เสียงของเฉินจื่ออวี้ดังมาแต่ไกล “มาให้ข้าปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายในตัวออกไปเร็วเข้า เจ้าเอาแต่นอนอยู่ในนั้น ข้าละใช้พลังสมองจนแทบระเบิด วิ่งจนขาแทบหลุดแล้วยังโดนรุมทุบตีเสียน่วม รีบมายืนให้ดีๆ เลย…”
ทุกคนพร้อมใจกันส่งเสียงหัวเราะร่า
ได้ยินเพียงหลี่หมิงอวินกล่าวเชิงหยอกล้อ “เช่นนั้นลองเจ้าเข้าไปนอนอยู่ในนั้นบ้างสิ เดี๋ยวข้าวิ่งขาขวิดแทนเจ้าเอง…”
“ข้าขอบคุณสำหรับความหวังดีของเจ้าด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องมาให้ปัดเป่าด้วยกิ่งลูกท้อนี่เสียดีๆ…”
“ไอหยา เจ้าเบาๆ หน่อยสิ แค่พอเป็นพิธีก็พอแล้ว…”
“ข้ามกระถางไฟ ข้ามกระถางไฟ…” พี่ใหญ่กล่าวเร่งเร้า
“ยังต้องข้ามอีกหรือ! นี่ก็ข้ามไปไม่รู้กี่กระถางไฟแล้วนะขอรับ”
“ผ่านประตูหนึ่ง ข้ามหนึ่งกระถางไฟ จะตกหล่นไปมิได้แม้แต่กระถางเดียว” เยี่ยซือเฉิงกล่าว
“วุ่นวายเสียจริง…” หลี่หมิงอวินบ่นอุบอิบ
หนิงซิ่งกล่าวด้วยเสียงดัง “เดี๋ยวกลางคืนเจ้าจะเข้าประตูของพี่สะใภ้ก็ยังต้องข้ามอีกหนึ่งกระถางไฟ…”
ทุกคนพากันส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง
หลินหลันหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย โชคดีที่ตนเองไม่อยู่ ณ ตรงนั้น มิเช่นนั้นคงถึงขั้นต้องหาปี๊บมาคุมหัวกันเลยทีเดียว หนิงซิ่งเจ้าหนุ่มน้อยพิเรนทร์ ระวังเถอะข้าจะคว่ำกระถางไฟไปไว้บนศีรษะเจ้า
หยินหลิ่วแอบหัวเราะ “เห็นทีว่าเอ้อร์เส้าเหยียจะถูกพวกเขาหยอกล้อกันหนักทีเดียวเชียวนะเจ้าคะ”
จิ่นซิ่ววิ่งเข้ามาในลานบ้าน แล้วกล่าวด้วยเสียงดัง “เอ้อร์เส้าหน่ายนายมาแล้วเจ้าค่า”
ภายในลานบ้านเป็นอันเงียบสงัดลงทันที หลินหลันนึกกล่าวโทษจิ่นซิ่วที่ช่างปากไวเสียเหลือเกิน ยามนี้พวกเขากำลังครึกครื้นได้ที่ นางยังอยากรอให้พวกเขาสนุกกันให้พอก่อนแล้วค่อยเข้าไป ครานี้จะทำอย่างไรได้ แม้ไม่อยากเข้าก็ต้องเข้าไปเสียแล้ว
หลินหลันก้าวเดินเข้าสู่พื้นที่ลานบ้าน เห็นหลี่หมิงอวินมองมาที่นางด้วยรอยยิ้มเบิกบาน รวมไปถึงหนุ่มๆ ทั้งหลายล้วนมองมาที่นางด้วยรอยยิ้มระรื่น นี่ยิ่งทำให้นางเขินอายจนเกินบรรยาย เดิมจินตนาการว่าการพบเจอกันอีกครั้งหลังแยกจากของสามีภรรยามันควรเป็นการได้สบตามองกันอย่างลึกซึ้ง ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันและกันตามลำพังหรือได้วิ่งโอบกอดกันทั้งน้ำตานองหน้า มันไม่ควรเป็นสถานการณ์เยี่ยงนี้สิ นี่มันไร้ศิลปะและชวนหมดอารมณ์เกินไปแล้ว
หลินหลันยังคงคิดไม่ตกว่าตนเองควรร้องไห้หรือควรยิ้ม ควรกล่าวว่า ยินดีต้อนรับกลับบ้าน หรือจะกล่าวว่า เจ้ากลับมาแล้วหรือ ดีล่ะ เฉินจื่ออวี้ที่ยืนข้างหลี่หมิงอวินกลับยื่นมือผลักหมิงอวินหนึ่งทีแล้วกล่าวเชิงหยอกล้อ “เมื่อครู่ยังรู้จักพูดมากอยู่เลย พอเห็นพี่สะใภ้กลายเป็นไม่มีปากพูดขึ้นมาเสียแล้วหรือ”
