บทที่ 207 เถ้าแก่ปู้... รู้จักมนุษย์อสรพิษหญิงตนนี้หรือไม่

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

สุรา… ไม่มีเหลือแล้วเช่นนั้นรึ สายตาของอู๋อวิ๋นไป่ที่มองปู้ฟางเต็มไปด้วยความหดหู่ใจ แต่ถึงจะหดหู่มากเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์

“ร้านเรามีอาหารอร่อยมากมายหลายรายการ ลองสั่งมาชิมดูก็ได้ หากจะสั่งอะไร… ก็บอกแม่หนูนี่แล้วกัน”

ปู้ฟางลูบศีรษะโอวหยางเสี่ยวอี้แล้วเริ่มโฆษณาอาหารที่ร้าน จากนั้นก็หันหลังเดินกลับเข้าครัวไป

จีเฉิงเสวี่ยเดินไปรอบๆ อย่างคุ้นเคย แล้วตัดสินใจนั่งลงแถวๆ ต้นตื่นรู้ทางห้าสาย กระแสพลังปราณพร้อมด้วยพลังงานประหลาดที่แผ่ออกจากต้นไม้ลอยล่องไปทั่วบริเวณ

จักรพรรดิหนุ่มเอามือไพล่หลังพลางสำรวจดูต้นตื่นรู้ทางห้าสายอย่างถี่ถ้วนด้วยดวงตาเป็นประกาย

ด้านนอกร้าน บรรดาสายตาที่แอบสอดส่องและพลังงานซึ่งซ่อนอยู่ในเงามืดค่อยๆ สลายตัวไป บรรดาขั้นนักพรตยุทธการดูเหมือนจะรู้แล้วว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เกี่ยวกับต้นตื่นรู้ทางห้าสาย ด้วยเหตุนี้จึงทยอยกลับกันไปทีละคนสองคน ต้นไม้นั้นยังไม่โตเต็มวัยและไม่ทันได้ออกผลด้วยซ้ำ พวกเขาจึงไม่อยากแหย่เท้าเข้าไปยุ่งในตอนนี้

อู๋อวิ๋นไป่สั่งอาหารสองสามจาน แม้ราคาจะแพงหูฉี่จนไม่อยากสั่ง แต่นายน้อยผู้แสนลึกลับแห่งตำหนักเมฆาขาวผู้ที่แม้แต่สำนักความลับแห่งสวรรค์ยังต้องหวาดกลัว แน่นอนว่าย่อมมีปัญญาจ่ายอยู่แล้ว ด้วยความที่เอาดอกบัวมาจากปู้ฟางไม่ได้ นางจึงเอาความโกรธเกรี้ยวมาลงที่การกินแทน

หนี่หยันจากไปพร้อมยี่จือหลิง นางรีบพุ่งกลับโรงเตี๊ยมเพื่อรวบรวมพลังปราณที่เพิ่งบรรลุให้นิ่ง ส่วนยี่จือหลิงนั้นแค่ตามอีกฝ่ายไปเฉยๆ

ตอนนี้ร้านกลับมาร้างไร้ผู้คนอีกครั้ง แถวยาวที่หน้าร้านหายไปเรียบร้อย ส่วนสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางก็จากไปอย่างอารมณ์ดี พวกเขาต้องรีบกลับไปแจ้งข่าวพัฒนาการครั้งใหม่ให้บิดาได้รู้

กลิ่นหอมของอาหารลอยออกจากครัว กลิ่นนั้นดึงความสนใจของจีเฉิงเสวี่ยออกจากต้นตื่นรู้ทางห้าสายและทำให้เขารู้สึกตื้นตันอยู่ในอก

“ทักษะของเถ้าแก่ปู้ยอดเยี่ยมขึ้นอีกหรือ กลิ่นอาหารที่เขาทำหอมน่ากินยิ่งกว่าเดิมเสียอีก” จีเฉิงเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกพลางถอนหายใจออกมา

เหลียนฟู่นั่งอยู่ข้างกายจักรพรรดิหนุ่ม จีบนิ้วเข้าหากัน ใจยังคงย้อนรำลึกถึงเรื่องในอดีต ร้านนี้… เคยมีพลังของจักรพรรดิองค์ก่อนอยู่ แม้จะผ่านไปนานแล้ว แต่ขันทีเฒ่าก็ยังอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำที่เคยเกิดขึ้น แล้วดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความเศร้าอีกครั้ง

