บทที่ 205 กินเหล้าจนบรรลุได้ดิบได้ดี ช่างน่าทึ่งเสียจริง

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“อาจารย์อาอู๋ ตื่นได้แล้ว ได้เวลาไปตามหาปู้ฟางกันแล้ว”

เสียงเคาะประตูดังก้องในโรงเตี๊ยม อู๋อวิ๋นไป่ในชุดคลุมสีขาวยืนเอามือไพล่หลังพลางเคาะประตูอยู่

หลังจากที่เสียงขลุกขลักดังขึ้นในห้องอยู่พักใหญ่ อาจารย์อาอู๋ก็เดินออกมาในที่สุด เขาพยักหน้าให้หญิงสาวตรงหน้าพลางยิ้มอย่างขลาดๆ

“แม่นาง ตื่นเช้าเสียจริงขอรับ” เขาเอ่ย

“เช้าบ้าเช้าบออะไรกัน นี่สายตะวันโด่งแล้ว เร็วเข้า ไปตามหาปู้ฟางกัน” อู๋อวิ๋นไป่กลอกตาใส่อาจารย์อาอู๋ จากนั้นก็เดินนำไปยังประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม

ทั้งสองเดินออกจากโรงเตี๊ยมมา พร้อมหรี่ตามองหาเส้นทางที่ถูกต้อง จากนั้นก็เดินไปทางทิศที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางตั้งอยู่ เนื่องจากถามทางกับพนักงานโรงเตี๊ยมมาแล้ว พวกเขาจึงไม่หลงทาง

ทั้งสองเดินไปสักพักก็มาถึงตรอกห่างไกลในที่สุด จากคำของพนักงาน ร้านเล็กๆ ของฟางฟางตั้งอยู่ในตรอกเล็กแห่งนี้

ทั้งสองดูสนใจใคร่รู้เป็นอันมาก เนื่องจากตรอกนี้ไม่ได้เงียบเชียบไร้ผู้คนเหมือนที่คิดไว้ตอนแรก แต่กลับมีคนมากมายอออยู่ข้างในพลางส่งเสียงอึกทึก แถมยังมีคนเดินออกมาอย่างไม่ขาดสาย พร้อมหามร่างเมาแอ๋กลิ่นสุราหึ่งออกมาด้วย

ร่างสองร่างเดินตรงมาจากระยะไกล ร่างหนึ่งเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน พลังปราณที่แผ่ออกมาจากกายแข็งแกร่งน่ากลัวไม่น้อย

ส่วนอีกร่างที่อยู่ข้างๆ กันเป็นชายชราผิวขาวหน้าตาดูแปลกประหลาด เขาเดินบิดลำตัว ทั้งยังจีบนิ้วโป้งและนิ้วกลางเข้าหากัน

คนทั้งคู่ที่เดินตรงมาทำให้อู๋อวิ๋นไป่ขมวดคิ้วทันที สีหน้าของนางเคร่งขรึมขึ้น

นั่นเพราะหญิงสาวสัมผัสได้ว่าชายชราท่าทางสะดีดสะดิ้งข้างชายหนุ่มนั้น… มีพลังปราณแก่กล้าเป็นอันมาก หากวัดกันด้วยระดับพลังที่ปล่อยออกมา ชายผู้นี้มีพลังปราณแข็งแกร่งกว่าอาจารย์อาอู๋ที่อยู่ข้างๆ นางเสียอีก

“เดี๋ยวนี้นครหลวงเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา มีขั้นนักพรตยุทธการ… อยู่ทุกหนทุกแห่งไปหมด” อู๋อวิ๋นไป่พึมพำ จากนั้นก็เลิกสนใจแล้วหันกลับมาลากอาจารย์อาอู๋เข้าตรอกไป

“ท่านลุงเหลียน ท่านรู้จัก… สองคนนั้นหรือไม่” จีเฉิงเสวี่ยปรายตามองหลังของอู๋อวิ๋นไป่ พลางหันไปถามเหลียนฟู่ด้วยเสียงแผ่วเบา