หลี่หมิงอวินคาดไม่ถึงว่าจะถูกคนเขาออกแรงผลักจึงเสียหลักจนเกือบล้มคะมำ อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปจ้องเขม็งใส่เฉินจื่ออวี้พลางนึกตำหนิอยู่ในใจ เจ้าหนุ่มน้อยพิเรนทร์คนนี้ ฝากไว้ก่อนเถอะ รอวันที่เจ้าแต่งงาน ข้าจะหยอกล้อเจ้าให้อลหม่านจนทำอะไรไม่ถูกเลยคอยดูเถอะ
เฉินจื่ออวี้เลิกคิ้วแล้วกล่าวเสียงดังฟังชัดอย่างไม่สะทกสะท้าน “ไอหยา! ที่แท้คงรังเกียจพวกเราที่อยู่เกะกะตรงนี้สินะขอรับ เช่นนั้น…พวกเรารู้งานกันหน่อย รีบแยกย้ายกันไปได้แล้ว ไปกันๆ”
ทุกคนพร้อมใจส่งเสียงหัวเราะก่อนถอยหายกันไปจนหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งระดับความเร็วที่ว่านี้เทียบได้กับหนูมุดกลับเข้ารูก็ว่าได้ หลินหลันมองเห็นพี่ชายที่พ้นประตูไปเป็นคนสุดท้ายยังไม่ลืมช่วยปิดบานประตูปีกตะวันออกให้อย่างดิบดีด้วยความรอบคอบ
ทันใดนั้น ภายในลานบ้านจึงเหลือเพียงนางกับหมิงอวินเท่านั้น
หลี่หมิงอวินกำมือหลวมจ่อบริเวณริมฝีปากแล้วส่งเสียงกระแอมก่อนเดินมุ่งเข้าไปหาหลินหลัน ทว่าดวงตาทั้งสองยังคงชำเลืองมองเรือนปีกตะวันตกและปีกตะวันออกอย่างระแวดระวัง เพราะไม่แน่ว่าสหายกลุ่มนี้กำลังแอบรับชมละครดีๆ ผ่านช่องประตูอยู่ก็เป็นได้
เมื่อเดินมาถึงเบื้องหน้าหลินหลัน หลี่หมิงอวินจึงถอนสายตาที่มองดูด้านตะวันออกและตะวันตกหันมาจดจ่อที่หลินหลัน เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาสดใสเคลือบไว้ด้วยแสงแห่งความอ่อนโยน ดวงหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาข้างใบหูหลินหลันตามด้วยเสียงพูดบางเบาอย่างมีความสุข “หลันเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”
หลินหลันเบิกตาโต นางไม่ใช่คนตาบอดเสียหน่อย คนทั้งคนยืนอยู่เบื้องหน้าเช่นนี้แล้วมีหรือจะไม่รู้ว่าเขากลับมาแล้ว โชคดีที่เขาถือว่าเป็นบุรุษรูปงามผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมจึงดูไม่แย่ที่จะพูดอะไรเช่นนี้ออกมา
ขณะเตรียมพูดประโยคที่ว่า เจ้าเป็นใครกัน ข้าไม่รู้จักคนประเภทเจ้า สวนกลับไป กลับได้ยินเสียงอ่อนโยนของเขาที่บางเบาจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบดังขึ้นข้างใบหู “หลันเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน…”
