บทที่ 206 ไหนเล่าดอกบัวที่เจ้าสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

บนถนนหนทางในนครหลวง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างกำลังเร่ขายของ ตะโกนโพนทะนาสรรพคุณของสินค้าตนให้ผู้ที่สัญจรไปมาได้ดูได้ฟัง

นักบวชหนุ่มไร้ผมในชุดผ้าฝ้ายสีดำเดินถือเข่งใส่ซาลาเปานึ่งอยู่ในมือ พลางยัดซาลาเปาไส้เนื้อเข้าปาก

ซาลาเปาสีขาวไส้เนื้อที่ร้อนจนควันฉุยดูไม่มีผลอะไรต่อนักบวชหนุ่มแม้แต่น้อย เขาใช้มือหนึ่งหยิบซาลาเปาขึ้นมาแล้วกัดเข้าไปเต็มคำ ทำให้น้ำที่อยู่ภายในกระจายไปทั่ว กลิ่นเนื้อลอยฟุ้งไปในอากาศ

ไม่นานซาลาเปาทั้งหมดก็หายวับลงท้อง ชายหนุ่มเดินไปกินไปจนหมด

นักบวชหนุ่มโยนเข่งอาหารว่างเปล่าทิ้งไปข้างทางส่งๆ พลางยกชายเสื้อผ้าฝ้ายขึ้นมาเช็ดปาก จากนั้นก็เอาโถน้ำเต้าที่สะเอวออกมาเทเหล้าเข้าปาก สีหน้าดูมีความสุขยิ่ง

“มีทั้งเหล้ามีทั้งเนื้อ… ชีวิตนี้ข้ายังจะต้องการอะไรอีก!” นักบวชหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปยังร้านเล็กๆ ของฟางฟาง

พอมาถึงตรอกทางเข้า เขาก็ต้องชะงักกึกทันที เนื่องจากสัมผัสได้ถึงพลังปราณแก่กล้าน่ากลัวที่ไหลทะลักออกมาจากร้าน นักบวชหนุ่มยกน้ำเต้าขึ้นซดอีกครั้ง ใบหน้าจริงจังยิ่งกว่าเคย

“ขั้นนักพรตยุทธการประสาทกลับที่ไหนมานั่งฝึกปราณสำแดงเดชให้ชาวบ้านชาวช่องดูกลางเมืองกัน” นักบวชหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

พักนี้มีขั้นนักพรตยุทธการอยู่ยั้วเยี้ยเต็มนครหลวงไปหมด แต่ทุกคนก็ต่างเหมือนถูกมัดมือเอาไว้ ไม่มีใครกล้าทำอะไรเกินหน้าเกินตา เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่หากทะเล่อทะล่าเดินหมากพลาด อาจหมายถึงความสูญเสียครั้งใหญ่

“ช่างมันปะไร ใครสนว่าไอ้หมอนี่จะเป็นขั้นนักพรตยุทธการกัน ข้ามาเพื่อเก็บข้อมูลเท่านั้น ฮี่ๆ อ้อ แล้วก็เพื่อดูต้นตื่นรู้ทางห้าสายด้วย” นักบวชหนุ่มหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็ลูบศีรษะโล่งของตนเองเบาๆ พลางก้าวไปข้างหน้า

  …

ปู้ฟางเดินถือเหยือกสุราหยกสีขาวเข้าครัวไป ชายหนุ่มเก็บมันไว้อย่างมิดชิด จากนั้นก็กลับออกมาอีกครั้ง

ขณะที่กำลังเดินออกจากครัวมานั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นสองร่างที่คุ้นเคยซึ่งทำให้เขาถึงกับชะงัก

ดวงตาของอู๋อวิ๋นไป่เป็นประกายทันทีที่ได้เห็นปู้ฟาง เป็นเขาจริงๆ เสียด้วย พวกเขาทั้งสองมาถูกที่แล้ว!