เหลียนฟู่โบกนิ้วที่จีบกันไปมาขณะเอ่ยตอบ “ดูเหมือนว่าพวกนี้จะไม่ได้มาจากจักรวรรดิวายุแผ่วของเรานะพะย่ะค่ะ ข้าเองก็ไม่อาจทราบได้”

“ถ้าเช่นนั้นก็เป็นขั้นนักพรตยุทธการจากที่อื่นสินะ… มาเพื่อชิงต้นตื่นรู้ทางห้าสายเหมือนกันอย่างนั้นหรือ ต้นไม้นั่น… เลอค่าน่าดึงดูดใจถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่” จีเฉิงเสวี่ยพึมพำ

“พระองค์ตรัสถามจริงหรือเล่นพะย่ะค่ะ ต้นตื่นรู้ทางห้าสายนั้นช่วยให้ขั้นนักพรตยุทธการบรรลุเป็นขั้นเทพแห่งสงครามได้ อย่าว่าแต่ขั้นนักพรตยุทธการคนอื่นเลยพะย่ะค่ะ แม้แต่ข้ารับใช้คนนี้ยังตื่นเต้นจนทนไม่ไหวเช่นกัน” เหลียนฟู่สะบัดมือจีบของตนไปมาพลางเอ่ย

จีเฉิงเสวี่ยพยักหน้า การที่ต้นตื่นรู้ทางห้าสายช่วยให้ขั้นนักพรตยุทธการก้าวขึ้นไปเป็นขั้นเทพแห่งสงครามได้นั้น ย่อมแปลว่าต้นไม้ที่ว่านี้ทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง ทว่าตอนที่มันยังเป็นเพียงเมล็ดนอนกองอยู่ในวังหลวง พวกเขาได้ลองทุกวิถีทางเพื่อให้ต้นไม้นี้แตกหน่อแต่ก็ไม่เป็นผล เหตุใดจึงมาผลิดอกและกำลังจะออกผลเมื่อไปตกอยู่ในมือเถ้าแก่ปู้กันเล่า

คำอธิบายหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ เถ้าแก่ปู้มีดินชนิดพิเศษที่ทำให้เมล็ดล้ำค่านี้เจริญงอกงามขึ้นมาได้

หรือไม่ต้นตื่นรู้ทางห้าสายก็ถูกโชคชะตากำหนดมาให้ไม่ได้เป็นของวังหลวง

“ไปกันเถิด ไปชมสุราชนิดใหม่ของเถ้าแก่ปู้กัน ข้า… ตื่นเต้นมากจนทนไม่ไหวแล้ว” จีเฉิงเสวี่ยหัวเราะพลางก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า

  …

สุราสีฟ้าอมเขียวไหลผ่านริมฝีปากสีแดงเรื่อและฟันที่ขาวราวอัญมณีเข้าไปในปากของหนี่หยัน

ความรู้สึกเหมือนเปลวเพลิงที่กำลังแผดเผาแผลงฤทธิ์อยู่ในปากนาง ทำให้ใบหน้าขาวผ่องเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ นางเลียริมฝีปากด้วยลิ้นบอบบางพลางผ่อนลมหายใจออกมา สุราไหลลงลำคอ แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นจับขั้วหัวใจที่ทำให้ร่างทั้งร่างเหมือนปะทะเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง… จังหวะที่ฤทธิ์สุราเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็นนั้นทำให้นางหน้าแดงก่ำจนอดส่งเสียงออกมาอย่างพึงพอใจไม่ได้

พอระเบิดลูกที่สามปะทุขึ้นในท้อง มันก็ส่งความรู้สึกที่ทำให้หนี่หยันต้องเงยหน้าขึ้น ผมของนางปล่อยสยาย ฟันกดลงบนริมฝีปาก ดวงตาพร่าเลือนด้วยความง่วงงุน

“สุราชั้นเลิศ!”