ยังคงเป็นคำพูดที่ดูไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลย แต่เมื่อมองดูนัยน์ตาอ่อนโยนของเขาคล้ายกับปรากฏหยาดน้ำสีใสเอ่อคลอ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อๆ ทันใดนั้นรอบดวงตาก็สัมผัสถึงความเปียกชื้น หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่ไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ความคิดคะนึง ความเศร้าเสียใจ ความเป็นห่วงที่ก่อตัวมาเป็นเวลานาน ความเกรงกลัวว่าความรู้สึกต่างๆ นานาจะปะทุออกมาเสมือนสายน้ำไหลเชี่ยว และท้ายที่สุดนางก็ไม่อาจหักห้ามได้
หลี่หมิงอวินใจหายเมื่อเห็นนางปล่อยน้ำตาไหลรินออกมาอย่างหนัก ชั่วขณะหนึ่งที่เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก สองสามเดือนมาแล้วที่ไม่ได้ปลอบประโลมนาง จึงรู้สึกไม่คุ้นเคยเล็กน้อย หลังตะลึงงันไปชั่ววูบ เขารั้งนางเข้ามาโอบกอดไว้แนบแน่น ปล่อยให้นางได้ร้องไห้บนบ่าของเขา นำความเศร้าโศกเสียใจทั้งหมดร้องไห้ออกมาให้หมด
“หลันเอ๋อร์ เป็นข้าเองที่ไม่ดี เป็นข้าเองที่ไม่คิดให้รอบคอบ จึงทำให้เจ้าทุกข์ระทมมากมายเพียงนี้ เป็นข้าเองที่ไม่ดี ข้าสาบานว่าหลังจากนี้จะไม่แยกจากเจ้าไปไหนอีก หลังจากนี้ไม่ว่าทำอันใดก็จะคิดถึงเจ้าเป็นอันดับแรก” หลี่หมิงอวินปลอบประโลมเสียงบางเบาด้วยหัวใจที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง
หลินหลันส่งเสียงร้องไห้กระซิกบนหน้าบ่าของเขา นางไม่เคยนึกกล่าวโทษอะไรเขาทั้งสิ้น เขาทำในเรื่องที่ควรกระทำ เรื่องบางเรื่อง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ นั่นจึงไม่ใช่ความผิดของเขา ที่ผิดคือบิดาผู้ไร้ยางอาย ที่ผิดคือนางฮาน นางเพียงแค่ปวดใจ ปวดใจที่เห็นเขาได้รับความทุกข์
ผู้ที่เกาะประตูแอบชมละครดีๆ ผ่านช่องระหว่างบานประตูในห้องปีกข้างทั้งสองด้าน เมื่อเห็นพวกเขาโอบกอดกันร้องไห้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งตามๆ กัน เฉินจื่ออวี้ถอนหายใจแล้วกล่าวด้วยความรู้สึกหดหู่ “พี่สะใภ้คงเป็นทุกข์ไม่น้อยเลย”
เยี่ยซือเฉิงกล่าวขึ้นมาเช่นกัน “หมิงอวินได้แต่งงานกับน้องสะใภ้คนนี้ ถือว่าเป็นความโชคดีใหญ่หลวงจริงๆ”
หนิงซิ่งกลับกระชับหมัดแน่นและกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “หากข้าอยู่ในเมืองหลวง ข้าจะพากองกำลังคนไปเก็บกวาดตัวปัญหาของตระกูลฉินให้สิ้นซาก”
เฉินจื่ออวี้ชำเลืองตามองเขา “ว่าเจ้าบ้าบิ่น มีความกล้าแต่ไร้ซึ่งแผนการใดๆ เจ้าก็ยังไม่ยอมรับ ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอย่างเจ้าไปสู้รบจนเอาชัยชนะมาได้อย่างไร หัดเรียนรู้แบบพี่รองของเจ้าอย่างข้าบ้าง ไม่เปลืองทหารสักคนก็เล่นงานตระกูลฉินจนวุ่นวายอลหม่านใหญ่โตได้”
หนิงซิ่งจ้องเขม็งกลับไป “ก็เจ้ามันมีสมองนี่”
“ชู่…อย่าเสียงดัง เดี๋ยวพวกเขาก็รู้ตัวหรอก” หลินเฟิงกล่าว
