นักบวชหนุ่มฉางเต๋อพนมมือไหว้ ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนด้วยรอยยิ้มที่ใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่งในการเค้นกล้ามเนื้อทุกมัดบนใบหน้า สายตาของเขามองไปยังปู้ฟาง กระนั้นดวงตาคู่นั้นก็ยังคมกริบราวกระบี่ที่ทอแสงวาบ

มนุษย์อสรพิษหญิงเช่นนั้นหรือ ปู้ฟางตกใจ แต่ก็ยังคงรักษาท่าทีสงบเอาไว้ได้ภายใต้สายตาคมกริบของนักบวชหนุ่ม ชายหนุ่มเจ้าของร้านยิ้มออกมา

“รู้จักสิ” ชายหนุ่มเอ่ยตอบ ยังคงนิ่งเหมือนเคย สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้สักนิด

ชายหนุ่มเองก็สงสัยว่าเหตุใดมนุษย์อสรพิษจึงยังไม่มาเสียที ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเจออุปสรรคระหว่างทางจริงๆ เสียด้วย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด… เนื่องจากนครหลวงทุกวันนี้เปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางของพายุ เมื่อคืนนี้ร้านของเขายังถูกผู้ฝึกตนฝีมือแก่กล้าล้อมเอาไว้เลย

มนุษย์อสรพิษเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตหายาก เมื่อเข้ามาสู่โลกของมนุษย์ธรรมดา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเจอ… เหตุการณ์ไม่คาดฝัน

แต่นักบวชนี่ตั้งใจจะบอกอะไรกันแน่

ปู้ฟางมองนักบวชหนุ่มฉางเต๋อด้วยสายตาตั้งคำถาม “แล้วการที่เจ้ามาบอกข้านั้นต้องการอะไร”

ตอนแรกนักบวชหนุ่มดูพึงพอใจเมื่อได้ยินคำตอบของปู้ฟาง แต่พอได้ฟังคำถามที่ตามมาก็กลับต้องนิ่งอึ้งแทน เขาไม่รู้ว่าจะต้องตอบคำถามนั้นอย่างไร เนื่องจากจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เจ้ามู่เฉิงเป็นคนจับมนุษย์อสรพิษมา ไม่ใช่เขา

“ถ้าเจ้าไม่มีปัญญาช่วยพวกนั้น ก็พามาที่ร้านข้าแล้วกัน” ปู้ฟางเหลือบตามองชายหัวโล้น จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าครัวไป

ตอนอยู่ที่หนองน้ำปราณมายา ชายหนุ่มยอมตกลงกับมนุษย์อสรพิษเอาไว้ว่า หากพวกนั้นมาที่ร้านเขาจะช่วยให้มีชีวิตต่อไปได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าตัวเขาเองจะต้องไปตามล่าหาตัวคนพวกนั้นหากเจอเข้ากับอุปสรรคระหว่างทาง

นักบวชหนุ่มลูบศีรษะตนเองแล้วยิ้มกริ่มออกมา ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านแห่งนี้จะนิสัยไม่เบาเลยทีเดียว! แต่เขาเองก็ตอบคำถามไม่ได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจจะปล่อยเรื่องนี้ให้เจ้ามู่เฉิงปวดหัวแทน

ฉางเต๋อเดินกลับที่ สายตามองไปยังจานซี่โครงเปรี้ยวหวานบนโต๊ะ ซี่โครงเปรี้ยวหวานสีส้มอมแดงสวยบนจานกำลังทั้งร้อนทั้งหอมควันฉุย ทำให้เขารู้สึกหิวจนท้องร้องขึ้นมาแม้ก่อนหน้านี้จะกินซาลาเปาไส้เนื้อไปแล้วก็ตาม

นักบวชหนุ่มหยิบตะเกียบมาเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ จากนั้นก็คีบซี่โครงเปรี้ยวหวานขึ้นมา เนื้อนั้นอ่อนนุ่มเด้งดึ๋งจนรู้สึกได้ถึงแรงต้านที่ดันตะเกียบกลับมา

เขาเลียริมฝีปากตนเอง จากนั้นก็ใช้ลิ้นเลียซอสก่อน รสชาติเปรี้ยวหวานลงตัวทำให้ดวงตาของนักบวชหนุ่มเป็นประกายขึ้นมาทันที