แต่หญิงสาวก็ไม่ได้บุ่มบ่าม เนื่องจากนางเห็นขั้นนักพรตยุทธการคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิพร้อมที่จะบรรลุขั้นปราณ การบรรลุขั้นปราณของขั้นนักพรตยุทธการ… ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม้แต่น้อย

ตึก ตึก เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง

ร่างสองร่างปรากฏขึ้นด้านหลังอู๋อวิ๋นไป่

รูม่านตาของจีเฉิงเสวี่ยหดแคบทันทีที่เห็นหนี่หยันผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่กลางร้าน เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอันมาก แม่นางผู้นี้กำลังจะบรรลุขั้นปราณหรือ ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้นี่นะ…

สายตาของเหลียนฟู่เต็มไปด้วยความทรงจำขณะมองไปรอบๆ ร้าน ตั้งแต่ที่เขาติดตามจักรพรรดิองค์ก่อนมายังร้านนี้ ขันทีเฒ่าก็ไม่ได้มาเหยียบที่นี่อีกเลย เมื่อกลับมาอยู่ในบรรยากาศอบอุ่นของร้าน เขาก็อดไม่ได้ที่จะรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต ชายชราทำมือจีบตามนิสัยแล้วเริ่มสูดน้ำมูก

การบรรลุปราณของหนี่หยันกินเวลาไม่นาน พลังปราณในกายนางเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็หยุดก่อนที่จะก้าวพ้นไปเป็นขั้นเทพแห่งสงครามพอดี ระดับพลังปราณในกายหนี่หยันค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ สุดท้ายนางก็จำใจต้องเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเสียมิได้

หลังจากดื่มสุราเข้าไปหนึ่งจอก เสียงท่วงทำนองแห่งการตื่นรู้ที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาทก็ทำให้นางเกือบบรรลุขั้นปราณ แต่การจะก้าวข้ามขีดจำกัดของระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการนั้นเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์พอตัว ด้วยเหตุนี้หนี่หยันจึงทำได้เพียงพัฒนาขั้นปราณขั้นย่อยๆ ของระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการขึ้นไปเท่านั้น การจะไปให้ถึงขั้นเทพแห่งสงครามนั้นไกลเกินเอื้อมไปหน่อย

พลังปราณที่ไหลบ่าเข้าท่วมภายในร้านสลายหายไป หนี่หยันลุกขึ้นยืนพลางยืดเส้นยืดสาย เผยให้เห็นร่างกายสวยงามไร้ที่ติที่ทำให้ใครหลายคนในที่แห่งนี้จ้องอย่างไม่วางตา

“น่าเสียดายนัก เถ้าแก่ปู้ สุราของเจ้านั้นยอดเยี่ยมจริงๆ… แต่ก็ยังไม่อาจช่วยให้ข้าบรรลุขั้นปราณได้สำเร็จ ไอ้อุปสรรคสุดท้ายนี้ก้าวข้ามได้ยากนี้ไม่ต่างอะไรกับการพยายามทลายปราการธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย” เสียงของหนี่หยันดูหม่นหมองเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรนัก

แม้จะบรรลุขั้นปราณไม่ได้ แต่ระดับพลังปราณของนางก็เพิ่มสูงขึ้นอยู่ดี

“เถ้าแก่ปู้ ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ ทำมาค้าขายเป็นอย่างไรบ้างเล่า ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยไหม” จีเฉิงเสวี่ยหัวเราะขณะก้าวเข้าร้านมาพลางทำมือทักทาย

ปู้ฟางหันไปมองจีเฉิงเสวี่ยด้วยสายตาประหลาดใจ หมอนี่ยุ่งมากแท้ๆ แล้วลมอะไรหอบเขามาที่ร้านในวันนี้ได้

