บทที่ 209 ข้าวโลหิตมังกรและข้าวหน้าเนื้อ

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

บนถนนของนครหลวง ในตรอกที่เงียบสงัด

แสงอ่อนโยนของดวงจันทร์ส่องสว่างในตรอกมืดสนิท เจ้าดำนอนคว่ำอยู่ที่ทางเข้าของร้านเล็กๆ ของฟางฟาง มันหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่ากำลังหลับลึก

หน้าต่างร้านทุกบานปิดสนิท แต่กลับมีเสียงมีดกระทบเขียงดังเป็นจังหวะฉับๆ มาจากในห้องครัว

นิ้วเรียวยาวของปู้ฟางเปียกโชกด้วยน้ำ เขากำลังใช้มีดหั่นหัวไชเท้าบนเขียงด้วยจังหวะสม่ำเสมอ มีดในมือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูน่าตื่นตาตื่นใจ ปู้ฟางเดินหน้าหั่นหัวไชเท้าต่อไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอใจกับความเร็วของตนเองเท่าไรนัก

ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็หั่นหัวไชเท้าจนหมด เขาควงมีดไปมาระหว่างหว่างนิ้วจนดูเหมือนใบพัดกังหันลม

จากนั้นปู้ฟางก็เหวี่ยงมีดแล้วเก็บมันกลับเข้าไปในที่เก็บมีด

ชายหนุ่มยืดเส้นยืดสายพลางหาวออกมา ทุกครั้งที่มีเวลาเขาจะฝึกทักษะการใช้มีดและการแกะสลัก ในฐานะผู้ที่ใฝ่ฝันจะเป็นพ่อครัวเทพในโลกจินตนาการที่มีฝีมือฉกาจสกรรจ์ที่สุด เขาจะอู้ไม่ได้เป็นอันขาด เขาต้องฝึกอย่างหนักเพื่อให้ทักษะการทำครัวพื้นฐานของตนเองสมบูรณ์แบบ

ปู้ฟางเช็ดหยดน้ำออกจากมือ ดวงตาดูมีความตื่นเต้นเล็กน้อย จิตใจของเขากำลังเชื่อมต่อกับระบบเพื่อเข้าไปดูสิ่งที่อยู่ข้างใน

“ภารกิจฉุกเฉินสำเร็จ ระบบมอบรางวัลเรียบร้อยแล้ว รางวัลของภารกิจนี้คือข้าวโลหิตมังกร และความคืบหน้าด้านพลังปราณอีกร้อยละสิบ… ทำได้ดีมาก”

ปู้ฟางจึ๊ปากด้วยความสุขใจ ความคืบหน้าในการเพิ่มขั้นปราณของเขานั้นจัดว่าเร็วมาก เรียกได้ว่าเร็วเหมือนพายุเลยทีเดียวหากเทียบกับคนอื่นๆ ที่ฝึกปราณด้วยวิธีปกติ

สำหรับตัวเขา การพัฒนาขั้นปราณนั้นไม่เกี่ยวกับทักษะการต่อสู้แม้แต่น้อย เนื่องจากจุดประสงค์ในการบรรลุขั้นปราณของเขาก็เพื่อให้ได้พลังปราณเที่ยงแท้ในกายที่นิ่งกว่าเดิม เพื่อที่เขาจะได้ใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการทำอาหารได้อย่างเชี่ยวชาญ

แม้ตอนนี้ชายหนุ่มจะมีปราณอยู่ที่ระดับห้าขั้นราชันยุทธการ แต่ก็ยังใช้พลังปราณไปเกือบหมดทุกครั้งที่ทำอาหาร พลังปราณที่ใกล้จะหมดถังนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลยสำหรับชายหนุ่ม

ยิ่งไปกว่านั้นขั้นปราณที่เขามีในตอนนี้ยังยากที่จะใช้มีดทำครัวกระดูกมังกรทองเป็นเวลานานอีกด้วย…

