บทที่ 210 รีบไปแต่ไก่โห่เล่า มิเช่นนั้นแถวจะยาว

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ณ ท้องพระโรงของพระราชวังแห่งนครหลวง

จีเฉิงเสวี่ยสวมชุดจักรพรรดิเต็มยศ เอามือไพล่หลังพร้อมหยีตาเล็ก ริมฝีปากยิ้มกว้างอย่างมีความสุขขณะเดินอยู่ในท้องพระโรง

ชายหนุ่มมีความสุขเป็นอย่างมากเนื่องจากได้กินอาหารฝีมือเถ้าแก่ปู้หลังจากที่รอมาเป็นเวลานาน เมื่อท้องอิ่ม จิตใจก็ชื่นมื่นขึ้นเป็นเงาตามตัว ความจริงตอนนี้จักรพรรดิหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังเหาะเหินเดินอากาศอยู่ด้วยซ้ำ

บรรดาขันทีในท้องพระโรงเมื่อเห็นจักรพรรดิเดินไปเดินมาด้วยความสุขใจก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

ตอนนี้จีเฉิงเสวี่ยเป็นผู้ปกครองสูงสุดของอาณาจักรแล้ว แปลว่าเขาจะต้องสำรวมท่าทีและวาจาให้สุขุมอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์แทนบิดา ท่าทางของเขาในตอนนี้จึงเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากยิ่ง จนทำให้บรรดาขันทีต่างรู้สึกขบขันจนอดยิ้มออกมาไม่ได้

จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป หลังจากที่ก้าวเดินไปอีกสองสามก้าว เขาก็มุ่นคิ้วพลางหันไปเห็นขันทีที่กำลังปิดปากยิ้มขำกันอยู่ ชายหนุ่มชะงักค้างทันที พลันรู้สึกตัวขึ้นมาว่าก่อนหน้านี้ตนเองอาจทำท่าทำทางอะไรให้บรรดาขันทีรู้สึกขบขันก็เป็นได้

ใบหน้าของจีเฉิงเสวี่ยพลันเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน เขากระแอมกระไอเบาๆ ดึงสีหน้าให้กลับมาสุขุมอีกครั้งพลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเจ้าหัวเราะคิกคักอะไรกัน ไม่เคยเห็นข้าเดินย่อยหลังจากกินอาหารหรือ”

พอได้ยินดังนั้นบรรดาขันทีก็ก้มหัวลง หยุดหัวเราะทันที

แต่จีเฉิงเสวี่ยกลับอดหัวเราะออกมาเองไม่ได้ เนื่องจากเขาอารมณ์ดีมากในคืนนี้

จักรพรรดิหนุ่มเดินไปหยุดอยู่หน้าบัลลังก์ จากนั้นก็สะบัดชายชุดคลุมขึ้นพลางนั่งลง

ทันใดนั้นเงาหนึ่งก็พุ่งตรงตัดท้องพระโรงมาด้วยความเร็วเหมือนสายฟ้า แล้วมาปรากฏตัวคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าจักรพรรดิหนุ่ม จีเฉิงเสวี่ยตกใจเล็กน้อยจนต้องกระแอมกระไอออกมา

“ข้าน้อยขอรายงานองค์จักรพรรดิ เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นที่สุสานหลวง จีเฉิงอวี่หายตัวไป ค้นหาอย่างไรก็ไม่เจอตัวขอรับ”

ผู้ส่งสาสน์ที่คุกเข่าอยู่ในท้องพระโรงรายงานสถานการณ์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ว่ากระไรนะ!

ความสุขบนใบหน้าจีเฉิงเสวี่ยพลันหายวับไปกับตา ราชโองการของจักรพรรดิฉางเฟิ่งออกคำสั่งลดยศจีเฉิงอวี่แล้วให้ไปทำหน้าที่เฝ้าสุสานหลวง แต่อีกฝ่ายกลับกล้าหลบหนีไปโดยพลการเสียได้ ทว่าพลังปราณของเขาถูกสะกดไว้มิใช่รึ เหตุใดจึงยังหนีไปได้อีก

เหลียนฟู่เองก็รีบพุ่งเข้าท้องพระโรงมาเช่นกัน เขาจีบนิ้ว บิดเอว ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังเป็นอันมาก