นักบวชหนุ่มยัดซี่โครงเปรี้ยวหวานเข้าปาก จากนั้นดวงตาก็พลันสว่างจ้าขึ้นมา กลิ่นเนื้อหอมระเบิดในปากทันทีที่เนื้อนุ่มเนียนฉ่ำน้ำกระทบเพดานปาก

“อร่อย… อร่อยมาก!” นักบวชหนุ่มเคี้ยวตุ้ยๆ ตาแทบถลนออกจากเบ้าขณะหัวเราะเสียงประหลาด ซี่โครงนี้… อร่อยเป็นบ้า!

เอื๊อก เขากลืนซี่โครงชิ้นแรกลงท้อง จากนั้นก็จึ๊ปากด้วยความสุขใจ รสชาติเนื้อที่หลงเหลืออยู่ในปากทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเมามาย

ฉางเต๋อเป็นนักบวชที่เลือกกินเนื้อ ความชื่นชอบในการกินเนื้อของเขาเรียกได้ว่าอยู่ในจุดที่หมกมุ่นเลยทีเดียว เขากินเนื้อทุกประเภท เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยอาศัยอยู่คนเดียวในทะเลทรายกว้างใหญ่เวิ้งว้างที่ไม่มีพืชหรือผลไม้ใดๆ มีเพียงอสูรเวทขนฟูให้ล่ามาทำเป็นอาหารเท่านั้น

เขาต้องกินเนื้อดิบและดื่มเลือดของอสูรเวทเหล่านั้นเพื่อให้มีชีวิตรอด แถมรสชาติของพวกมันก็ไม่อร่อยแม้แต่น้อย…

ดังนั้นตั้งแต่กลับมาจากทะเลทราย ฉางเต๋อจึงกลายเป็นคนติดการกินเนื้อสัตว์ ทั้งยังสาบานกับตนเองเอาไว้ว่าจะไล่กินอาหารอร่อยที่ทำจากเนื้อให้หมดทั้งโลก

นักบวชหนุ่มรินสุราให้ตนเอง สุราหัวใจหยกเยือกแข็งที่ใสสะอาดเหมือนน้ำจากบ่อน้ำพุมาพร้อมกลิ่นหอมที่ทำให้โพรงจมูกของเขาสั่นระริก

นักบวชหนุ่มซดสุราหมดจอก รสชาติของสุราเข้ากับเนื้อได้อย่างลงตัว จนทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาเบาๆ ด้วยความสุขใจ

โอวหยางเสี่ยวอี้… จ้องนักบวชหนุ่มหัวโล้นที่กำลังดื่มเหล้าเคล้าเนื้อสัตว์อย่างเต็มที่ไม่วางตา นางรู้สึกเหมือนสิ่งที่ตนเองรู้มาทั้งชีวิตเกี่ยวกับนักบวชกลายเป็นเรื่องโกหกไปทั้งสิ้น

“แต่หนังสือบอกไว้ว่านักบวชดื่มเหล้ากับกินเนื้อไม่ได้มิใช่รึ” โอวหยางเสี่ยวอี้เบ้ปาก

แล้วตานักบวชหนุ่มฉางเต๋อนี่มานั่งปากมันอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ว่าสิ่งที่เขียนเอาไว้ในหนังสือเกี่ยวกับนักบวชพุทธ… เป็นเรื่องโกหก

ฉางเต๋อยกขาขึ้นพาดเก้าอี้ เตะขาไปมาอย่างสุขใจขณะยัดเนื้ออีกชิ้นเข้าปาก พอรู้สึกได้ถึงสายตาของโอวหยางเสี่ยวอี้ที่มองมา เขาก็พยักหน้าให้นางพร้อมรอยยิ้มกว้าง

โอวหยางเสี่ยวอี้ฮึดฮัดจากนั้นก็หันไปมองทางอื่น

จีเฉิงเสวี่ยกินอาหารเสร็จแล้วและวางตะเกียบลง เขารู้สึกมีความสุขเป็นอันมาก เนื่องจากไม่ได้กินอาหารฝีมือเถ้าแก่ปู้มานานแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็ได้กินอย่างเต็มอิ่มเสียที