เมื่อนึกภาพมีดทำครัวกระดูกมังกรทองหดกลับไปเป็นมีดทำครัวสีดำธรรมดาเพราะพลังปราณหมดระหว่างที่เขาออกเก็บเกี่ยววัตถุดิบในครั้งหน้า… ชายหนุ่มก็รู้สึกอายขึ้นมาแล้ว

ของขวัญที่ระบบมอบให้นั้นทำให้ปู้ฟางยิ้มออกมา เขาก้มลงเปิดตู้เก็บของด้านล่างตามที่ระบบบอก จากนั้นก็หยิบโถกระเบื้องออกมาใบหนึ่ง

โถนี้หนักพอตัวเลยทีเดียว ด้านในนั้นมีข้าวโลหิตมังกรอยู่

ปู้ฟางวางโถกระเบื้องลงบนโต๊ะจากนั้นก็หมุนฝาเพื่อเปิด กลิ่นเตะจมูกเล็กน้อยของข้าวพุ่งเข้าใส่หน้าทันที กลิ่นของวัตถุดิบใหม่นี้ไม่แย่ ทำให้รู้สึกอยากสูดเข้าปอดไปลึกๆ

ดวงตาของปู้ฟางเป็นประกายขณะมองเมล็ดข้าวอ้วนกลมภายในโถกระเบื้อง

ข้าวในโถนั้นเป็นสีแดงสด มองปราดแรกให้ความรู้สึกมืดมนหดหู่ แต่เมื่อมองไปสักพักก็จะเลิกสนใจสีแดงชาดเหมือนเลือดสดๆ ที่เรืองออกจากเมล็ดข้าว

“นี่น่ะหรือข้าวโลหิตมังกร ดูเหมือนจะคุ้มค่ากับพลังงานที่เสียไปอยู่นะ…” ปู้ฟางเม้มปากพลางใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งหยิบเมล็ดข้าวขึ้นมาเพื่อดูใกล้ๆ

“ข้าวโลหิตมังกรเติบโตขึ้นด้วยเลือดของมังกรอสรพิษอสูรเวทระดับเจ็ด เมล็ดข้าวชนิดนี้ดูดซับพลังชีวิตและพลังสารัตถะในเลือดของมังกรอสรพิษเข้าไป จนพัฒนากลายมาเป็นข้าวท่ามกลางพื้นที่ทุรกันดาร เมล็ดของมันอ้วนกลมมีสีแดงเข้ม อัดแน่นไปด้วยพลังชีวิตและพลังปราณ จัดเป็นวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยมและหาได้ยากยิ่ง” เสียงระบบบรรยายขึ้นมาอย่างเคร่งขรึมในศีรษะของชายหนุ่ม

เมื่อได้ยินดังนี้ปู้ฟางก็ชะงักไป เขาอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ที่ข้าวโลหิตมังกรนั้นมาจากเลือดของมังกรอสรพิษ ไม่ใช่มังกรที่แท้จริง ความจริงข้อนี้ทำให้ระดับคุณภาพของวัตถุดิบตรงหน้าแตกต่างจากที่คิดไว้มาก

กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดวนเวียนเรื่องนี้เป็นเวลานาน ในตอนนี้ระบบมอบวัตถุดิบระดับเจ็ดที่ดีที่สุดให้อยู่แล้ว นั่นเพราะความสามารถของเขายังจำกัดอยู่มาก หากเขาสามารถบรรลุขั้นปราณได้ในเร็ววัน ก็จะได้รับวัตถุดิบคุณภาพดีกว่านี้อย่างแน่นอน

ปู้ฟางลูบคางพลางมองโถใส่ข้าวโลหิตมังกรที่อยู่ตรงหน้า ระบบยังไม่ได้มอบสูตรอาหารล่าสุดสำหรับข้าวโลหิตมังกร ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องทดลองนำข้าวชนิดนี้มาประกอบอาหารด้วยตนเอง

