ไม่นานนัก ร่างของซือเยี่ยจิ๋งในชุดสีดำก็ปรากฏตัวต่อหน้าชายหนุ่มแบบไร้ร่องรอย เธอมองจนกระทั่งมั่นใจว่ารอบ ๆ ตัวไม่มีใครอยู่ ถึงได้พูดขึ้น “นายมาทำอะไรที่นี่?”

“เธอรู้อะไรไหม ว่าฉันกำลังสงสัยว่าสมองเธออาจจะมีปัญหา ถ้ายังไงฉันพอจะรู้จักโรงพยาบาลดี ๆ อยู่นะ”

เซียวเฟิงตอบเธอกลับไปอย่างไม่เป็นมิตรนัก ขณะเดียวกันก็เตรียมตัวจะออกเดินทางไปยังเมืองร้างต่อด้วย

“อีตาบ้า! สุภาพกับฉันหน่อยไม่ได้หรือไงน่ะ ฮะ?” ซือเยี่ยจิ๋งแทบสำลัก เธอมองไปยังเซียวเฟิงขณะเดินตามเขาไปติด ๆ

“เสียสติไปอีกแล้วหรือไง? คำว่า ‘สุภาพหน่อยนะ’ ควรใช้กับเธอก่อนดีกว่ามั้ง เพราะคนที่จู่ ๆ ก็มาอาละวาดใส่น่ะมันเธอ…ไม่ใช่ฉัน” เซียวเฟิงขมวดคิ้วขณะที่พูด เป็นไปได้เขาคงเลือกที่จะไม่คุยกับเธอด้วยซ้ำหากไม่ใช่ว่าเขาปรองดองกับพวกมิดซัมเมอร์แล้ว

“นาย!” หญิงสาวกำมีดสั้นในมือแน่นพร้อมกับสั่นไปทั้งตัวด้วยความโกรธ แต่ไม่นานนักเธอก็แสดงความเสียใจออกมาขณะที่จ้องมองไปยังเซียวเฟิง ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา “ก็ได้ ฉันผิดเอง ฉันขอโทษ”

“หือ? ฉันหูฝาดหรือเปล่าน่ะ? ทำไมจู่ ๆ ถึงมาขอโทษฉัน?” เซียวเฟิงหันกลับมาด้วยความสงสัย

“ฉะ…ฉันไม่ควรจะอารมณ์เสียใส่นาย ขอโทษ…ลูกพี่ลูกน้องของฉันบอกฉันมาว่านายกับเธอเคลียร์เรื่องนี้กันแล้ว แถมนายยังยกโทเคนกิลด์ให้เป็นของตอบแทนด้วย เพราะงั้นปล่อยอดีตเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วไปเถอะ เพราะยังไงซะนายก็มีส่วนผิดตั้งแต่แรกเหมือนกัน” ซือเยี่ยจิ๋งกระซิบ

“เดี๋ยวนะ เธอหมายถึงอะไร? นี่เธอกำลังจะบอกว่าฉันเป็นคนผิดก่อนงั้นเหรอ?” เซียวเฟิงแสดงออกชัดเจนว่าเขาไม่ยอมรับคำขอโทษจากเธอ

“โอเค ๆ ทั้งหมดเป็นความผิดของพวกเรา พวกเราไม่ควรไปโทษนาย เพราะงั้นช่างมันเถอะ โอเค้? เลิกคิดเล็กคิดน้อยได้แล้ว เป็นผู้ชายซะเปล่า” ซือเยี่ยจิ๋งยอมแพ้

“ค่อยฟังดูดีขึ้นหน่อย” เซียวเฟิงพยักหน้ารับคำขอโทษ จากนั้นเขาก็อัญเชิญเรียกเสี่ยวเสวี่ยขณะที่เดินพ้นจากเขตสมรภูมิแนวหน้ามาแล้ว

“ช้าลงหน่อยสิ พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกันน่ะ?” ซือเยี่ยจิ๋งถามแล้วรีบเรียกม้าของตนเพื่อตามอีกฝ่ายไปติด ๆ