เมื่อภาพที่คุ้นเคยทำให้เขาเริ่มนึกถึงอดีต เหลียนฟู่ก็จีบนิ้วพลางสะอื้นอยู่คนเดียวเงียบๆ

จีเฉิงเสวี่ยมองอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จะช่วยอย่างไรดี

กลิ่นหอมเข้มของอาหารกระจายฟุ้งไปในอากาศ โอวหยางเสี่ยวอี้เดินถือจานเนื้อตุ๋นตำรับจีนออกมาวางตรงหน้าจีเฉิงเสวี่ย

ส่วนปู้ฟางเองก็เดินมาพร้อมสุราหัวใจหยกเยือกแข็งหนึ่งเหยือก

ดวงตาของจักรพรรดิหนุ่มเป็นประกายขึ้นทันที อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปาก เขาไม่ได้ดื่มสุราและกินอาหารร้านเถ้าแก่ปู้มานานมากแล้ว จนทำให้เริ่มอดรนทนไม่ไหว

“หอมเหลือเกิน”

จีเฉิงเสวี่ยก้มลงดมจานเนื้อตุ๋นตำรับจีนใกล้ๆ หน้าตาเคลิบเคลิ้มเต็มที่ขณะเอ่ยปากชม

เนื้อตุ๋นตำรับจีนของปู้ฟางนั้นหอมจนไม่อยากเชื่อ ทำให้แม้แต่อู๋อวิ๋นไป่ที่กำลังนั่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ไม่ไกลยังต้องหันมามอง

จีเฉิงเสวี่ยคีบเนื้อตุ๋นสีแดงเรื่อมันวาวชิ้นหนึ่งขึ้นมา เนื้อนั้นส่งควันฉุยทั้งยังหอมเป็นอันมาก จักรพรรดิหนุ่มเอาเนื้อตุ๋นเข้าปาก รสชาติจัดจ้านและแรงต้านจากเนื้อนุ่มเด้งระหว่างฟันทำให้เขารู้สึกมีความสุขล้นพ้น

พอกลืนเนื้อลงท้องไปเรียบร้อย จีเฉิงเสวี่ยก็กระดกสุราตามลงไป รู้สึกเหมือนกำลังได้ขึ้นสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น

ปู้ฟางเห็นสีหน้าพออกพอใจของจักรพรรดิหนุ่มแล้วก็ยิ้มออกมา ก่อนเดินกลับเข้าครัวไป

นักบวชไร้ผมเดินเข้าตรอกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พอสาวเท้าเข้ามาใกล้ สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่หน้าร้านก็เตะตาเขาเข้าพอดิบพอดี

ดวงตาของนักบวชหนุ่มเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาเลียริมฝีปากตนเอง

“ช่างเป็นสุนัขที่อ้วนพีอะไรเช่นนี้ ต้องอร่อยมากแน่ๆ”

เจ้าดำที่กำลังนอนกลางวันอยู่รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา ราวกับจับได้ถึงเจตนาร้ายที่พุ่งเข้ามากระทบตัว มันลืมตาขึ้นแล้วหันไปเห็นสายตากระหายของ… นักบวชคนหนึ่ง

ไอ้เวรนี่มัน… มองบ้าอะไรกัน เจ้าดำเหลือบตามอง นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้ามองท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้เหมือนเป็นอาหารอันโอชะ… ไอ้โง่หัวล้านนี่อยากไปเฝ้ายมบาลหรืออย่างไร

นักบวชหนุ่มลูบศีรษะโล้นเลี่ยนของตนเอง กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเป็นรอยยิ้ม

“เนื้อสุนัขตุ๋นตำรับจีนเช่นนั้นรึ ฟังดูดี… สุนัขตัวขนาดนี้หายากนักในนครหลวง แต่เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ข้าต้องทำภารกิจที่ตาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เจ้ามู่เฉิงนั่นมอบไว้ให้เสร็จเสียก่อน”

นักบวชหนุ่มจึ๊ปาก ช่างน่าเสียดายอะไรเช่นนี้ เขามองเจ้าดำด้วยสายตาละห้อย จากนั้นก็เดินส่ายหน้าเข้าร้านไป

เจ้าดำงุนงงเป็นอันมาก ไอ้เวรหัวล้านนี่… มันคิดไม่ดีแน่นอน ทำหน้าละห้อยเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่

จากนั้นมันก็กลอกตาแล้วกลับไปนอนกลางวันดังเดิม

“เนื้อ… กลิ่นเนื้อนี่!”