“ท่านลุงเหลียน ไปกันเถิด” จีเฉิงเสวี่ยพูดกับเหลียนฟู่ที่นั่งอยู่ข้างเขาและเพิ่งกินข้าวผัดไข่หมดเช่นกัน

เหลียนฟู่จีบมือพลางตอบตกลงเสียงแผ่ว ชายชราลุกขึ้นยืน สีหน้าดูละล้าละลัง เนื่องจากร้านนี้เต็มไปด้วยความหลังที่ตนเองโหยหา

จักรพรรดินั้นไม่สามารถทิ้งวังหลวงได้นาน จีเฉิงเสวี่ยมาวันนี้เพื่อดูต้นตื่นรู้ทางห้าสายอันเป็นที่หมายปองของขั้นนักพรตยุทธการทั่วราชอาณาจักร นอกจากนี้ยังมาเพื่อชิมสุราชนิดใหม่ของเถ้าแก่ปู้ด้วย น่าเสียดายที่วันนี้สุราไม่ได้ตกถึงท้องของเขา แต่ก็ยังดีที่ได้กินอาหารรสเลิศฝีมือเถ้าแก่ปู้อีกครั้ง

ทั้งสองออกจากร้านไป แต่อู๋อวิ๋นไป่กับอาจารย์อาอู๋ยังคงตั้งหน้าตั้งตากินไม่หยุด คนทั้งคู่สั่งอาหารมามากมายหลายจาน และกำลังดื่มด่ำกับรสชาติอร่อยล้ำเกินจินตนาการ

  …

ณ สุสานหลวงประจำนครหลวง เกล็ดหิมะบางเบาร่วงหล่นจากฟากฟ้า ลมหนาวพัดผ่านแตะไล้ทุกพื้นผิวในที่แห่งนี้ ใบไม้แห้งสัมผัสกันส่งเสียงกรอบแกรบ

สุสานหลวงตั้งอยู่บนยอดเขาสูงจนอากาศบางเบา หิมะยังคงโปรยปราย ส่วนอุณหภูมิก็หนาวกว่านครหลวงมาก แต่เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ความอบอุ่นก็เริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง

ชายหนุ่มในชุดผ้าฝ้ายเรียบง่ายค่อยๆ เดินออกมาจากบ้านหลังคามุงจาก

ชายผู้นี้ถือไม้กวาดอยู่ในมือ เขาเดินไปยังบริเวณสุสานหลวงที่ดูอึมครึมแต่ก็ทรงเกียรติอย่างไม่รีบร้อน ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยหลุมศพมากมาย ชายหนุ่มใช้ไม้กวาดในมือกวาดใบไม้ที่ตกลงบนหลุมศพเหล่านั้น

เสียงกวาดใบไม้ดังก้องไปทั่วสุสานหลวงที่เงียบสงัด เกิดเป็นเสียงสะท้อนน่าวังเวงใจ

“จึ๊ๆ… ราชาอวี่ผู้เคยยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยเรา กลับพ่ายแพ้หมดสภาพในการต่อสู้แย่งชิงราชบัลลังก์ จนตอนนี้ต้องตกอับหมดสิ้นหนทางจนสารรูปดูมิได้ ความรุ่งโรจน์เมื่อปีก่อนถูกสายน้ำแห่งการเวลาพัดพาหายลับไปแล้วหรือ ช่างน่าอดสูสังเวชใจอะไรเช่นนี้”

จู่ๆ สุสานที่เงียบสงัดก็กึกก้องไปด้วยเสียงหัวเราะ ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าฉึบฉับบาดหู

ชายที่กำลังถือไม้กวาดอยู่ในมือตัวแข็งทื่อทันที เขายืดหลังตรง หรี่ตามองชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังหัวเราะคิกคัก สายตาของเขาตายด้านราวกับขี้เถ้า ใบหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์

เจ้ารู่เก๋อสวมชุดขาวสะอาด เดินเอามือไพล่หลังเข้ามาหา ด้านหลังมีองครักษ์สองสามคนในชุดคลุมสีดำปกปิดใบหน้ามิดชิดจนมองไม่เห็น พลังปราณที่แผ่ออกจากร่างของเหล่าชายชุดดำแข็งแกร่งเป็นอันมาก แซงหน้าทหารเฝ้าสุสานหลวงไปไกล