“ดันเจี้ยน วันนี้ฉันยังไม่ได้ใช้โอกาสของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในอีกหลายชั่วโมงข้างหน้ามันจะรีเฟรชใหม่”

“ก็เหมือนฉันนั่นแหละน่า ฉันใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการช่วยกิลด์สร้างฐานที่ตั้งใหม่ไปแล้ว เพราะงั้นฉันจะไปกับนายด้วย…โอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ฉันอยากจะให้ถิงถิงมาด้วย เธอเองก็ยังไม่ได้ลงดันเจี้ยนประจำวันเหมือนกัน” หลังจากที่ตั้งค่าการเดินทางไปที่ดันเจี้ยนแห่งเดียวกับเซียวเฟิงแล้ว ซือเยี่ยจิ๋งก็คิดถึงซูถิงถิงขึ้นมาได้พอดี เพราะงั้นเธอจึงรีบส่งข้อความหาเพื่อนสาวคนนี้ก่อน

“ซูถิงถิงเหรอ? เอาสิ” ในเมื่อมันยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมง เซียวเฟิงก็ไม่ได้อยากจะรีบร้อนอะไร เพราะงั้นเขาจึงหยุดเพื่อรอซือเยี่ยจิ๋งอย่างใจเย็น

“โอ๊ะ จะว่าไป นายรู้จักกับถิงถิงได้ยังไงน่ะ? เธอบอกฉันว่านายเคยเป็นพนักงานในร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ใช่ไหม? ที่อยู่ตรงหน้ามหาวิทยาลัยของพวกเรา”

บุคลิกของซือเยี่ยจิ๋งนั้นชัดเจนเสมอว่าเธอไม่ใช่คนเงียบ ดังนั้นเมื่อมีโอกาส เธอจึงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ

“ก็ใช่ ฉันทำงานอยู่ที่นั่นราว ๆ 2-3 เดือนได้” เซียวเฟิงพยักหน้า

“แล้วนายกับถิงถิงไม่มีปัญหาอะไรกันใช่ไหม?” ซือเยี่ยจิ๋งถามอีกครั้งขณะที่มองไปเรื่อยราวกับไม่ใส่ใจอะไร

“ไม่มี ฉันไม่ได้มีคนรู้จักมากมายอยู่แล้ว จะมีก็แต่เธอคนนั้นเนี่ยแหละ” เซียวเฟิงเองก็ตอบแบบไม่ใส่ใจอะไรเหมือนกัน

ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น ครั้งที่เซียวเฟิงเพิ่งจะหนีจากนรกมาหมาด ๆ พร้อมกับความแค้นที่อยากจะทำลายมิดซัมเมอร์กรุ๊ปเต็มเปี่ยม เขาหางานที่อยู่ใกล้ ๆ กับย่านที่อยู่ได้ซึ่งมันพอเหมาะกับที่เงินเดือนจากที่นั่นจะสามารถเลี้ยงดูเซียวหลิงได้ด้วย และภายใต้ออร่าของซูถิงถิงที่เป็นคนอัธยาศัยดีรวมถึงมองโลกในแง่ดีด้วย มันก็ช่วยทำให้ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเขานั้นหายไปช้า ๆ

“จริงเหรอ?” แววตาของซือเยี่ยจิ๋งเหลือบมองเซียวเฟิงนิดหน่อย แต่แล้วเธอก็เลือกถามต่อขึ้นมาทันที “เอาเถอะ ฉันยังมีเรื่องอื่นที่อยากรู้อีก นายกับลูกพี่ลูกน้องของฉันกลายมาเป็นศัตรูกันได้ยังไง? ข่าวในโลกออนไลน์ลือกันให้แซดว่านายไปริดรอนอิสรภาพมาจากเธอเมื่อตอนอยู่ที่หมู่บ้านเริ่มต้น อันนี้เรื่องจริงหรือเปล่า?”