เขาหยิบข้าวโลหิตมังกรขึ้นมากำหนึ่ง เมล็ดข้าวร่วงกราวผ่านร่องนิ้วตกลงไปในโถกระเบื้อง

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังปราณและพลังชีวิตที่ไหลผ่านฝ่ามือ ปู้ฟางก็ยิ้มออกมาแล้วคิดออกในที่สุด

วิธีการนำข้าวมาประกอบอาหารนั้นมีหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น ข้าวผัดไข่ซึ่งถือเป็นการนำข้าวมาทำอาหารแบบเบื้องต้นที่สุด ข้าวผัดไข่สูตรของเขานั้นทั้งง่ายและยากไปในเวลาเดียวกัน พ่อครัวธรรมดาทั่วไปสามารถเข้าใจพื้นฐานการทำอาหารจานนี้ได้ภายในไม่กี่วัน แต่การจะทำมันออกมาให้สมบูรณ์แบบที่สุดจริงๆ นั้นเรียกได้ว่ายากไม่น้อยทีเดียว

แต่ปู้ฟางไม่คิดจะใช้ข้าวโลหิตมังกรทำข้าวผัดไข่ ไม่ใช่เพราะข้าวผัดไข่เป็นอาหารสามัญ แต่เป็นเพราะเขาหา… ไข่ที่สมน้ำสมเนื้อกับข้าวโลหิตมังกรไม่ได้

การทำข้าวผัดไข่นั้นแน่นอนว่าเมล็ดข้าวที่เลือกใช้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่คุณภาพของไข่ที่ต้องใช้ควบคู่ก็ละเลยไม่ได้เช่นกัน

เขาเทข้าวโลหิตมังกรครึ่งโถลงในชามกระเบื้อง จากนั้นก็เทน้ำพลังปราณจากทะเลสาบเทือกเขาปราณสวรรค์ลงไปเพื่อซาวข้าว

สีของน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงชาดหลังจากซาวเสร็จ ข้าวโลหิตมังกรทุกเมล็ดมันวาวเป็นประกาย

จากนั้นเขาก็นำน้ำซาวข้าวไปเทใส่กระถางของต้นตื่นรู้ทางห้าสาย เนื่องจากน้ำนี้น่าจะช่วยบำรุงให้ต้นไม้เจริญงอกงามได้เป็นอย่างดี

ปู้ฟางเดินกลับเข้าครัวแล้วเทข้าวโลหิตมังกรลงในซึ้ง จากนั้นก็นำไปใส่หม้อโลหะบนเตาเพื่อเริ่มหุง

ระหว่างที่รอให้ข้าวหุงสุก ชายหนุ่มก็เริ่มเตรียมวัตถุดิบอื่น แล้วหยิบส่วนที่อุดมไปด้วยไขมันของเนื้อวัวมังกรพเนจรออกมา เขาเรียกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองออกมาพร้อมกลุ่มควันสีเขียว ควงมีดเป็นวงกลมขณะเริ่มหั่นเนื้อวัวให้เป็นลูกเต๋า

เขาติดเตา ตั้งกระทะให้ร้อนแล้วเทน้ำมันลงไป จากนั้นก็เริ่มปรุงรสอาหารและผัดส่วนผสมในกระทะจนหอมฟุ้งไปทั่วครัว

ชายหนุ่มใส่เนื้อวัวมังกรพเนจรลงในกระทะ แล้วปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ลงไปโอบอุ้มกระทะโลหะเอาไว้เพื่อเริ่มผัดเนื้อ ไฟที่ใช้นั้นแรงมากและน้ำมันก็กระเด็นไปถูกทิศทางทุกครั้งที่ชายหนุ่มสะบัดกระทะ

เสียงตะหลิวกระทบกระทะดังก้องไปทั่วร้าน

ไม่นานนักกลิ่นเนื้อก็ลอยฟุ้งไปทั่วร้านเล็กๆ ของฟางฟาง

ปู้ฟางฟ่างเทน้ำผสมแป้งข้าวโพดลงไปในกระทะ พลันเนื้อวัวมังกรพเนจรที่เป็นสีชมพูอ่อนมันวาวก็สั่นแล้วส่งเสียงฉ่าออกมา น้ำขลุกขลิกหอมฟุ้งเริ่มเดือดปุดอยู่ในกระทะ