“ข้าจากมาไม่กี่วัน ราชาอวี่ก็ถูกนำตัวไปแล้วรึ หรือว่าจะเป็นการก่อเหตุที่เตรียมการไว้ล่วงหน้ากัน” เหลียนฟู่มุ่นคิ้ว

จีเฉิงเสวี่ยขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ในใจรู้สึกร้อนรนขึ้นมา สถานการณ์ในวังหลวงตอนนี้จัดว่าล่อแหลมเป็นอันมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงสั่งให้เหลียนฟู่กลับมาจากสุสานหลวงโดยไม่ได้คาดคิดแม้แต่น้อยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

“การหลบหนีออกจากสุสานหลวงนั้นแปลว่าจงใจละเมิดพระราชโองการของจักรพรรดิองค์ก่อน ทุกคนล้วนคิดว่าราชาอวี่หมดความทะเยอทะยานจะก่อกบฏแล้ว แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย เขายังกล้าหนีไปอีก หากข้าเจอตัวราชาอวี่ ข้าจะนำเขากลับมาชดใช้ความผิดฐานหลู่เกียรติของจักรพรรดิองค์ก่อนให้จงได้” เหลียนฟู่สะบัดแขนเสื้อพลางจีบนิ้วเข้าหากัน เสียงของชายชราเย็นเยียบด้วยโทสะ

จีเฉิงเสวี่ยถอนใจ หรือราชาอวี่อยากจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งจึงหนีออกจากสุสานหลวงไปก่อการ แต่เขาถูกจักรพรรดิองค์ก่อนใช้วงแหวนปราณมังกรสะกดพลังปราณเอาไว้มิใช่หรือ แม้แต่ขั้นนักพรตยุทธการทั่วไปยังทำลายผนึกนั่นไม่ได้ แล้ว… คนธรรมดาที่ไม่มีพลังปราณเช่นนั้นจะทำได้อย่างไร

“ข้าไว้ชีวิตเจ้าเพราะเห็นแก่ท่านพ่อ หวังว่าเจ้าจะไม่ตัดสินใจทำอะไรเบาปัญญานะ…” จีเฉิงเสวี่ยกำหมัดแน่น ดวงตาแข็งกระด้างขณะพึมพำแผ่วเบา

  …

ปู้ฟางเดินถือจานกลมออกจากครัวมาวางลงบนโต๊ะ หลังจากที่ล้างมือเสร็จเรียบร้อยชายหนุ่มก็นั่งลงด้วยความตื่นเต้น

จานตรงหน้าใหญ่พอสมควรเลยทีเดียว บนจานบรรจุข้าวหน้าเนื้อที่ทำจากข้าวโลหิตมังกรเอาไว้

ข้าวโลหิตมังกรหน้าเนื้อทำจากข้าวโลหิตมังกรและเนื้อสันนอกที่เต็มไปด้วยไขมันของวัวมังกรพเนจรอสูรเวทระดับเจ็ด แค่วัตถุดิบก็น่าสนใจแล้ว

ไอน้ำขาวร้อนฉ่าลอยออกจากอาหาร เข้มข้นไปด้วยกลิ่นที่ไม่จางหายของเนื้อและข้าวซึ่งสุกกำลังดี

ปู้ฟางหยิบช้อนกระเบื้องสีฟ้าขาวออกมาตักข้าวโลหิตมังกรจนพูน เมล็ดข้าวอ้วนกลมดูชุ่มชื้นด้วยไอกรุ่น สีแดงเรื่อของข้าวดูเตะตาเป็นอันมาก แม้ข้าวโลหิตมังกรจะเติบโตมาด้วยเลือดของมังกร แต่กลับไม่มีกลิ่นประหลาดเลยแม้แต่น้อย กลิ่นที่ออกมานั้นเป็นกลิ่นหอมของข้าวขาวหุงสุกอย่างชัดเจน

กลิ่นหอมสดชื่นเหมือนน้ำนมขาวสะอาดไหลรินลงสู่หัวใจ พรั่งพร้อมด้วยความหวานที่ระเบิดอยู่ภายใน

หลังจากที่กินข้าวโลหิตมังกรเข้าไปเต็มคำ ปู้ฟางก็เลิกคิ้วขึ้น เขาเคี้ยวเล็กน้อย แล้วพบว่าเมล็ดข้าวนั้นกระเด้งกระดอนอยู่ระหว่างฟันกับลิ้น