“ไอ้บ้าตัวไหนบอกเธอมาแบบนั้นเนี่ย?” สีหน้าของเซียวเฟิงดูบูดขึ้นมาทันที ภายในหัวของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มของหานเฟิงขึ้นมาช้า ๆ ด้วย

“แสดงว่ามันไม่จริงใช่หรือเปล่า? ถ้างั้นนายกับเธอแค้นอะไรกัน ถ้ายังไงเผื่อฉันจะหาทางแก้ข่าวให้ได้” ซือเยี่ยจิ๋งดูเหมือนจะโล่งอกขณะพูดออกมาเช่นนั้น

“มันไม่ใช่เรื่องของเธอ แถมข่าวลือก็แค่ข่าวลือด้วย” เซียวเฟิงเลือกที่จะไม่ตอบคำถามและพูดอย่างอื่นแทน ยังไงเสียเขาก็ไม่ได้อยากจะบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับโรสด้วย

“ตอบคำถามฉันมันก็คงไม่ทำให้นายมีปัญหาหรอกมั้ย ในเมื่อนายกับลูกพี่ลูกน้องของฉันก็เคลียร์ปมกันไปแล้ว ให้ตายเถอะ ฉันไม่เคยเห็นชายที่ไม่มีเหตุผลแบบนายมาก่อนเลย!” หญิงสาวเริ่มจะโมโหขึ้นมาเสียแล้ว แต่เหมือนว่าเธอจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เสียก่อน จึงรีบพูดต่อ “สงครามป้องกันฐานที่ตั้งครั้งที่สองของมิดซัมเมอร์กำลังจะเริ่มขึ้นในเที่ยงวันพรุ่งนี้ นายจะมาช่วยพวกเราไหม?”

“ทำไมฉันต้องไป? ฉันไม่ได้ว่างแถมยังไม่ใช่คนในกิลด์เธอด้วย”

“นั่นก็จริง เรื่องนี้อาจจะแย่ลงก็ได้ถ้านายเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย ถึงแม้ว่าสมาชิกกิลด์ทั่ว ๆ ไปจะยังไม่รู้ว่านายทำให้ภารกิจตั้งกิลด์ของพวกเราล่มไปครั้งก่อน แต่พวกผู้บริหารใหญ่โตในกิลด์น่ะต่างก็รู้กันหมด แถมพวกเขายังมองนายเป็นศัตรูอีกด้วย”

หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ ซือเยี่ยจิ๋งก็ยอมแพ้ที่จะชักชวนให้เซียวเฟิงเข้ามาช่วยในภารกิจวันพรุ่งนี้ เพราะกลัวว่าพวกคนใหญ่คนโตของกิลด์อื่นที่เคยเห็นมิดซัมเมอร์ย่อยยับในสงครามป้องกันฐานครั้งแรกจะพากันหัวเราะหากรู้ว่าพวกเธอให้เซียวเฟิงเข้าร่วมสงครามอีกครั้ง

“จิ๋งจิ๋ง ท่านอาจารย์เซียว ฉันมาแล้ว”

ด้วยเกราะชุดหนังเรียบง่าย ซูถิงถิงเดินทางออกจากสมรภูมิแนวหน้าด้วยต้าเฮ่ยของเธอมายังที่นี่ เรือนร่างที่งดงามของหญิงสาวนั้นสะกดทุกสายตาของผู้เล่นหนุ่มที่ได้พบเห็นราวกับร่ายมนต์สะกดเอาไว้บนสัดส่วนเหล่านี้ กระนั้นก็ไม่มีใครสามารถหยุดหญิงสาวไว้ได้เพราะเธอตั้งใจจะมาหาซือเยี่ยจิ๋งและเซียวเฟิงที่ด้านนอกนี้ด้วยความเต็มใจ

“เบาเสียงหน่อย! ฉันไม่อยากความแตกตอนนี้นะ!”