หรือว่าเลิกทำอาชีพจักรพรรดิแล้วกันนะ

“ข้าก็ทำมาค้าขายคล่องดี” ปู้ฟางตอบเสียงเรียบ

อู๋อวิ๋นไป่หันไปมองชายหนุ่มที่มาขัดจังหวะการพบปะของนางกับปู้ฟางด้วยสีหน้ารำคาญใจ แม้ฟังจากบทสนทนาแล้วทั้งสองจะดูเป็นคนคุ้นเคยกันก็ตามที

“ร้านของเถ้าแก่ปู้นี่ยังหอมฟุ้งด้วยกลิ่นอาหารชวนน้ำลายไหลเหมือนเคย…” จีเฉิงเสวี่ยอุทาน

ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนเป็นกลั้วหัวเราะ “เถ้าแก่ปู้ เมื่อคืนนี้สุราที่เจ้าทำนั้นได้เรื่องเลยทีเดียว กลิ่นสุราหอมฟุ้งไปครึ่งค่อนเมือง ทำเอาตกอกตกใจไปตามๆ กัน ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าทำสุราแบบใดขึ้นมา เป็นไปได้หรือไม่… ที่จะให้ข้าคนนี้ได้ลิ้มรสดูสักครั้ง”

ปู้ฟางเหลือบตามองจีเฉิงเสวี่ย จากนั้นก็ส่ายหน้าตอบ “เจ้ามาช้าไป วันนี้สุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งขายหมดแล้ว จะไม่มีขายอีก เจ้าต้องสั่งอย่างอื่นแทนแล้วละ”

ขายหมดแล้วเช่นนั้นรึ จีเฉิงเสวี่ยหน้าซีด จากนั้นก็ลูบคางตนเองพลางพยักหน้ารับ ร้านของปู้ฟางนั้นไม่เหมือนร้านอื่นแม้กระทั่งวิธีการขายของ ตัวเขาเองไม่ได้มาดื่มสุราที่ร้านของปู้ฟางเสียนาน จนแทบลืมไปแล้วว่าชายหนุ่มทำมาค้าขายอย่างไร

“ฮ่าๆ เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ดูให้ดีก่อน เช่นนั้นข้าขอสั่ง… สุราหัวใจหยกเยือกแข็งกับเนื้อตุ๋นตำรับจีนได้หรือไม่ เนื้อตุ๋นตำรับจีนของเถ้าแก่ปู้นี่อร่อยที่สุดในนครหลวงแล้ว”

ปู้ฟางพยักหน้าจากนั้นก็เดินหันหลังกลับเข้าครัวไปเพื่อเริ่มทำอาหาร แต่เสียงที่ดังมาจากด้านหลังก็ดึงความสนใจของเขาเอาไว้ก่อน ทำให้ต้องหันหลังกลับมามองอีกครั้ง

อู๋อวิ๋นไป่เดินเข้ามาใกล้ปู้ฟาง หน้านิ่วคิ้วขมวด “ปู้ฟาง อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมข้าไปแล้วน่ะ”

ปู้ฟางมองอู๋อวิ๋นไป่หน้าตาย ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ข้าไม่ได้ลืม แค่ไม่ได้คิดว่าเจ้าจะมาจริง”

“เจ้ายังติดค้างดอกบัวข้าอยู่นะ ข้าก็ต้องมาแน่นอนอยู่แล้ว… นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายว่าข้าจะบรรลุขั้นปราณได้หรือไม่เชียวนะ!” อู๋อวิ๋นไป่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

หา ปู้ฟางหน้าซีด ดอกบัว…

เมื่อนึกถึงดอกบัวขึ้นมาได้ ปู้ฟางก็กะพริบตาปริบๆ ใส่อู๋อวิ๋นไป่ทันที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

สีหน้าของปู้ฟางทำให้หญิงสาวพลันหน้าซีด หรือว่าหมอนี่… ทำดอกบัวเสียหมดแล้ว นั่นมันสมุนไพรระดับเจ็ดเชียวนะ… เอาไปใช้เสียของเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!