ข้าวโลหิตมังกรนั้นเหนียวนุ่มกว่าข้าวขาวธรรมดาทั่วไป ทำให้ต้องออกแรงเคี้ยวมากกว่า ความรู้สึกที่เมล็ดข้าวกระเด็นกระดอนอยู่ภายในช่องปากนั้นช่างดีเกินบรรยาย

ทันทีที่ข้าวเข้าปาก พลังปราณสารัตถะของข้าวก็ระเบิดจากภายในแล้วกระจายออกจากปากของปู้ฟาง หลั่งไหลเข้าไปในทุกส่วนของร่างกายชายหนุ่ม

แม้พลังปราณสารัตถะนี้จะเทียบไม่ได้กับมงกุฎเลือดของงูเหลือมมงกุฎเลือดทมิฬ แต่ก็ยังจัดว่าใช้ได้

ชายหนุ่มตักน้ำซอสที่ทำจากเนื้อวัวมังกรพเนจรเข้าปาก น้ำซอสอุ่นๆ ผสมรวมกับข้าวโลหิตมังกรภายในปาก เนื้อวัวมังกรพเนจรนุ่มเหนียวทำให้ปู้ฟางรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว

ชายหนุ่มพ่นไอร้อนจี๋ออกจากปากที่สั่นเทา

แต่ความร้อนจนลวกปากก็ถือเป็นเสน่ห์ในการกินข้าวหน้าเนื้อ ความร้อนระอุของอาหารเป็นสิ่งที่น่าหลงใหล กลิ่นหอมเข้มข้นฟุ้งกระจายอยู่ภายในปาก ทำให้รู้สึกทั้งอยากกลืนและไม่อยากกลืนลงท้องไปในเวลาเดียวกัน ช่างเป็นความรู้สึกที่… ยอดเยี่ยมเกินบรรยายอะไรเช่นนี้!

ปู้ฟางรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเดินล่องลอยอยู่ในอากาศ ช่างเป็นความรู้สึกแสนประหลาดที่ทำให้สุขใจล้นเหลือ หลังจากที่กลืนข้าวโลหิตมังกรชุ่มโชกด้วยน้ำซอสลงท้องไป ชายหนุ่มก็รู้สึกผ่อนคลายจนรูขุมขนทั้งร่างเปิดออก

“ยอดเยี่ยม!” ปู้ฟางพ่นลมร้อนออกจากปาก ในใจรู้สึกผ่อนคลายเป็นอันมากหลังจากที่ได้กินข้าวหน้าเนื้อร้อนฉ่าเข้าไปหนึ่งคำ

เขาเลียริมฝีปาก แล้วก็พบว่าลิ้นของตนยังคงชาจากความร้อนของข้าวและเนื้ออยู่

“ความจริงแล้วซอสจากเนื้อวัวมังกรพเนจรจะอร่อยกว่านี้หากเติมพริกป่นลงไปเล็กน้อย” ปู้ฟางพึมพำขณะส่งอาหารพูนช้อนเข้าปากอีกคำหนึ่ง

แต่ตัวชายหนุ่มนั้นไม่ค่อยชอบพริกป่นนัก อาหารที่เขาทำส่วนมากไม่ค่อยเผ็ด แม้พริกป่นจะเป็นเครื่องปรุงรสที่ยอดเยี่ยมก็ตามที

“เอาเป็นว่าต่อจากนี้จะปรับรสชาติอาหารตามความชอบของลูกค้าก็แล้วกัน” ปู้ฟางยิ้ม เขามีพริกป่นให้เลือกใช้เต็มไปหมด แถมยังมีซอสพริกอเวจีอยู่ในกระเป๋าด้วย

ชายหนุ่มเลิกคิดเรื่องนี้แล้วตั้งหน้าตั้งตากินข้าวหน้าเนื้อต่อไป เขารู้สึกสุขใจเป็นอันมาก ยกมือป้องปากเป็นบางครั้งขณะผ่อนลมร้อนออกจากปาก

นี่เป็นประสบการณ์ความสุขและความทรมานใจที่ผสานกันอย่างลงตัว แต่เนื่องจากอาหารจานนี้ช่างเลิศรสนักชายหนุ่มจึงอดใจไม่ได้และกินเข้าไปจนหมดจาน