ทั้งสองจึงสงบปากสงบคำทันทีแล้วหันไปเกาะช่องระหว่างประตูอีกครั้ง ปรากฏว่าด้านนอกกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ใดเสียแล้ว
เมื่อด้านนอกมีลมพัด หลี่หมิงอวินจึงโอบกอดหลินหลันเดินเข้าไปในบ้าน เพื่อจะได้ไม่ตากลมจนไม่สบายเอาได้
หลี่หมิงอวินประคองนางนั่งลงแล้วจึงไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาช่วยเช็ดหน้าให้นางพลางกล่าวปลอบโยน “อย่าร้องไห้อีกเลย ขืนร้องไห้ต่อไปดวงตาเจ้าคงได้บวมเป่งเป็นแน่”
หลินหลันดึงผ้าเช็ดหน้ามาไว้แล้วกุมใบหน้า นางกล่าวทั้งเสียงสะอึกสะอื้น “เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้ากลัวมากเพียงใด ข้าต้องคอยตั้งรับอะไรต่อมิอะไรทั้งวัน ต้องคิดหาวิธีต่อกรกับไท่โฮ่วหญิงชราจอมชั่วร้าย และกลัวว่าหากประมาทไปแม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องเสียเจ้าไป…”
หลี่หมิงอวินรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างรุนแรง เขาโอบกอดนางแล้วตบมือลงบนแผ่นหลังของนางอย่างเบามือขณะกล่าวด้วยเสียงบางเบา “ข้ารู้ ข้ารู้ทั้งนั้น ยังดีที่ทั้งหมดมันผ่านพ้นไปแล้ว มิเป็นไรแล้วละ เจ้าไม่มีทางสูญเสียข้าไป ไม่มีทาง” จริงๆ แล้วเขาเองก็รู้สึกกลัวไม่น้อยไปกว่านาง ที่ทำให้เขายิ่งทุกข์ระทมก็คือ ทั้งๆ ที่เห็นความเลวร้ายแต่กลับไม่อาจทำอันใดได้ สิ่งเหล่านี้ที่กัดกินมันทำให้เขาแทบเป็นบ้า
“ทว่าเจ้ายังต้องไปหลางซานอีก ข้าได้ยินว่าการไปปฏิบัติหน้าที่ครานี้มันอันตรายอย่างยิ่ง” หลินหลันกล่าวทั้งเสียงสะอึกสะอื้น
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “แค่ดูเหมือนอันตรายก็เท่านั้น มิได้มีอันใดน่าเป็นกังวลแต่อย่างใด การไปเป็นทูตในครั้งนี้ ฮ่องเต้ทรงพระราชทานกองกำลังทหารห้าพันนายให้ข้าเป็นผู้นำทัพไป เพื่อข้าจะได้ปลอดภัย เจ้าลองเดาสิว่าฮ่องเต้ประทานผู้ใดให้ร่วมทางไปกับข้า”
หลินหลันตกตะลึงจนลืมร้องห่มร้องไห้ “หรือว่าเป็น…หนิงซิ่ง?”
หลี่หมิงอวินบีบปลายจมูกของนางที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อจากการร้องไห้ กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เจ้าอย่าได้ฉลาดเฉลียวอะไรเพียงนี้ได้หรือไม่”
หลินหลันกล่าวด้วยความดีใจ “จริงหรือ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าจริงจัง “ครานี้เจ้าคงวางใจได้แล้วสินะ”
หลินหลันปาดน้ำตาทิ้งและกล่าวขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว “มิได้ ข้ายังไม่วางใจ เจ้าเอ่ยว่าจะไม่แยกจากข้าอีกแล้ว ฉะนั้นข้าต้องการไปกับเจ้าด้วย”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “เจ้าเป็นสตรีตัวเล็กๆ จะไปสถานที่เช่นนั้นได้อย่างไรกัน”