ทันทีที่ก้าวเข้าไปในร้าน ดวงตาของนักบวชหนุ่มก็เป็นประกายขึ้นกว่าเดิม จนดูเหมือนไข่กลมเกลี้ยงติดเพชรวาววับก็ไม่ปาน…

มีสุรา… แถมยังมีเนื้ออีก ร้านนี้ไม่เลวเลยทีเดียว!

ดวงตาของนักบวชหนุ่มมองไปยังจีเฉิงเสวี่ยที่นั่งอยู่ไกลๆ ผู้ซึ่งกำลังจะยัดเนื้อตุ๋นตำรับจีนหอมฉุยเข้าปาก จากนั้นก็หันไปมองอู๋อวิ๋นไป่ที่กำลังกัดขนมจีบทองคำมันวับ… เมื่อเห็นดังนั้นตัวเขาเองก็อดน้ำลายสอไม่ได้

กลิ่นที่หอมฟุ้งไปทั่วร้านทำให้นักบวชหนุ่มเกิดหิวขึ้นมา ซาลาเปาที่กินไปจนเต็มท้องก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะหายวับไปจากมโนจิตทันที

นี่น่ะหรือสถานที่ที่ตาแก่นั่นให้เขามาทำภารกิจ

นักบวชหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหัวเราะหึๆ อยู่คนเดียว

“จะสั่งอะไรเจ้าคะ รายการอาหารอยู่ด้านหลัง หากตัดสินใจเสร็จแล้วก็บอกข้าได้เลย” โอวหยางเสี่ยวอี้อธิบายให้นักบวชหนุ่มหน้าใหม่ฟังอย่างชำนาญ

นักบวชหัวโล้นชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหันหลังกลับไปมอง เมื่อเห็นราคามุมปากของเขาก็กระตุกขวับ

“นักบวชผู้ทรงศีลผู้นี้ขอซี่โครงเปรี้ยวหวานกับสุราหัวใจหยกเยือกแข็งเหยือกหนึ่งก็แล้วกัน” เขาค่อยๆ เอ่ยสั่งโอวหยางเสี่ยวอี้

เด็กหญิงชะงักไปทันที นักบวชนี่ดื่มสุราแถมยังกินเนื้อสัตว์กันได้เต็มที่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เหตุใดไอ้หมอนี่จึงสั่งทั้งเนื้อทั้งเหล้าได้หน้าตายเช่นนี้

“ซี่โครงเปรี้ยวหวานกับสุราหัวใจหยกเยือกแข็งใช่ไหมเจ้าคะ” โอวหยางเสี่ยวอี้ตอบด้วยคำถาม

“ใช่แล้วโยม สังคมไม่ควรตัดสินผู้อุทิศชีวิตและร่างกายให้ศาสนาอย่างอาตมาแค่เพราะกินเนื้อกับดื่มสุรา เราควรกินดื่มอะไรก็ได้ที่อยากกิน ตราบใดที่รำลึกถึงพระพุทธองค์ในใจ” นักบวชหนุ่มพนมมือพลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจเป็นอย่างยิ่ง

“ได้เจ้าค่ะ โปรดรอสักครู่” โอวหยางเสี่ยวอี้ดูงงเป็นไก่ตาแตก

“โยม อาตมามีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากขอ อาตมาอยากเจอเถ้าแก่ปู้เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้” นักบวชหนุ่มยิ้มกริ่ม แต่ใบหน้ายังแสดงออกเพียงความอ่อนโยนตามวิสัยนักบวชผู้เมตตาเท่านั้น