ซือเยี่ยจิ๋งรีบเอ็ดเตือนซูถิงถิงให้เบาเสียงลงเสียก่อน เพราะเธอพยายามปกปิดชื่อจริงของเธอในเกมมาโดยตลอด ทั้งนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเธอเองได้หากตัวตนของเธอถูกเปิดเผยออกไป ขนาดตัวละครที่เล่นยังไม่เหมือนตัวจริงเลย

“โทษที ๆ ฉันลืมไปน่ะ แต่ว่านะ ทำไมคนสวย ๆ อย่างจิ๋งจิ๋งถึงเล่นตัวละครผู้ชายล่ะ? ขนาดไม่เปิดเผยตัวเอง ชื่อของไนท์ คูนเนอร์ยังโด่งดังขนาดนี้ จริง ๆ ฉันว่าถ้าเปิดเผยตัวไป สาว ๆ สวย ๆ อย่างเธอก็ไม่น่ามีปัญหาหรือเปล่า?” ซูถิงถิงเกาหัวขณะพูดด้วยรอยยิ้ม

“จะเปิดเผยหรือไม่เปิดฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันเลย เธอพูดเหมือนว่าถ้ามีคนรู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง คนคนนั้นจะปฏิบัติตัวกับฉันดีขึ้นงั้นแหละ” ซือเยี่ยจิ๋งพูด กระนั้นเธอก็เปรยตาไปมองเซียวเฟิงราวกับจะบอกด้วยว่าหมายถึงใคร

“เอ๋…เธอหมายถึงท่านอาจารย์เซียวเหรอ? เขาน่ะเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่นเลยนะ เพราะเขาไม่ได้แสดงท่าทีเป็นห่วงฉันทั้ง ๆ ที่เป็นคนรู้จักเพียงไม่กี่คน แถมยังไม่แยแสดาวมหาลัยชื่อดังสุดสวยทั้งสองคนด้วย ท่านอาจารย์เซียวไม่ได้เป็นเกย์ใช่ไหม?” คราวนี้ซูถิงถิงถามบ้าง เธอหันไปมองเซียวเฟิงแล้วพบว่าสีหน้าของเขากำลังบูดบึ้งแบบสุด ๆ

“หยอกเล่นน่า หยอกเล่น ฉันแค่พูดเล่นน่ะ จะว่าไปท่านอาจารย์เลเวล 19 แล้วเหรอ? โห ได้โปรด ให้ฉันเข้าร่วมปาร์ตี้ด้วยนะคะ ฉันเพิ่งจะเลเวล 17 เอง” ซูถิงถิงรีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่องเพื่อปลอบใจเซียวเฟิง เธอเข้าไปช่วยนวดขาเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะยืดมือไปได้ นั่นเพราะเซียวเฟิงนั้นยังขี่ม้าอยู่

แม้ว่าเธอกับซือเยี่ยจิ๋งจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่เธอก็ไม่รู้หรอกว่าเซียวเฟิงนั้นเคยทำให้สงครามป้องกันฐานที่ตั้งของกิลด์มิดซัมเมอร์พ่ายแพ้มาก่อน นั่นก็เพราะเธอไม่ได้อยู่ในระดับสูงของกิลด์นี้ด้วย

“เลิกพูดเรื่อยเปื่อยแล้วเริ่มกันได้แล้ว” ไม่พูดมากความ เซียวเฟิงหันหน้าเดินต่อ และซูถิงถิงก็รีบเดินตามหลังเขาไปติด ๆ ทันที เธอกระโดดขึ้นขี่ต้าเฮ่ยดังเดิมพร้อมกับแลบลิ้นน้อย ๆ ให้ซือเยี่ยจิ๋งด้วย

รอบ ๆ เมืองร้างแห่งนี้ มีผู้เล่นที่สวมใส่อุปกรณ์ดี ๆ และขี่สัตว์ขี่ที่ทรงพลังมากมายกำลังเก็บเลเวลกันอยู่ ดูเหมือนว่าพวกเขาเองก็กำลังจะรอให้ดันเจี้ยนรีเฟรชใหม่ตอนเที่ยงคืนเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้ที่ปากทางเข้ามีผู้คนส่วนหนึ่งมายืนรออยู่แล้ว

ดันเจี้ยนเมืองร้างนั้นผ่านง่ายกว่าดันเจี้ยนรังของซาลาแมนเดอร์เป็นอย่างมาก และเพราะงั้นเซียวเฟิง ซือเยี่ยจิ๋ง ซูถิงถิงจึงไม่ได้หาคนอื่นเพิ่มเข้ามาในทีมและเดินเข้าไปในดันเจี้ยนนั้นอย่างไม่เกรงกลัว

“ท่านอาจารย์เสี่ยว ช่วยเพิ่มพลังให้ฉันทีสิ! ฉันอยากจะฆ่าบอสตัวนั้นในพริบตาบ้างอ่ะ!”