“เหตุใดจะมิได้ เจ้าไปได้ ข้าก็ต้องไปได้ อย่าลืมสิ ข้ายังมีความสามารถอยู่ในมือ อีกอย่าง ข้าเป็นหมอ พาข้าไปด้วยเกิดมีทหารคนใดคนหนึ่งที่ไปกับเจ้าไม่สบาย ปวดหัวตัวร้อน ก็ยังมีข้าคอยช่วยรักษาได้อย่างไรละ!” หลินหลันรู้สึกว่าเหตุผลนี้มันช่างสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
หลี่หมิงอวินตั้งใจว่าจะพูดอย่างขอไปทีก่อนแล้วค่อยๆ เกลี้ยกล่อมนางอีกครั้ง
หลินหลันกลับมองความนึกคิดของเขาได้ทะลุปรุโปร่ง “หากเจ้าไม่ตอบตกลง ข้าจะแอบไปก็ย่อมไปได้เช่นกัน เจ้าออกเดินทางนำหน้าไป ข้าก็จะเดินทางตามหลังไป หากเจ้าวางใจให้ข้าไปคนเดียวลำพัง ก็เชิญเจ้าปฏิเสธได้เลย”
หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อน เอื้อมมือออกไปลูบใบหน้าของนางด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งมันเขี้ยว เขากัดฟันกลั้นใจกล่าวออกไป “เจ้านี่จริงๆ เลยนะ”
พวงแก้มของนางที่เดิมทีเต็มไปด้วยเนื้อนุ่มนิ่ม ให้ความสนุกทุกครั้งเมื่อได้ลูบคลำ ทว่าตอนนี้กลับซูบผอมจนสัมผัสได้ถึงกระดูก หมิงอวินจึงเกิดความรู้สึกแย่ขึ้นคล้ายกับมีบางอย่างจุกในลำคอ เอาเถอะๆ เมื่อเทียบกับปล่อยให้นางอยู่เมืองหลวง ต่างฝ่ายต่างต้องคะนึงถึงกัน ไม่สู้พานางไปด้วยจะดีเสียกว่า ดังนั้นเขาจึงกลั้นใจกล่าวออกไป “ตกลง ข้าจะพาเจ้าไปด้วย ทว่าเจ้าต้องเชื่อฟังข้า ไม่อนุญาตให้ทำอันใดโดยพลการเด็ดขาด”
หลินหลันสลัดคราบน้ำตาแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มตามด้วยพยักหน้าอย่างแรง ทั้งสองคนแนบอิงหน้าผากซบเข้าหากัน ซึมซับความสุขของการได้พบเจอกันหลังแยกจากภายใต้ความเงียบสงบ
ก๊อกๆๆ… เสียงคนเคาะประตูดังขึ้น
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ งานเลี้ยงจัดเตรียมพร้อมแล้ว มาเริ่มงานเลี้ยงกันเถอะขอรับ…” หนิงซิ่งถูกทุกคนเกลี้ยกล่อมให้มา จึงได้แต่ทำใจกล้าหน้าหนามาเคาะประตูเร่งเร้า
หลี่หมิงอวินกับหลินหลันสบตากันพร้อมฉีกยิ้ม “จะไปเดี๋ยวนี้ละ” หลี่หมิงอวินตอบกลับ ขณะเดียวกันก็ช่วยจัดแต่งผมเผ้าให้หลินหลันไปด้วย เมื่อจ้องมองดวงตาของนางที่สว่างไสวเป็นพิเศษเพราะหยาดน้ำตาที่เคลือบไว้ หลี่หมิงอวินจึงเคลื่อนใบหน้าเข้าไปประทับจุมพิตอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้
กลีบปากที่อุ่นร้อน จุมพิตที่อ่อนโยน ทำให้หลินหลันถึงกับใจเต้นแรง ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย จึงออกแรงผลักเขาอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก “ทุกคนกำลังรออยู่!”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อยแล้วจูงมือของนางไว้ “ไปกันเถอะ!”