หนี่หยันจิบสุราอีกครั้ง คราวนี้ฤทธิ์ของมันพุ่งตรงไปที่ศีรษะทันที ทำให้นางรู้สึกปวดหน่วงๆ สองหูได้ยินเสียงกระซิบของทำนองแห่งการตื่นรู้

ทำนองแห่งการตื่นรู้เช่นนั้นรึ สภาวะจิตของหนี่หยันพลันกลับมาแจ่มชัดแน่วแน่ด้วยอำนาจแห่งการตื่นรู้

พอได้จิบสุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งหยดสุดท้ายจากจอกกระเบื้องสีฟ้าขาว หนี่หยันก็รู้สึกสบายกายเป็นอย่างมาก แต่ร่างก็ชาๆ ไปในเวลาเดียวกัน

ยี่จือหลิงที่ยืนอยู่ข้างหลังสำรวจอาการพี่หญิงของตนอย่างระมัดระวัง นางพุ่งเข้าไปกอดแขนหนี่หยันไว้พลางถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “พี่หนี่หยัน… เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”

“ลมหายใจมังกรปิดผนึกไว้ที่ชั้นใต้สุดของภูเขาน้ำแข็ง จัดเป็นสุราที่ทำให้ทั้งโลกต้องตื่นตะลึงเมื่อสกัดออกมาได้สำเร็จ… ฮ่าๆๆ! ตาแก่ขี้เมาเอ๋ย ท่านช่างย่ามใจเหลือเกินว่าสุราของตนเองเยี่ยมยอด แต่สุราของเถ้าแก่ปู้นี้… ยอดเยี่ยมเสียยิ่งกว่าลมหายใจมังกรของท่านเสียอีก! เหนือชั้นกว่า… ลมหายใจมังกรอย่างแน่นอน!”

หนี่หยันที่หน้าแดงก่ำหัวเราะร่วนออกมาพลางโบกมือขาวเรียวยาวไปในอากาศ

ยี่จือหลิงรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆ นางไม่รู้ว่าหนี่หยันกำลังพูดอะไรอยู่… ภาพพี่หญิงของตนที่กำลังเมามายดูหมดสิ้นซึ่งความเป็นนางฟ้านางสวรรค์แสนงาม เอ่อ แต่จะว่าไปแล้ว นางก็ไม่เคยตั้งใจรักษาภาพลักษณ์อะไรแต่แรกอยู่แล้ว

ยี่จือหลิงฟังคำของหนี่หยันแล้วได้แต่งุนงง แต่ปู้ฟางกลับรู้เรื่องทั้งหมด เขาได้ยินหนี่หยันประเมินสุราทั้งสองชนิดเทียบกันด้วยความเมามาย จากคำพูดของนาง สุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน

“ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่ทำภารกิจฉุกเฉินสำเร็จ สุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งที่ท่านทำขึ้นมาด้วยตนเองเอาชนะ ‘ลมหายใจมังกร’ ได้ ระบบจะมอบรางวัลให้เดี๋ยวนี้…”

เสียงขรึมดังขึ้นในศีรษะของปู้ฟาง สุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งของเขาเอาชนะลมหายใจมังกรได้จริงๆ เสียด้วย ซึ่งแปลว่าเขาทำภารกิจนี้สำเร็จแล้ว

ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมา รู้สึกเหมือนตนเองได้ยกภูเขาออกจากอก การทำภารกิจนี้สำเร็จทำให้เขาพอใจเป็นอย่างมาก

ยี่จือหลิงประคองหนี่หยันเอาไว้ แต่จู่ๆ สาวงามที่กำลังเมาในอ้อมแขนนางก็ตัวสั่นเทิ้มพลันลืมตาโพลงขึ้นมา ดวงตานั้นดูมีความกระวนกระวายใจอยู่ คิ้วสวยขมวดมุ่น พลังปราณจากร่างผลักยี่จือหลิงจนกระเด็นออกไป

หนี่หยันยืนนิ่งอยู่กับที่แล้วเริ่มทำสมาธิ

ตูม ตูม ตูม!!