เจ้ารู่เก๋อก้าวยาวๆ วนรอบทางเข้าสุสานหลวง แต่ไม่กล้าเดินเข้าไปยังสุสานที่เป็นของราชวงศ์

เนื่องจากชายหนุ่มไม่รู้ว่าหากรุกล้ำเข้าอาณาเขตของสุสานหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่

จีเฉิงอวี่พินิจพิเคราะห์เจ้ารู่เก๋อเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มศีรษะลงแล้วกวาดใบไม้แห้งออกจากหลุมศพต่อ การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าเหมือนชายชราอ่อนแอ หมดคราบราชาอวี่ที่เคยทั้งบ้าบิ่นกล้าได้กล้าเสียในอดีตไปสิ้น

“ราชาอวี่ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านคงไม่อยากติดอยู่ในสุสานหลวงไปจนตายหรอกใช่หรือไม่ ลองคิดภาพจีเฉิงเสวี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์ตอนนี้สิ ท่านไม่รู้สึกโกรธแค้นจนแทบทานทนไม่ไหวบ้างหรือ” เจ้ารู่เก๋อจ้องไปที่เป้าหมายเขม็ง “เหตุใดราชาอวี่จึงต้องมาเฝ้าสุสานหลวงเหมือนสุนัขรับใช้ ในขณะที่จีเฉิงเสวี่ยได้นั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสบายอุราด้วย ไอ้หมอนั่นมันคู่ควรอะไร”

จีเฉิงอวี่เหลือบตาไปมองอีกฝ่าย รูม่านตาซีดเทาของเขาเผยรอยยิ้มอ่อนแรง “เจ้ารู่เก๋อ ข้ายังจะเหลืออะไรไปสู้กับจีเฉิงเสวี่ยอีก ทุกอย่างจบแล้ว ท่านพ่อเลือกหมอนั่น ส่วนข้า… ก็เป็นได้แค่ไอ้ขี้แพ้ตั้งแต่หัวจดเท้า”

“ไอ้ขี้แพ้เช่นนั้นรึ นั่นไม่ใช่ราชาอวี่ที่ข้ารู้จักแม้แต่น้อย” เจ้ารู่เก๋อหัวเราะ

จีเฉิงอวี่ส่ายศีรษะแล้วไม่สนใจเจ้ารู่เก๋ออีก เขาเดินไปที่สุสานถัดไป ซึ่งคือสุสานของจักรพรรดิฉางเฟิ่ง หน้าตาของมันดูเรียบง่ายไม่เหมือนหน้าตาของสุสานจักรพรรดิในจินตนาการเลยแม้แต่น้อย ความเรียบง่ายนี้ทำให้ที่นี่ดูค่อนข้างซอมซ่อเลยทีเดียว

จีเฉิงอวี่ก้มหน้า ไม่มีใครมองเห็นว่าเขามีสีหน้าอย่างไร ชายหนุ่มตั้งหน้าตั้งตากวาดใบไม้ต่ออย่างอ่อนแรง

“จีเฉิงอวี่ ข้าเจ้ารู่เก๋อมาหาท่านในวันนี้เพื่อบอกท่านว่าความหวังยังคงมีอยู่ ตอนนี้เหลียนฟู่อยู่ที่นครหลวง แปลว่าท่านมีโอกาสหลบหนีได้ หากท่านไม่อยากไปข้าก็คงไม่มีอะไรจะพูดต่อ แต่หากยังมีความรู้สึกอยากเอาชนะโชคชะตาอยู่แม้เพียงน้อยละก็ ข้าเจ้ารู่เก๋อและบิดาของข้า… เจ้ามู่เฉิง ยินดีที่จะมอบทรัพยากรทุกอย่างที่พวกเรามีเพื่อช่วยท่าน!”