ซูถิงถิงตะโกนด้วยความตื่นเต้น เธอรับรู้มาว่าความสามารถในการบัฟของเซียวเฟิงนั้นทรงพลังมาก ๆ และเธอค่อนข้างจะประทับใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ

เซียวเฟิงไม่ได้ร่ายสกิลโจมตีแต่อย่างใด เพราะเขารู้ว่าทั้งสองสาวนั้นมีฝีมือ โดยเฉพาะซือเยี่ยจิ๋งที่สามารถรับมือบอสในดันเจี้ยนนี้ได้อย่างง่ายดายภายใต้การบัฟของเขา

ในเมื่อสกิลอวยพรอาวุธสามารถเพิ่มพลังให้ทั้งสองสาวได้พร้อม ๆ กัน เซียวเฟิงจึงสามารถเล่นเป็นคนคอยรักษาอยู่แนวหลังได้ในครั้งนี้ เขาเพียงแต่ยื่นอยู่ด้านหลังและมองทั้งสองเข้าต่อสู้เท่านั้น

“ว้าว! ท่านอาจารย์เซียว! พลังฮีลแรงสมคำร่ำลือจริง ๆ ! โอ๊ะ ความเสียหายมากกว่า 400 หน่วย ตอนติดคริติคอลเลยเหรอ!? เธอนี่มันน่ากลัวจริง ๆ!”

ตลอดทางที่เดินทางเข้ามา ซูถิงถิงเอาแต่ส่งเสียงดังอยู่ตลอดจนแม้แต่ซือเยี่ยจิ๋งยังต้องหันกลับมามอง

เธอพอจะเข้าใจความรู้สึกของซูถิงถิงได้ เพราะถ้าย้อนกลับไปก่อน ระหว่างที่เธอต่อสู้กับบอส เธอสามารถสร้างความเสียหายได้ครั้งละหลักสิบหน่วย และจะขึ้นหลักร้อยก็ต่อเมื่อติดคริติคอล แต่ตอนนี้ ภายใต้การบัฟพลังโจมตีของเซียวเฟิง เธอสามารถโจมตีทีละ 200 หน่วยใส่บอส และสามารถทำความเสียหายได้ถึง 400 หน่วยเมื่อติดคริติคอล นี่มันต่างกับช่วงเวลาปกติเยอะมาก ๆ และเธอเองก็ชอบความรู้สึกนี้เช่นกัน

นอกจากนี้ด้วยสกิลอวยพรชีวิตที่เซียวเฟิงมอบให้พร้อมกับการที่เขาคอยดูแลเธอตลอดเวลาที่ต่อสู้ มันทำให้เธอสามารถเข้าสู้ได้เรื่อย ๆ ราวกับเป็นพวกนักรบคลั่งก็มิปาน ไม่จำเป็นต้องคอยระวังตัวในฐานะมือลอบสังหารเหมือนตามปกติ มันเป็นอะไรที่ดีมากที่สามารถต่อสู้แบบนี้ได้ “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนมากมายถึงอยากจะเชิญพระเข้าปาร์ตี้!”

หลายต่อหลายครั้งแล้วที่ซือเยี่ยจิ๋งอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเซียวเฟิง แต่เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี เธอกลายเป็นคนที่ติดการช่วยเหลือจากเซียวเฟิงไปแล้ว มันยากมากหากจะกลับไปใช้การต่อสู้แบบที่ต้องระมัดระวังตัวไปด้วยเหมือนแต่ก่อน

อย่างไรก็ตาม ซือเยี่ยจิ๋งก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะขอให้เซียวเฟิงมาเป็นฮิลเลอร์ส่วนตัวให้ตน