เสียงกระแสพลังระเบิดดังก้องในอากาศ

ผู้คนที่รออยู่ในแถวพลันตกอกตกใจ ทุกคนหันไปมองสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหินเย็นเยียบในตรอกเล็ก

ระดับพลังปราณของสามพี่น้องเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เหนือศีรษะบังเกิดเป็นลมหมุนพลังปราณขนาดเล็ก ที่ดูดเอาพลังปราณในอากาศเข้าไปแล้วแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณเที่ยงแท้ในร่างกาย

จากนั้นภาพของวงแหวนที่แหวกออกกลางอากาศก็ปรากฏขึ้น ระดับพลังของทั้งสามพุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเองพวกเขาก็ขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับห้าขั้นราชันยุทธการ…

ฝูงชนในแถวตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอันมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้สามพี่น้องอยู่ในขั้นต้นของระดับห้าเท่านั้น แถมกระแสพลังปราณในกายของพวกเขาก็ยังไม่คงที่ด้วย แต่หลังจากดื่มสุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งเข้าไปคนละจิบ ทั้งสามก็บรรลุไปสู่ขั้นสูงสุดของระดับห้าทันที

นี่เรื่องปาหี่หรือหรืออย่างไร บรรลุขั้นปราณหรือกินข้าวดื่มน้ำกันแน่ เหตุใดจึงดูง่ายดายนัก

ทุกคนในแถวต่างสูดลมหายใจเข้าลึก เพราะตระหนักแล้วว่าการบรรลุขั้นปราณของทั้งสามนั้นเกี่ยวข้องกับสุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งอย่างแน่นอน

คนที่ดื่มไปก่อนหน้านี้ยังไม่บรรลุเนื่องจากสลบไปในจอกเดียว จึงยังไม่มีโอกาสได้รวบรวมพลังปราณที่ได้รับจากสุราเพื่อสร้างพลังปราณเที่ยงแท้ในกาย แต่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วคงบรรลุเหมือนกันไม่ช้าก็เร็ว

สุราชนิดนี้ทำให้คนเราสามารถพัฒนาขั้นปราณให้ดีขึ้นได้หรือนี่!

ในตอนนั้นเองทุกคนในแถวก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที หากพวกเขาสามารถบรรลุขั้นปราณได้ ถ้าต้องจ่ายห้าร้อยผลึก… ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแย่แม้แต่น้อย!

สุราอีกสี่จอกที่เหลือขายออกอย่างไม่ยากเย็น พอขายหมดสี่จอก ปู้ฟางก็ปิดฝาเหยือกทันที ในนั้นเหลือสุราอยู่อีกครึ่งเดียวเท่านั้น

สุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งที่ปู้ฟางหมักขึ้นมามีทั้งหมดสามเหยือกด้วยกัน และปู้ฟางเขาก็ไม่ได้วางแผนที่จะทำเพิ่มในอนาคต ไม่ใช่แค่เพราะกระบวนการทำซับซ้อนซ่อนเงื่อน แต่วัตถุดิบที่ต้องใช้ยังยากจะสรรหาอีกด้วย

นอกจากนี้การทำสุราชนิดนี้ยังต้องทุ่มเทพลังปราณลงไปเป็นจำนวนมาก

แค่สามเหยือก… ก็เพียงพอแล้ว เมื่อขายหมดคงไม่มีไปอีกนาน

สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางบรรลุขั้นปราณเรียบร้อย ความเมามายหายวับไปทันที พวกเขาเดินเข้าร้านไปขอบคุณปู้ฟาง แต่กลับพบว่าสายตาของทุกคนในร้านไม่ได้อยู่ที่ตนเอง

ตอนนี้ทุกคนต่างจับจ้องอยู่ที่สตรีรูปงามเหมือนนางสวรรค์ซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น

ผมยาวสยายของหญิงสาวผู้นี้สะบัดพลิ้วไหวในอากาศด้วยพลังปราณรอบกาย อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่านางกำลังจะบรรลุขั้นปราณเช่นกัน

ทั้งสามรู้ทันทีว่าแม่นางผู้นี้… อยู่ในขั้นนักพรตยุทธการ