จากนั้นชายหนุ่มก็เอ่ยถาม “ท่านจะเลือกทางใด”

ลมหนาวพัดผ่านหอบเอาหิมะที่โปรยปลิวในอากาศให้พลิ้วไหว เกล็ดหิมะตกลงบนใบหน้าของเจ้ารู่เก๋อ ก่อนจะละลายกลายเป็นหยดน้ำด้วยอุณหภูมิในร่างกาย

ดวงตาของชายหนุ่มจ้องไปยังเงาที่ยืนอยู่ในสุสานหลวง เขาเชื่อว่าจีเฉิงอวี่ไม่มีทางยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตง่ายๆ อย่างแน่นอน

แล้วก็จริงเสียด้วย ร่างนั้นค่อยๆ เดินออกมาพร้อมไม้กวาดในมือ ดวงตายังคงมืดหม่นด้วยเงาสีเทา แต่รอบนี้กลับมีแสงแห่งความหวังทอประกายอยู่ในกองเถ้าถ่านนั้น

“เจ้ามู่เฉิงรึ ตาจิ้งจองเฒ่านี่… ช่างน่ารำคาญเสียจริง”

จีเฉิงอวี่ยกไม้กวาดขึ้นพาดบ่าพลางแกะเชือกกำมะหยี่มัดผมออก ปล่อยให้ผมยาวสลายไปบนแผ่นหลัง

เจ้ารู่เก๋อมองชายหนุ่มตรงหน้าพลางยกยิ้มมุมปาก

 …

ในคืนที่เงียบสงัด ดวงจันทร์เสี้ยวสองดวงลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าสีหมึก

ณ สวนแห่งหนึ่งในนครหลวง เจ้ามู่เฉิงยืนเอามือไพล่หลัง ดวงตาดูอ่อนโยนแต่ก็ห่างเหินในเวลาเดียวกัน พลังงานในร่างกายปั่นป่วนเล็กน้อยราวกับน้ำที่กำลังไหลอยู่ในสายธาร

ทันใดนั้นร่างที่มีกลิ่นเหล้าก็ปรากฏขึ้นในสวน มาพร้อมเสียงเรอเป็นระยะ

เจ้ามู่เฉิงมุ่นคิ้วพลางหันไปหาผู้มาเยือน

“ฉางเต๋อ เจ้าดื่มอีกแล้วรึ นักบวชเดิมทีก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว เจ้านี่นับวันยิ่งห่างไกลความเป็นนักบวชเข้าไปทุกที”

“ฮี่ๆ ผู้อาวุโสสูงสุด ท่านก็รู้ว่าเหตุใดนักบวชจึงไม่ควรร่ำสุรา แต่เมื่อเหล้ากับเนื้อลงท้องแล้ว ข้าก็ไม่อาจคิดถึงสิ่งอื่นได้อีก” ฉางเต๋อพูดกับเจ้ามู่เฉิงด้วยใบหน้าแดงก่ำและกลิ่นเหล้าคลุ้ง

“เอาละ ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเมาหัวราน้ำขนาดไหน ตราบใดที่ยังทำภารกิจสำเร็จ” เจ้ามู่เฉิงขมวดคิ้วพลางถอนหายใจตอบ

หากเป็นนักบวชคนอื่นในเกาะมหายาน เขาคงตบสั่งสอนสักฉาดสองฉาด แต่ในเมื่อเป็นฉางเต๋อ… เฮ้อ

“ผู้อาวุโสสูงสุด ข้าเก็บข้อมูลมาให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ไอ้เถ้าแก่ปู้นั่น… ยอมรับว่ารู้จักมนุษย์อสรพิษพวกนี้จริง” ดวงตาของฉางเต๋อง่วงงุน เขาแทบทรงตัวให้ยืนตรงโดยไม่คะมำไปข้างหน้าไม่ไหว

ฉางเต๋อยืนพิงต้นไม้พลางเอ่ย “ไอ้เถ้าแก่ปู้นั่นบอกว่า… ‘ข้ารู้จักแล้วมันอย่างไรเล่า’ แล้วจากนี้เราจะทำอย่างไรกันต่อหรือขอรับ”

เจ้ามู่เฉิงยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้จักแล้วมันอย่างไรเล่าเช่นนั้นรึ เช่นนี้อะไรๆ ก็ง่ายขึ้นเยอะ… ปู้ฟางเอ๋ยปู้ฟาง ตาเฒ่าคนนี้อยากรู้นักว่าเจ้าจะทนเห็นคนพวกนี้ตายไปต่อหน้าต่อตาได้หรือไม่… ฮ่าๆๆ!”