นางสติขาดผึง ยกนิ้วเรียวยาวที่กำลังสั่นเทาขึ้นชี้ปู้ฟาง “เจ้า… เจ้าไม่ได้ทำเสียของหมดใช่ไหม”

“จะว่าเสียของก็คงไม่ใช่ แค่ใช้หมดแล้วก็เท่านั้น” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ ดูสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

อู๋อวิ๋นไป่ทำให้ปู้ฟางนึกถึงอะไรอีกอย่างขึ้นมาได้ ผ่านไปเดือนหนึ่งแล้ว แต่กลับยังไม่มีมนุษย์อสรพิษโผล่มาแม้แต่ตนเดียว หากมนุษย์อสรพิษตนนั้นยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ เขาก็ต้องมารับอาหารโอสถทิพย์ของที่ร้านสิ

หรือคนพวกนั้นจะเจอเรื่องไม่คาดคิดระหว่างทางกันนะ

ถ้าจะพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ พวกนั้นควรมาถึงแล้ว แต่ถ้ายังไม่มาก็แปลว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นระหว่างทาง

ปู้ฟางถอนหายใจเงียบๆ คนเดียว

“เจ้าใช้ดอกบัวหมดเลยได้อย่างไร… แล้วการฝึกปราณของข้าเล่า เจ้าเอาดอกบัวไปทำอะไรหมด บอกข้ามาเดี๋ยวนี้นะ!” อู๋อวิ๋นไป่โมโหเป็นอันมาก นางอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงนครหลวง แต่ไอ้หมอนี่กลับใช้ดอกบัวไปหมดแล้วเสียนี่

“ใช้ทำสุรา ใช้ไปหมดแล้วด้วย” ปู้ฟางตอบ

ใช้ทำสุราเช่นนั้นรึ เอาดอกบัวไปทำสุราเนี่ยนะ เดี๋ยวก่อน! จู่ๆ อู๋อวิ๋นไป่ ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางมองปู้ฟางด้วยดวงตาเบิกกว้าง

สุราที่หมอนี่พูดถึง… หมายถึงสุราที่กลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วนครหลวงเมื่อคืนหรือเปล่านะ

ใช้สมุนไพรระดับเจ็ดทำสุรา… พ่อแม่พี่น้อง นี่เราจำเป็นต้องหรูหราฟูฟ่ากันถึงเพียงนี้เชียวรึ

หัวใจของอู๋อวิ๋นไป่เจ็บปวดเหมือนถูกกรีด ความเจ็บปวดนั้นทำเอานางแทบหายใจไม่ออก

“เช่นนั้นสุรานั่นอยู่ไหน… เอามาให้ข้าดื่มเร็วเข้า บางที… อาจจะมีฤทธิ์สมุนไพรหลงเหลืออยู่บ้างก็เป็นได้” นางทำหน้าละห้อยพลางพูดด้วยน้ำเสียงราวกับว่านี่เป็นความหวังสุดท้ายของชีวิต

“อ้อ… วันนี้ขายหมดแล้ว มาซื้อใหม่พรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

ปู้ฟางเหลือบตามองอู๋อวิ๋นไป่ด้วยสีหน้าจริงจังพลางเอ่ยตอบ สีหน้าตายด้านของชายหนุ่มนั้นกวนบาทาชวนให้คนมองรู้สึกโกรธแค้นเป็นอันมาก จนอู๋อวิ๋นไป่รู้สึกอยากจะเอาบาทาไปกวนบนหน้าอีกฝ่ายสักทีสองที…

เสียงฝีเท้าดังสะท้อนก้องมาจากด้านนอกร้าน จากนั้นร่างหลายร่างก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน

พลังปราณที่หนี่หยันปล่อยออกมาตอนกำลังบรรลุปราณเมื่อครู่ ดึงดูดบรรดาขั้นนักพรตยุทธการมากมายที่อยู่ในนครหลวง คนเหล่านี้ต่างกรูกันมาที่ร้านเพื่อป้องกันไม่ให้ต้นตื่นรู้ทางห้าสายถูกชิงไป