“ท่านอยากเจอนายท่านตัวเหม็นเช่นนั้นหรือ ต้องรอก่อนนะ… ตอนนี้เขายังไม่ว่าง” โอวหยางเสี่ยวอี้มุ่นคิ้ว นางรู้สึกว่านักบวชรูปนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล

แต่ตัวนักบวชหนุ่มก็ไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด เขาเดินไปหาที่นั่งเสร็จสรรพ

โอวหยางเสี่ยวอี้เดินไปตะโกนบอกรายการที่นักบวชสั่งให้ปู้ฟางรู้ผ่านหน้าต่างห้องครัว

“มีนักบวชสั่งซี่โครงเปรี้ยวหวานกับสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง…” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดด้วยน้ำเสียงประหลาด “เขาบอกด้วยว่าอยากเจอท่าน”

“เจอข้าเนี่ยนะ” ปู้ฟางชะงัก จากนั้นก็วางจานอาหารลงที่หน้าต่าง โอวหยางเสี่ยวอี้ยกจานนั้นไปวางตรงหน้าอู๋อวิ๋นไป่

อู๋อวิ๋นไป่และอาจารย์อาอู๋สั่งอาหารหลายรายการ และกำลังตั้งหน้าตั้งตายัดอาหารที่สั่งเข้าปากโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก

พวกเขาไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าอาหารที่ปู้ฟางทำจะเลิศรสถึงเพียงนี้

ชายหนุ่มเจ้าของร้านเดินออกจากครัวมาพร้อมจานซี่โครงเปรี้ยวหวานในมือ ส่วนมืออีกข้างก็ถือเหยือกสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านักบวชชุดดำ

นักบวชหนุ่มหยีตา เมื่อเห็นปู้ฟาง เขาก็พนมมือพลางทำจมูกฟุดฟิด…

“นี่ซี่โครงเปรี้ยวหวานกับสุราหัวใจหยกเยือกแข็งที่สั่ง กินให้อร่อย” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ จากนั้นก็มองนักบวชตรงหน้าด้วยสายตาสงบนิ่ง

นักบวชหนุ่มลุกขึ้นยืนพลางยิ้มออกมา “อาตมาได้ยินเรื่องเถ้าแก่ปู้ผู้มีชื่อเสียงมามาก อาตมามีนามว่าฉางเต๋อ เป็นนักบวชผู้ทรงศีล อาตมาชื่นชมร้านเล็กๆ ของฟางฟางมานานแล้ว วันนี้มีโอกาสได้มาเยือนเสียที”

ปู้ฟางไม่ได้ตอบ แต่ยังคงมองนักบวชตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ฝั่งตรงข้ามหัวเราะคิก จากนั้นก็ลูบศีรษะของตนเองพลางตบเบาๆ

“ทักษะในการทำอาหารของเถ้าแก่ปู้นั้นช่างน่าประทับใจยิ่ง กลิ่นอาหารที่ท่านทำทำให้อาตมาแทบเมามายไปเลยทีเดียว แต่วันนี้อาตมามีเหตุให้ต้องมาที่นี่ อาตมามีคำถามที่อยากถามเถ้าแก่ปู้”

“ว่ามา” ปู้ฟางตอบเสียงเรียบ

สีหน้าของนักบวชหนุ่มเคร่งขรึมขึ้นมาทันที เขาพนมมือปู้ฟางพลางก้มหัวให้ปู้ฟางเหมือนขออนุญาต

“โยมช่างมีเมตตายิ่งนัก อาตมามีโอกาสได้เจอแม่นางมนุษย์อสรพิษตนหนึ่งบนถนนของนครหลวง การช่วยชีวิตคนให้พ้นจากความตายนั้นได้บุญสูงส่งกว่าการสร้างหอคอยสูงเจ็ดชั้นถวายเหล่าเทพเสียอีก อาตมาได้ช่วยเหลือนาง แต่นางกลับหมดสติไป ลำพังร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย อาตมาไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่แม่นางผู้นี้ก็ได้ตะโกนชื่อเถ้าแก่ปู้ออกมาก่อนที่นางจะหมดสติไป ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงมาที่นี่ เพื่อสอบถามเถ้าแก่ปู้… ว่ารู้จักแม่นางมนุษย์อสรพิษตนนี้หรือไม่”