พอกินข้าวหน้าเนื้อหมด หน้าผากของชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยเหงื่อ

ปู้ฟางลูบพุงยื่นๆ ของตนแล้วขดตัวลงบนเก้าอี้ เขารู้สึกขี้เกียจมากจนไม่อยากแม้แต่จะขยับตัว

หลังจากนั่งแช่อยู่เป็นเวลานาน ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจัดการเก็บกวาดพลางเดินกลับเข้าครัวไป อาหารจานนี้ถือเป็นอาหารรายการใหม่ได้เลยทีเดียว และตัวเขาเองก็ชื่นชอบมากเสียด้วย

ข้าวโลหิตมังกรหน้าเนื้อ อุดมทั้งคุณค่าทางอาหารแล้วยังอร่อยเหลือ

หลังเก็บกวาดเสร็จปู้ฟางก็ยืดตัวพลางหาวออกมา ชายหนุ่มเดินขึ้นชั้นสองไปอาบน้ำร้อน เสร็จแล้วก็นอนลงบนเตียง หลับตาลงในที่สุด

หลังจากที่ทั้งดื่มและกินจนอิ่มแปล้ ก็ได้เวลานอนเพื่อฟื้นพลังแล้ว

เช้าวันต่อมา ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าทอแสงสว่างเจิดจ้า โอบอุ้มพื้นโลกด้วยประกายแสนอบอุ่น

ร้านเล็กๆ ของฟางฟางในตรอกเองก็เปิดทำการแล้วเช่นกัน หน้าต่างประตูทุกบานถูกเปิดออกจนหมด เผยให้เห็นดวงตาง่วงงุนของชายหนุ่มเจ้าของร้าน

นิ้วเรียวยาวของเขากุมจานกระเบื้องเอาไว้ ภายในมีซี่โครงเปรี้ยวหวานหอมกรุ่น

ปู้ฟางลูบหัวเจ้าดำจากนั้นก็วางจานซี่โครงเปรี้ยวหวานลงตรงหน้ามัน เขาหาวออกมาพลางลากเก้าอี้มานั่งตากลมอยู่หน้าร้าน

บนถนนของนครหลวง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายก็เริ่มเปิดร้านแต่เช้าเช่นกัน

กลุ่มชายในชุดดำแบกเกี้ยวมาหยุดอยู่ตรงหน้าตรอก

เงาหนึ่งปรากฏตรงหน้าเกี้ยว ร่างนั้นมีผ้าสีดำปกปิดใบหน้าอยู่ ทั้งยังสวมชุดเกราะสีดำเช่นกัน ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้ผู้ใดล่วงรู้…

แต่บนศีรษะของเขากลับมีแผลเป็น… ที่ดูเตะตาอยู่มากมาย หากปู้ฟางได้มาเห็นคงรู้ทันทีว่าชายผู้นี้เป็นใคร

นักบวชหนุ่มเปิดม่านของเกี้ยวออก พลางใช้มือข้างเดียวลางร่างหนึ่งออกมา

“ไอ้เวรเจ้ามู่เฉิงนี่ บังอาจมาทำให้ข้าไม่ได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม แถมให้ข้ามาทำงานบ้าบอไร้สมองอะไรนี่แต่เช้า” เขาสบถออกมาพลางเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว มือเหวี่ยงร่างที่จับเอาไว้ลงบนพื้น ฉางเต๋อปรายตามองร่างนั้นพลางกระทืบเท้าลงบนหางงู พร้อมก้มตัวลงข่มขู่ “ฟังให้ดีไอ้งูบ้า หากอยากช่วยสหายของเจ้าก็จงไปหาเถ้าแก่ปู้เสีย แล้วอย่าบอกเล่าว่าข้ามาส่ง…”

อาหนี่นอนดิ้นอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ชายหัวโล้นอย่างโกรธเกรี้ยว

“รีบไปแต่ไก่โห่เล่า มิเช่นนั้นแถวจะยาว…” ฉางเต๋อระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพลางลูบศีรษะโล้นของตน จากนั้นเขาก็หันหลังกลับเตรียมตัวจากไปพร้อมคนแบกเกี้ยว ทิ้งอาหนี่ที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยโทสะเอาไว้บนพื้น