ภายในโถงรับแขก โต๊ะงานเลี้ยงฉลองจัดวางเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนกำลังต่างฝ่ายต่างผลักไสให้เตรียมเข้าสู่สถานที่จัดเลี้ยง ระหว่างนั้นเอง อวิ๋นอิงมากล่าวรายงาน “เผยเสี่ยวเจี่ยะกับฮูหยินของท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวนมาแล้วเจ้าค่ะ แล้วยังมีฮว๋าเสี่ยวเจี่ยะจากตระกูลฮว๋าด้วยเจ้าค่ะ…”
หลินหลันกล่าวด้วยความดีอกดีใจ “รีบไปเรียนเชิญมาเร็วเข้า” ทันใดนั้นนางกลับนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ ในนี้ล้วนเป็นบุรุษทั้งนั้น คงไม่สะดวกเท่าใดนัก นางจึงสั่งการหรูอี้ให้รีบไปตั้งโต๊ะอาหารด้านห้องปีกตะวันตก และให้หยินหลิ่วไปเรียนเชิญนายหญิงสะใภ้ใหญ่มาร่วมด้วย
เฉินจื่ออวี้เดิมทีกำลังก่อกวนคนอื่นไปทั่วอย่างสนุกสนาน พอได้ยินว่าแม่นางเผยมาถึงแล้วจึงเปลี่ยนไปอยู่ในท่าทีเคร่งขรึมจริงจังและไม่พูดเล่นหยอกล้อใดๆ อีก ในที่สุดครานี้หนิงซิ่งก็ได้โอกาสแก้แค้นเสียที “พี่รอง ว่าที่พี่สะใภ้รองมาแล้ว เจ้าไม่ออกไปต้อนรับหน่อยหรือ”
เฉินจื่ออวี้จ้องเขม็งใส่เขาก่อนโยนสุราไหหนึ่งไว้เบื้องหน้าเขา “ดื่มสุราของเจ้าไปเสีย”
หนิ่งซิ่งเผยรอยยิ้มชั่วร้าย คว้าไหสุรามาแล้วเอ่ย “นี่ถือเป็นสุรามงคลของเจ้า?”
เฉินจื่ออวี้กล่าว “วางใจเถอะ เดี๋ยวเจ้าได้ดื่มสุรามงคลอย่างแน่นอน ไว้ถึงเวลาอย่าลืมมอบของขวัญอวยพรชิ้นใหญ่ๆ ด้วยล่ะ มิเช่นนั้นอย่าโทษหากข้าใส่อันใดลงในสุราเจ้าแล้วกัน”
หนิงซิ่งถลึงตาใส่ “จะไร้คุณธรรมเพียงนี้เชียวหรือ! เชื่อหรือไม่เดี๋ยวข้าจะไปฟ้องว่าที่พี่สะใภ้รองเดี๋ยวนี้เลย” เขาลุกขึ้นยืนขณะเอ่ย
เฉินจื่ออวี้รีบยับยั้งเขาและพยายามระงับสติอารมณ์ขณะกล่าว “ก็ได้ๆๆ นับว่าเจ้าโหดเหี้ยมไม่เบา วันนี้ให้เจ้าเป็นพี่ใหญ่สุดแล้วกัน ตกลงหรือไม่”
หนิงซิ่งเลิกคิ้วด้วยความพึงพอใจ “ค่อยยังชั่วหน่อย” เขาหันไปกล่าวต่อหลินเฟิง “พี่หลิน เห็นแล้วหรือยังขอรับ! นี่เรียกว่าทีใครทีมัน ถึงจะเห็นเขาวางมาดบาตรใหญ่ปานนี้ เพียงแค่เอ่ยถึงว่าที่พี่สะใภ้รองขึ้นมาเขาก็เปลี่ยนจากเสือเป็นแมวทันที อีกทั้งยังเป็นแมวประเภทที่อ่อนโยนและเชื่อฟังเป็นพิเศษเสียด้วยขอรับ”
หลินเฟิงหัวเราะร่า เฉินจื่ออวี้ที่นั่งอยู่ด้านข้างได้แต่ถลึงตาใส่ อยากจะหยิบหนังหมามาอุดปากเขาให้มันรู้แล้วรู้รอด
หลี่หมิงอวินรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่งขณะมองดูบรรดาพี่ๆ น้องๆ ได้มารวมตัวกันอีกครั้งในโถงแห่งนี้ ครั้งนี้ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ นับว่าเป็นความโชคดีจริงๆ หากปราศจากความพยายามของพวกเขา เขาก็คงเกือบกลายเป็นเหยื่อในการแก่งแย่งอำนาจระหว่างองค์รัชทายาทกับองค์ชายสี่ ยามนี้ตระกูลฉินถูกลดทอนอำนาจลง แผนการความนึกคิดของฮ่องเต้เป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง เกรงก็แต่ว่าภายในเมืองหลวงจะมีเรื่องราวมรสุมบางอย่างเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เขารู้สึกขอบคุณจิ้งปั๋วโหว์จากใจจริงที่เสนอแนวคิดอันดีงามถึงเพียงนี้ให้ การไปหลางซานในฐานะทูตจะช่วยให้เขาหลบหลีกมรสุมลูกนี้ได้ ทั้งยังเป็นการฝึกฝนประสบการณ์ชั้นเยี่ยมไปในตัว