เขาปิดฝากระทะเพื่อตุ๋นเนื้อวัวมังกรพเนจร

ระหว่างรอชายหนุ่มก็หยิบจานทรงกลมออกมาพร้อมหัวไชเท้า เขาควงมีดแล้วแกะสลักหัวไชเท้าให้เป็นดอกไม้หน้าตาประณีต

ตอนนี้การแกะสลักดอกไม้สำหรับปู้ฟางเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก

ชายหนุ่มวางดอกไม้ลงในจานกลม จากนั้นก็เดินไปที่หม้อโลหะซึ่งเริ่มมีกลิ่นหอมของข้าวฟุ้งกระจายออกมา

เขาเปิดฝาหม้อออก ไอน้ำขาวกระจายไปทั่ว ทำให้พลังชีวิตและกลิ่นหอมเข้มข้นพุ่งเข้าปะทะใบหน้า

ปู้ฟางสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกเมามายเล็กน้อย กลิ่นข้าวที่ลอยมาเข้าจมูกนั้นมีความหวานสดชื่น ทำให้ร่างกายเย็นสบายผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด

เขาตักข้าวโลหิตมังกรทองที่สุกกำลังพอดีมาใส่ตรงกลางจานกลม ข้าวโลหิตมังกรทองสีแดงเรื่อมันวาวกินพื้นที่ไปกว่าครึ่งของจาน กลิ่นหอมสดชื่นทำให้ใครก็ตามที่ได้กลิ่นต่างรู้สึกหิวขึ้นมาทันที

พอหุงข้าวเสร็จ ปู้ฟางก็หันกลับไปสนใจกระทะที่ส่งเสียงเดือดปุดและมีกลิ่นเนื้อลอยล่องออกมา

ชายหนุ่มปิดเตาพลางเปิดฝากระทะ ควันร้อนสีขาวพุ่งออกมาพร้อมลูกระเบิดกลิ่นเนื้อที่เข้ามาปะทะใบหน้า

น้ำซอสเหนียวข้นในกระทะเดือดปุด เนื้อวัวมังกรพเนจรหอมฉุยมันเป็นประกายชุ่มโชกไปด้วยน้ำซอสนั้น

ปู้ฟางพลิกกระทะอีกครั้งอย่างชำนาญ ก่อนจะใช้ช้อนตักเนื้อวัวมังกรพเนจรออกจากกระทะ แล้วค่อยๆ วางเนื้อลงตรงที่ว่างข้างๆ ข้าวโลหิตมังกร กลิ่นข้าวและเนื้อที่ผสานกันเป็นหนึ่งเดียวหอมมากเสียจนทำให้นึกถึงอาหารชนิดอื่นไม่ออกเลยทีเดียว

น้ำซอสข้นที่ชายหนุ่มเทลงบนข้าวโลหิตมังกรและเนื้อวัวมังกรพเนจรไหลลงจานพร้อมไอร้อนฉ่า

น้ำซอสข้นแทบเรืองแสงสว่างเจิดจ้าภายใต้แสงไฟ เนื้อวัวมังกรพเนจรในน้ำซอสสั่นไหวจากไอร้อนที่เข้ามากระทบ น้ำซอสไหลเข้าไปในช่องระหว่างเมล็ดข้าวโลหิตมังกร ทำให้กลิ่นที่ถูกกักเก็บอยู่ภายในเข้มข้นขึ้น

ปู้ฟางดีดนิ้วพลางยิ้มออกมา อาหารซึ่งมีขั้นตอนการทำที่ทั้งเรียบง่ายและยากเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

“ข้าวโลหิตมังกรหน้าเนื้อ สำเร็จ”